คุณและโทษของกาม
กาม หมายถึงโลภะคือความยินดีพอใจติดข้อง และสิ่งที่เป็นอารมณ์ของโลภะ เมื่ออยู่ในกามภูมิก็มีกามอารมณ์คือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่น่าพอใจ นำมาซึ่งความยินดีพอใจ จึงเป็นคุณของกาม แต่โลภะซึ่งเป็นสภาพติดข้อง ต้องการนั้น จะนำมาซึ่งทุกข์ต่างๆ เมื่อสิ่งนั้นพลัดพรากไป เปรียบเสมือน การวางยาพิษ ซึ่งจะต้องได้รับทุกข์โทษต่อไปอย่างแน่นอน
ท่านอาจารย์ ได้ยินบ่อยๆ ใช่หรือไม่ กาม แต่ว่ากาม คืออะไร มี ๒ อย่าง กาม คือความยินดีพอใจ แต่ยินดีพอใจในอะไร เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่เป็นที่ตั้งของความยินดีพอใจมีทั้งรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ จึงใช้คำว่า กามอารมณ์ แต่ความติดข้องไม่ใช่พอใจเฉพาะในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ที่กระทบสัมผัส ยังมีความยินดีพอใจอื่นอีก ทั้งหมดเป็นที่ตั้งของความยินดีพอใจ เป็นวัตถุกาม เพราะฉะนั้นโลภะติดข้องในทุกอย่าง แต่ว่าในโลกนี้เป็นโลกของรูป หนีพ้นรูปได้ไหม มีทั้งรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะเต็ม ทุกวันทุกขณะ เพราะฉะนั้นจะให้ยินดีพอใจในอะไร ในเมื่อเห็นก็ต้องพอใจในสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ในรูปที่ปรากฏ เพราะฉะนั้นก็เป็นวัตถุกามหรือกามอารมณ์ เวลาได้ยินเสียงไม่พอใจในเสียงเช่นนั้นหรือ ในเมื่อมีเสียงเกิดขึ้น ให้รู้ว่ามีก็มีความยินดีติดข้องในเสียง เพราะฉะนั้นกามอารมณ์ คือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ซึ่งได้แก่ ธาตุดิน อ่อนหรือแข็ง ธาตุไฟ เย็นหรือร้อน ธาตุลม ตึงหรือไหว แต่ธาตุน้ำไม่ได้ปรากฎ จึงใช้คำรวม ๓ ธาตุ นี้ว่าโผฏฐัพพะ หมายถึงธาตุใดธาตุหนึ่งที่ปรากฏที่กาย หนึ่งใน ๓ เป็นโผฏฐัพพะ แทนที่จะกล่าวทั้งหมดก็รวมเป็นโผฏฐัพพะ ๓ ธาตุซึ่งสามารถกระทบกาย
เพราะฉะนั้นวันนี้ พอใจในอะไร ไม่พ้นเลยจากกามอารมณ์ นี้คือคุณของกาม อัสสาทะ เป็นสิ่งที่น่าพอใจปราบปลื้มยินดี อยากได้ไหม ตรงเลย ไม่มีใครปฏิเสธ ได้อะไร รูป เสียง กลิ่น รสโผฏฐัพพะ เพราะไม่รู้โทษ อาทีนวะ โทษของกามคือความติดข้อง คิดดูว่ามีสิ่งที่น่าพอใจปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ติดข้อง และความติดข้อง ละได้อย่างไร เพราะฉะนั้นโทษของกามก็คือความติดข้องในกาม ใครว่าเป็นคุณบ้าง ใครว่าความติดข้องเป็นประโยชน์บ้าง ความติดข้อง เพียงเริ่มติดข้องก็เป็นทุกข์ใช่ไหม ติดข้อง และก็อยากได้อยากได้ก็แสวงหา แสวงหาได้ไหม ได้ก็ดีใจ ไม่ได้ก็เป็นทุกข์อยู่อย่างนี้ทุกวัน ลืมหรือไม่ว่าเป็นอย่างนี้ทุกวันทั้งวันด้วย ไม่พ้นจากรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงเป็นอย่างไร ก็ทรงแสดงตามความเป็นจริงอย่างนั้นว่า กามมีทั้งคุณ และโทษ แต่สำหรับกามที่เป็นกิเลสติดข้องในทุกอย่าง แต่ถ้าเป็นกามอารมณ์ อารมณ์ที่เป็นกามที่น่าพอใจน่าใคร่ ก็รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ แต่ว่าโลภะก็ไม่ได้พอใจเพียงเท่านี้ ยังพอใจอื่นๆ ทั้งหมด อยากมีปัญญาไหม แค่อยากมี แต่จะมีได้อย่างไร ไม่คิดเลย อยากรู้แจ้งอริยสัจธรรม แต่ไม่รู้ว่าทำอย่างไรถึงจะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้
เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ต้องละเอียด และต้องรู้ว่าพอได้ยินคำไหน ได้ยินคำว่ากามที่เป็นอารมณ์ก็คือ รูป เสียงกลิ่น รส โผฏฐัพพะ ถ้ากามที่เป็นกิเลสก็คือความติดข้อง เป็นสภาพที่ติดข้องซึ่งเป็นโทษที่ควรละ แต่ใครก็ละไม่ได้เพราะเหตุว่าปัญญาเท่านั้นที่ค่อยๆ ที่จะรู้ความจริงว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่มี ก็หมดไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก แล้วก็ไม่เหลือเลย
เพราะฉะนั้นชาติก่อนไม่กลับมาอีกเลย ชาตินี้ สำหรับชาติหน้าไม่เหลือเลย ยาวเกินไป เอาแต่ละวันซึ่งมีความสุขมีความทุกข์ ไม่ได้กลับมาอีกเลย หมดแล้วก็คือไม่สามารถที่จะกลับมาอีกได้เลย ก็เป็นอย่างนี้อยู่ทุกวัน เพราะฉะนั้นจึงเป็น กามบุคคล เพราะอยู่ในกามโลก ในกามภูมิ ก็จะเป็นสิ่งซึ่งเมื่อได้ยินคำไหน ก็ขอให้เข้าใจคำนั้น ไม่ใช่เพียงคิดเดาหรือว่าจำเฉยๆ แต่ต้องเข้าใจด้วยว่ากามที่เป็นกิเลสหมายความถึงโลภะความติดข้อง กามที่เป็นอารมณ์ ก็คือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ส่วนกามซึ่งเป็นที่ตั้งไม่ใช่เฉพาะรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะเท่านั้น และกามก็มีทั้งคุณ และโทษ ถ้าไม่มีคุณจะมีใครต้องการไหม อยากได้ไหม และอยากได้อะไร ก็รูป เสียง กลิ่น รสโผฏฐัพพะ ยินดีในอะไร ยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ยังไม่เห็นโทษ
เพราะฉะนั้นพระธรรมที่ทรงแสดงที่จะให้เห็นตามความเป็นจริง ก็คือว่า ตราบใดที่ยังมีความติดข้องเพราะไม่รู้ ตราบนั้นก็ยังมีสังสารวัฎ เพราะฉะนั้นเหมือนถูกวางยาพิษหรือไม่
อ. อรรณพ วางยาพิษอยู่ตลอด
ท่านอาจารย์ ได้แต่สิ่งที่พอใจ ติดข้องในสิ่งที่พอใจ วันหนึ่งก็ตาย เพราะความติดข้อง เกิดมาก็ถูกวางยา ให้เห็น ให้ได้ยิน ให้ได้กลิ่น ให้ติดข้อง เดือดร้อนเป็นทุกข์แน่นอน แต่ลืมว่า พลัดพรากทุกขณะ