ขณะที่ประเสริฐ


    แต่ละขณะสภาพธรรมเกิดตามเหตุปัจจัยเลือกไม่ได้ และทุกขณะก็ล่วงไป แต่เพราะความไม่รู้จึงติดข้องเพลินเพลินในสิ่งต่างๆ แล้วขณะใดจึงจะเป็น ขณะที่ประเสริฐจริงๆ


    ไม่ว่าจะกล่าวถึงอะไร และเข้าใจ ก็เป็นธรรมแต่ละหนึ่งๆ ซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะฉะนั้นจิตเห็นเกิดเพราะมีกรรมเป็นปัจจัย เลือกไม่ได้ จิตได้ยินเกิดเลือกไม่ได้ จิตได้กลิ่นเกิด เลือกไม่ได้ เพราะเกิดแล้ว จิตลิ้มรสแข็งหรืออ่อน ไปรู้รสไม่ได้ แต่มีรูปที่สามารถกระทบรสที่อยู่กลางลิ้น กระทบรสเมื่อไหร่จิตลิ้มรสเกิดทันทีรู้รสนั้น เพราะฉะนั้นจิตเจตสิกไม่ใช่รูป ที่กระทบกับรูปที่เป็นรสหรือเป็นลิ้น แต่เป็นธาตุรู้ที่เกิดขึ้น เพราะมีสิ่งที่เป็นรสกระทบกับสิ่งที่สามารถกระทบกับรสได้ เราเรียกว่า ลิ้น แต่ความจริงเป็นปสาท รูปพิเศษที่กระทบกับรสได้ คิดดู แขนกระทบรสได้ไหม เพราะฉะนั้นต้องเป็นรูปพิเศษเฉพาะที่สามารถกระทบกับรส จึงเป็นปัจจัยให้จิตเกิดขึ้น ขณะนั้นไม่ใช่เห็น ไม่ใช่ได้ยิน แต่กำลังลิ้มคือรู้รสนั้น อธิบายได้ไหมว่ารสนั้นเป็นอย่างไร หวานหรือเค็มหรือเปรี้ยวหรือเผ็ด พูดไปเถอะไม่เหมือนขณะที่รสปรากฏจริงๆ ไม่รู้จะอธิบายว่าอย่างไร เผ็ดมีตั้งหลายอย่าง พริกไทยก็เผ็ด พริกเหลือง พริกหนุ่มรสต่างๆ กันใช่ไหม แล้วจะไปพรรณาอย่างไรก็ไม่เหมือนขณะที่รสปรากฏกับสภาพที่กำลังรู้ หรือลิ้มรสนั้น ซึ่งเป็นผลของกรรม ถ้าเป็นรสที่น่าพอใจ ขณะนั้นถึงไม่เรียก ไม่รู้ก็เกิดเพราะกรรมเป็นปัจจัย

    อยากรับประทานอาหารอร่อยไหม จำได้ใช่ไหมว่าอะไรอร่อย พอไปถึงจริงๆ ผิดหวังไหม แล้วแต่กรรม มีท่านผู้หนึ่งเขาก็ชอบมังคุดมาก เขาก็ไปซื้อมังคุดมา กี่ลูกๆ ก็เสีย แล้วอย่างไร เลือกได้ไหม เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจความจริงแล้วเดือดร้อนไหม ใครทำแน่ แม่ค้าก็ไม่ได้ทำ ชาวสวนก็ไม่ได้ทำ แต่กรรมทำให้จิตเกิดขึ้นลิ้มรสที่ไม่น่าพอใจ เมื่อเป็นผลของอกุศลกรรม ที่จงใจตั้งใจที่จะกระทำกรรมที่ให้ผลเช่นนั้นเกิดขึ้น โดยไม่รู้เลยว่าเมื่อไร กรรมไหน ถึงเวลาที่กรรมใดจะให้ผล

    เพราะฉะนั้นชีวิตจึงมีทั้งสุข และทุกข์ ถ้าไม่มีการเห็นไม่มีการได้ยิน เอาสุขทุกข์มาแต่ไหน จะติดข้องในอะไร จะเดือดร้อนในอะไร แต่สภาพธรรมเกิดดับสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้ เป็นเราไปหมดเลยถ้าไม่รู้ เที่ยงด้วยไม่เห็นดับเลยใช่หรือไม่ ต่อกันมาตั้งแต่เด็กจนถึงเดี๋ยวนี้ แล้วก็ต่อไปอีกไม่จบ จนกว่าจะตายจากโลกนี้ ก็ยังไม่จบอีก เพราะเป็นธรรม ซึ่งต้องเกิดเพราะเหตุปัจจัย ภาระหรือไม่ เห็นหรือไม่ว่าคำที่ได้ฟังแล้ว ฟังตอนนั้นแล้วลืม แต่มาฟังตอนนี้นึกออกจำได้ นี้คือภาระจริงๆ มิฉะนั้นจะไม่มีการวางภาระถ้าไม่รู้ว่าเป็นภาระ เพราะเพลิดเพลินกับรูป กับเสียง กับกลิ่น กับรส กับโผฏฐัพพะ ชอบเย็นๆ อากาศดี สกลนครอากาศดีใครก็ชอบ ก็แสดงให้เห็นว่า แค่อากาศที่กระทบกายก็ติดแล้ว ไม่มีทางที่จะออกไปจากความติดข้องเลย แล้วจะรู้อย่างไรว่าไม่ใช่เรา ถ้าไม่มีธาตุหรือธรรมแต่ละหนึ่งมารวมกันให้เข้าใจผิดว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็ไม่รู้ว่าแท้ที่จริง ไม่ใช่สิ่งที่รวมกันเป็นหนึ่ง แต่เป็นแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไปอยู่ตลอดเวลา แต่รวดเร็วสุดที่จะประมาณได้ จึงปรากฏเหมือนเป็นสิ่งที่ไม่เกิดดับแต่ละหนึ่งอย่าง ซึ่งเป็นที่พอใจ ใครจะรู้ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม

    เพราะฉะนั้นขณะที่ประเสริฐอย่าได้ล่วงไป หมายความถึงขณะไหน ขณะที่เข้าใจธรรม แต่ขณะอื่นถึงไม่ประเสริฐก็เกิดดับ และก็ไม่รู้จะประเสริฐได้อย่างไร ขณะที่เข้าใจธรรมก็เกิดดับ แต่ประเสริฐเพราะเข้าใจ เพราะฉะนั้นความประเสริฐอยู่ที่เข้าใจ และถ้าไม่มีความเข้าใจขณะนี้ ขณะที่ไม่เข้าใจก็ล่วงไปเป็นความไม่เข้าใจเรื่อยๆ ไม่ใช่ขณะที่ประเสริฐ แต่ขณะที่ประเสริฐคือขณะไหนก็ได้ ที่ได้ฟังความจริงซึ่งยากที่จะเข้าใจได้ แต่สิ่งที่เข้าใจแล้วไม่หายไปไหนเลย สะสมสืบต่ออยู่ในจิต

    เมื่อวานนี้พูดเรื่องจิตเจตสิก วันนี้ก็กุศลธรรม อกุศลธรรม อัพยากตธรรม กุศลศีล อกุศลศีล อัพยากตศีล ถ้าเข้าใจแล้วไม่หายไปไหนเลย สะสมสืบต่ออีก ๕ เดือนได้ยินอีกก็รู้ว่าหมายความถึงอะไร อีกชาติหนึ่งถ้าสามารถจะไม่ลืม เพราะเกิดเป็นอะไรแล้วแต่เหตุปัจจัยใช่หรือไม่ นี้ก็คือว่าเป็นธรรมทั้งหมดเลย และบังคับได้ไหมว่าจากโลกนี้จะเกิดที่ไหน เพราะฉะนั้นผู้ที่ประมาทก็คือขณะนั้นไม่มีสติ ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่เป็นความจริง ซึ่งเป็นจริงอย่างนี้แต่ใครจะรู้ ถ้าไม่มีการได้ยินได้ฟัง เพราะฉะนั้นก็มีความเข้าใจคำที่ได้ฟังละเอียดขึ้นตรงขึ้น ชัดเจนขึ้น แม้แต่ว่าขณะที่ประเสริฐคือขณะไหน อย่าได้ล่วงไป ก็เตือนแล้วใช่ไหมว่าทุกขณะนี้ต้องหมดไป แต่หมดไปด้วยอะไร ด้วยความไม่รู้ก็สะสมไป กั้นไป ไม่รู้ต่อไป กับขณะที่ค่อยๆ เข้าใจ ซึ่งประเสริฐมากเพราะเหตุว่าฟังแล้วต่อไปก็เข้าใจขึ้นๆ เพราะฉะนั้นแต่ละคำสามารถที่จะเข้าใจได้ มิฉะนั้นพระผู้มีพระภาคไม่ทรงแสดง


    หมายเลข 10592
    7 พ.ค. 2567