วินัยเป็นปริยัติ
ปริยัติทำให้เข้าใจสภาพธรรมเมื่อปัญญาได้อบรมเจริญขึ้น พระวินัยก็เป็นธรรมขัดเกลากาย วาจานั้น ถ้าไม่ประพฤติปฏิบัติตามจะเป็นพระภิกษุได้อย่างไร
พระคุณเจ้า ท่านอาจารย์ก็ได้เน้นย้ำให้ฟังว่าจะต้องเป็นธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ และเป็นของจริง สิ่งที่มีจริงที่กำลังเกิดดับแต่ละหนึ่ง แต่ว่าการเรียนของอาตมานั้น เป็นการเรียนที่มีแต่พระสูตร เป็นเรื่องราว เป็นคำศัพท์ เป็นบัญญัติหมดเลย การเรียนการศึกษาของพระภิกษุสามเณรในวัดที่จะต้องมีการบริกรรม มีการท่องบทพระพุทธพจน์เพื่อการทรงจำแล้วก็เรียนพระสูตร สามารถที่จะเข้าใจในสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ได้อย่างไร
ท่านอาจารย์ ไม่เข้าใจเจ้าค่ะ เพราะเหตุว่าเป็นชื่อ เป็นเรื่อง เพราะฉะนั้นไม่ว่าใครจะคิดว่านับถือพระพุทธศาสนา แต่ไม่รู้ว่าพระพุทธศาสนาเป็นคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งคำว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็แสดงชัดเจน ธรรมไม่ใช่ค่อนข้างยาก แต่ยากที่สุด ลึกซึ้งที่สุด ยากที่ใครจะรู้ได้ เช่น เห็น แค่เห็นคือผู้ที่ทรงตรัสรู้ ไม่มีสัตว์บุคคลใดๆ ในสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเลย เพราะสิ่งนั้นเป็นเพียงสิ่งที่สามารถกระทบตา ไม่ใช่กระทบอย่างอื่น มีจริง และก็กระทบอื่นไม่ได้ นอกจากต้องกระทบกับจักขุปสาทซึ่งเป็นรูปที่กระทบกันได้ และต้องมีจิตซึ่งไม่ใช่ตา แล้วก็ไม่ใช่สิ่งที่กำลังปรากฏ แต่เป็นธาตุรู้เกิดขึ้นเห็น แค่นี้ก็ลึกซึ้ง คือเดี๋ยวนี้เอง เพราะฉะนั้นเมื่อธาตุรู้คือจิต เกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไป จึงเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อได้
เพราะฉะนั้นสิ่งที่กำลังเกิดดับสืบต่อเร็วที่สุดไม่ปรากฏเลยว่าดับหรือเกิด นี่ก็เป็นสิ่งที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้ชาวโลกซึ่งไม่ได้บำเพ็ญบารมีมาที่จะถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่สามารถที่จะเข้าใจสิ่งซึ่งเกิดดับสืบต่อเพราะเหตุว่าเร็วสุดที่จะประมาณ
เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ทรงพระมหากรุณาแสดงธรรมคือความจริงของสิ่งที่มีที่ปรากฏให้คนที่ได้ยิน ได้ฟัง สามารถไตร่ตรองเข้าใจถูก นี่คือพระมหากรุณา เพราะฉะนั้นถ้าไม่เริ่มต้นจากการรู้ว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นใคร ตรัสรู้อะไร ตรัสรู้สิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งมีอยู่ทุกกาลสมัย ทุกขณะ ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้จริงๆ ก็ไม่ได้ศึกษาธรรม และไม่มีทางที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย ด้วยเหตุนี้ชื่อทั้งหลายก็เป็นชื่อ พระคุณเจ้าก็ศึกษามาแล้วทั้งพระวินัย พระสูตร พระอภิธรรมด้วย แต่พระอภิธรรมที่ศึกษามาก็ล้วนเป็นชื่อ ทั้งๆ ที่กำลังกล่าวถึงจิตเห็น ภาษาบาลีคือ จักขุวิญญาณ รู้อะไร รู้สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ภาษาบาลีคือรูปารมณ์ แค่นี้ก็ผ่านไปแล้ว ไม่ได้เข้าใจเลยว่าเมื่อไหร่ ก็เดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็น
เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมไม่ใช่ไปศึกษาชื่อ ว่าจิตอะไรเกิดก่อนจิตเห็น แล้วจิตอะไรเกิดต่อจากจิตเห็น แต่เดี๋ยวนี้มีเห็นแล้วก็ยังไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏว่านี่เป็นธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ว่าไม่ใช่ใคร ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เพียงแต่มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
เพราะฉะนั้นต้องศึกษาด้วยความละเอียดด้วยความเคารพยิ่งว่าจริงหรือไม่ ไม่ใช่ให้เชื่อ แต่ให้เป็นการไตร่ตรองของคนที่ฟังเพื่อปัญญาของคนนั้นจะเริ่มเกิดขึ้น และรู้ความจริงว่าถ้าไม่มีการฟังพระธรรมจะไม่สามารถเข้าใจธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะไม่รู้ว่าธรรมเดี๋ยวนี้เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปตรงตามคำที่ได้ฟัง ก็คิดว่าศึกษาพระอภิธรรมเป็นชื่อต่างๆ คิดว่าศึกษาพระสูตรเป็นเรื่องต่างๆ คิดว่าศึกษาพระวินัยเป็นความประพฤติทางกายทางวาจาต่างๆ แต่ก็คือเดี๋ยวนี้ทั้งหมดเจ้าค่ะ
เพราะฉะนั้นศึกษาธรรมให้เข้าใจสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่ไปศึกษาคำหรือชื่อ ถ้าไม่มีธรรมที่มีจริง คำหรือชื่อต่างๆ นั้นก็มีไม่ได้เลย แต่เพราะธรรมหลากหลายอย่างนี้ จึงทรงแสดงพระธรรมตามความเป็นจริงของสภาพธรรมนั้นๆ โดยทรงจำแนกธรรมซึ่งใครก็ไม่สามารถจะรู้ได้ว่า เห็น ขณะที่เห็นปรากฏ ไม่รู้ว่าขณะนั้นเห็นเกิดขึ้นเห็น แล้วก็ดับไป ไม่มีคน ไม่มีสิ่งของไม่มีสิ่งใดๆ ในสิ่งที่เห็น ส่องกระจกมีใครในกระจก
พระคุณเจ้า ถ้าตามความเป็นจริงแล้ว ก็ยังเป็นอาตมาอยู่
ท่านอาจารย์ แล้วมีหรือไม่
พระคุณเจ้า ไม่มี
ท่านอาจารย์ และนอกจากพระคุณเจ้า ยังมีสิ่งของในกระจกอีกมากมายหลายอย่าง แล้วมีสิ่งของในกระจกนั้นจริงๆ หรือไม่ ก็ไม่มี แต่เป็นสิ่งที่มีอยู่ที่มหาภูตรูป มหาภูตรูปได้แก่ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม
ธาตุดิน คือสภาพธรรมที่อ่อนหรือแข็ง เป็นที่ตั้งของรูปอื่น ธาตุไฟเป็นลักษณะที่เย็นหรือร้อน รักษาสิ่งที่มีอยู่ให้ดำรงอยู่ เป็นความอบอุ่น ธาตุลมเป็นสภาพที่ตึงหรือไหว ถ้าไม่มีธาตุลม สิ่งใดๆ ก็เคลื่อนไหวไม่ได้ แต่เพราะเหตุว่ามีธาตุดิน ธาตุไฟ ธาตุลม และมีธาตุน้ำซึ่งเกาะกุมธาตุทั้ง ๓ ไม่ให้แยกจากกันได้เลย เพราะฉะนั้นทั้ง ๔ มหาภูตรูปแยกจากกันไม่ได้ แต่เวลากระทบสัมผัส ธาตุน้ำไม่ปรากฏ เพราะเหตุว่ามีธาตุดิน ธาตุไฟ ธาตุลมปรากฏ แต่ธาตุน้ำเกาะกลุ่มซึมซาบธาตุทั้ง ๓ นั้นไว้ เพราะฉะนั้นเวลาที่กระทบสัมผัสก็มีแต่เพียงสิ่งที่อ่อนแข็ง เย็นร้อน ตึงไหว ใช้คำว่ามหาภูตรูป ถ้ารูป ๔ รูปนี้ไม่มีเป็นใหญ่ เป็นประธาน รูปอื่นๆ มีไม่ได้เลย และที่มหาภูตรูป มีรูปอีก ๔ รูปซึ่งเกิดพร้อมกับมหาภูตรูป อาศัยมหาภูตรูป ซึ่งถ้ามหาภูตรูปไม่มี รูป ๔ รูปนี้ก็ไม่มี หนึ่งใน ๔ นั้นก็คือสิ่งที่กำลังกระทบตา อยู่ที่มหาภูตรูป แต่มหาภูตรูปกระทบตาไม่ได้ สิ่งนั้นกำลังกระทบตาปรากฏเป็นสีสันวรรณะของมหาภูตรูปแต่ละกลุ่มเล็กมาก ๑ กลาป แยกไม่ได้เลย มองไม่เห็น แต่เมื่อรวมกันแล้วลักษณะความต่างของมหาภูตรูปก็ปรากฏให้สิ่งที่กระทบตา เป็นสีสันวรรณะต่างๆ กัน ซึ่งขณะนี้ก็กำลังเป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ธรรมทั้งหลายคือสิ่งที่มีจริง มีลักษณะเฉพาะของตนๆ มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่ใช่ของใครเลย และก็ไม่ได้เป็นใครด้วย สีก็ไม่ใช่ของใคร ไม่ใช่เป็นใคร เสียงก็ไม่ใช่เป็นของใคร เป็นใคร ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดเมื่อมีปัจจัยแล้วก็ดับไป
เพราะฉะนั้นทรงแสดงว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ถ้ามิฉะนั้นแล้วสัตว์โลกก็ไม่สามารถที่จะละกิเลสได้ เพราะกิเลสทั้งหลายเกิดจากความไม่รู้ เมื่อมีความไม่รู้ก็มีความติดข้อง เมื่อมีความติดข้องก็มีความเห็นผิดว่าเป็นสิ่งหนึ่ง สิ่งใด เป็นเรา เป็นเขา เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นสิ่งนั้น สิ่งนี้ ซึ่งเที่ยง ไม่เกิดดับ เพราะฉะนั้นก็ติดข้องแสวงหาเพชรนิลจินดาทั้งหลายซึ่งเข้าใจว่าเที่ยง ไม่เกิดดับ แต่ความจริงติดข้องในสิ่งที่ไม่มี ไม่เหลือ เพราะเหตุว่ามีปัจจัยเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก
เพราะฉะนั้น สี ที่กำลังปรากฏทางตา ในภาษาไทยใช้คำนี้ แต่ภาษาบาลีใช้คำว่ารูปารมณ์ แต่ถ้าจะใช้คำว่าสีแล้วไม่เข้าใจ เข้าใจเหมือนเดิมว่าสีเขียว สีแดง ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะฉะนั้นเข้าใจให้ตรง ก็คือว่ามีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นได้ หรือว่ามีธาตุ ธรรมคือความจริงอย่างหนึ่ง ซึ่งกระทบตาได้ เมื่อจิตเห็นเกิดขึ้นสิ่งนี้ก็ปรากฏ นี่คือพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่เพียงได้ยินคำว่าจักขุวิญญาณเกิดขึ้น มีรูปคือรูปารมณ์เป็นอารมณ์ แล้วก็ผ่านไป ข้ามไป แต่ไม่ได้เข้าใจเลยว่าคำนี้เตือนให้เข้าใจว่าทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคำจริง ซึ่งให้บุคคลอื่นสามารถค่อยๆ เข้าใจ เพื่อที่จะรู้ความจริงซึ่งกำลังเกิดดับในขณะนี้ จึงสามารถที่จะดับกิเลสได้ มิเช่นนั้นก็ไม่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระคุณเจ้า ขอกราบพระเถระ ขอกราบพระสงฆ์ เจริญพรโยมอาจารย์ และญาติโยมทั้งหลาย จะขอสอบถามว่าในอรรถกถาท่านจะมีพูดว่าผู้ที่ทรงไว้ซึ่งปริยัติ ที่จะไม่พ้นทุกข์ ไม่มี คำว่าทรงปริยัติในที่นั้น จะทรงลักษณะอย่างไร
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีการฟังพระพุทธพจน์ แต่พ้นทุกข์ได้หรือไม่ ไม่ได้ เมื่อมีการฟังพระพุทธพจน์ ไม่ใช่เพียงฟังแล้วไม่รอบรู้ ฟังว่าขณะนี้ธรรมมี เป็นอนัตตา พ้นทุกข์หรือยัง จนกระทั่งเข้าใจว่าขณะนี้ถ้าไม่มีความเข้าใจเลย เห็นเหมือนเดิมแล้วก็ไม่รู้เหมือนเดิม แต่ว่าเมื่อมีการฟังก็มีเห็นเหมือนเดิมแต่เริ่มฟังแล้วเข้าใจความจริงของเห็น เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ เท่านี้ไม่พอ ปริยัติแสดงไว้เลยว่าเท่านี้ไม่พอ ไม่ใช่ปริยัติบอกว่าแค่นี้พอแล้ว แต่ปริยัติคือการศึกษาจนกระทั่งรอบรู้ในพระพุทธพจน์จนเป็นสัจญาณ ปริยัติหมายความถึงคำสอนทั้งหมดของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่าถ้ากล่าวถึงวินัย วินัยก็ต้องเป็นธรรม ถ้าไม่มีธรรม ไม่เป็นธรรม จะมีวินัยได้อย่างไร จะเอาอะไรมาขัดเกลากายวาจา ไม่ใช่ว่า พระวินัยกล่าวไว้ว่ามีศีล ๒๒๗ ข้อ ๑๕๐ ข้อเป็นศีลที่ไม่ขัดขวางการอบรมเจริญปัญญาที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ ส่วนอีก ๗๕ ข้อ เป็นเรื่องของอภิสมาจาร กิริยาอาการของพระภิกษุซึ่งเหมาะควรแก่เพศบรรพชิต และอีกสองข้อก็คืออนิยต นี่เป็นเรื่องที่ละเอียดมากซึ่งภิกษุทุกรูปได้ฟังแล้วต้องประพฤติปฏิบัติตาม ถ้าไม่ประพฤติปฏิบัติตามจะเป็นภิกษุได้อย่างไร ด้วยเหตุนี้พระธรรมวินัยทั้งหมดเป็นปริยัติไม่ใช่แต่เฉพาะพระสูตรหรือพระอภิธรรม แม้พระวินัยก็เป็นปริยัติด้วย แต่แยกออกเป็นส่วนของการที่พระภิกษุจะต้องประพฤติปฏิบัติ ซึ่งฆราวาสไม่ต้องประพฤติปฏิบัติเพราะเหตุว่า เพศของคฤหัสถ์ไม่ได้สามารถที่จะขัดเกลากิเลสดุจสังฆะในเพศของบรรพชิตซึ่งบริสุทธิ์ตั้งแต่ตื่นจนหลับ
ด้วยเหตุนี้การฟังพระธรรมต้องรู้จุดประสงค์ การบวชต้องรู้จุดประสงค์ การศึกษาธรรมะก็ต้องรู้จุดประสงค์ว่านำไปสู่ความเข้าใจที่จะอบรมเจริญปัญญายิ่งขึ้น เพราะถ้าไม่มีปริยัติ ความเข้าใจไม่เกิด แล้วทำไมปริยัติมีมากถึง ๔๕ พรรษา ก็เพราะเหตุว่าธรรมทั้งหลายลึกซึ้งมาก ถ้าพระผู้มีพระภาคไม่ทรงบำเพ็ญพระบารมีถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จะเป็นเพียงปัจเจกพุทธเจ้า ซึ่งสามารถที่จะรู้แจ้งสภาพธรรมด้วยตนเอง แต่ว่าไม่ประกอบด้วยพระญาณที่สามารถจะทรงจำแนกธรรมโดยละเอียดยิ่ง เพื่อให้คนฟังค่อยๆ เข้าใจขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้ทุกคำแม้แต่คำว่าเห็น ข้ามไม่ได้เลย ขณะนี้มีเห็น กำลังเห็น ไม่รู้เห็น แต่จะรู้ว่าเห็นไม่ใช่เรา เพราะใครก็ทำให้เห็นเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าไม่มีตา เห็นก็เกิดไม่ได้ ถึงมีตา สิ่งที่จะกระทบตาได้ไม่กระทบ จิตเห็นก็เกิดไม่ได้ สิ่งนั้นก็ปรากฏว่ามีไม่ได้ เพราะฉะนั้นธรรมทุกอย่างเพียงหนึ่งที่ได้ตรัสไว้เป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง ตลอดชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย มิฉะนั้นก็เป็นความไม่รู้ และการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา เพราะฉะนั้นไม่ใช่แต่พระวินัยอย่างเดียว ปริยัติ ศึกษาแล้วจะรู้ได้ว่าปริยัติไม่ใช่การที่จะไม่เข้าใจสภาพธรรมเมื่อปัญญาได้อบรมขึ้น เพราะปริยัติจะกล่าวถึงสติ จะกล่าวถึงสภาพธรรมทุกอย่าง แต่สติก็มีหลายขั้น สติในทางพระวินัยก็มี อินทรียสังวรก็เป็นสติที่จะสำรวมกายวาจา การเดิน การพูดต่างๆ เหล่านี้ก็ต้องมีสติ และก็สติในขณะที่กำลังฟังแล้วเข้าใจ ก็เป็นธรรมซึ่งไม่ใช่เรา แต่เพราะขณะนั้นกำลังไม่ไปรู้สิ่งอื่น แต่กำลังรู้ในคำ ในความหมายที่ได้ยิน จนกระทั่งเป็นความเข้าใจ เพราะฉะนั้นสติไม่ใช่เข้าใจ และสติที่เข้าใจในขั้นการที่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังได้ยิน และปัญญาเข้าใจก็เป็นขั้นปริยัติ แต่ปริยัติก็แสดงต่อไปอีกว่ายังมีสติที่สามารถจะเกิดขึ้นรู้ความจริง ระลึกรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ แต่ไม่ได้เข้าใจ เพราะเหตุว่าความเข้าใจต้องเป็นหน้าที่ของปัญญาซึ่งได้อบรมมาแล้วตั้งแต่ขั้นฟังจนกระทั่งสามารถจะทำให้สติ และปัญญาระดับนั้นเกิดขึ้นได้
เพราะฉะนั้น นี่คือปริยัติ ถ้าไม่มีปริยัติจะไม่มีอะไรที่จะนำไปสู่การเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามลำดับขั้น