พระเล่นเฟส
ภิกษุคือผู้เห็นภัย ความเป็นภิกษุต้องตรง สะอาด บริสุทธิ์ พระวินัยละเอียดมากเพราะกิเลสละเอียด ซ่อนเร้น ปิดบัง ปัญญาเท่านั้นที่จะเห็นได้
อ.ณภัทร มีเพื่อนบวชเป็นพระภิกษุ แต่ว่าท่านจะชอบโพสต์ลงในเฟซบุ๊กเวลาเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ ก็โพสต์ถ่ายรูปกับรถไฟบ้าง ถ่ายรูปสถานที่ๆ ท่านไปบ้าง
ท่านอาจารย์ อย่างนั้น ท่านเข้าใจว่าท่านเป็นภิกษุหรือเปล่า คำว่าภิกษุคืออะไร ผู้เห็นภัยในสังสารวัฎ เมื่อเห็นภัยแล้วทำอะไร สละเพศคฤหัสถ์เพราะรู้จักตัวเองว่าสามารถที่จะศึกษาธรรมอบรมเจริญปัญญาในเพศบรรพชิตเหมาะสะดวกสบายสำหรับท่าน ไม่ได้เดือดร้อนเลยกับการที่จะไม่มีเงิน และทอง ไม่มีวงศาคณาญาติ ไม่มีเรื่องวุ่นวายต่างๆ ทั้งหลาย แล้วท่านมีเฟซบุ๊ค และมีพวกสิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำไม เพราะฉะนั้นใครจะไหว้ภิกษุที่กำลังทำอย่างนั้นบ้าง ภิกษุคือผู้สงบ อย่างนั้นไม่สงบเลย ไม่เป็นไปเพื่อความสงบด้วย
อ.ณภัทร เพราะบางทีก็จะอ้างว่าไม่มีในพระวินัยว่าห้ามเล่นเฟซบุ๊ก
ท่านอาจารย์ แล้วบวชเพื่ออะไร
อ.ณภัทร เพื่อขัดเกลา
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นทั้งหมดของพระวินัยเพื่ออะไร ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้บวชทำไม ในเมื่อบวชแล้วไม่ใช่เป็นผู้ที่ขัดเกลากิเลส เพราะฉะนั้นถ้าเห็นภิกษุแม้ถ่ายรูปคิดดูไม่ต้องถึงกับเฟซบุ๊ก ไม่ต้องถึงกับเซลฟี่ หรืออะไรเลยทั้งสิ้น แค่ถ่ายรูป สงบหรือไม่ ต้องตรง เพราะอะไร กุศลเป็นกุศล อกุศลเป็นอกุศล อะไรเห็น ปัญญาเท่านั้นที่เห็น ปัญญาไม่คดงอเลย เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจถูกต้อง ก็คือว่า ตราบใดที่ยังมีกิเลส และไม่ศึกษาพระธรรม ไม่สามารถที่จะละความไม่ตรง เพราะเข้าใจผิดได้ อย่างคนที่บอกว่า พระภิกษุสมัยนี้ต้องรับเงิน และทอง ถ้าคิดสักนิดหนึ่ง ใครเป็นผู้ที่บัญญัติพระวินัย แล้วคนนั้นกำลังพูดกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่าว่าภิกษุสมัยนี้ต้องรับเงิน และทอง ไม่เช่นนั้นก็เป็นภิกษุไม่ได้ กล้าที่จะคิดอย่างนั้นหรือไม่ ว่าจะเปลี่ยนพระวินัย เพราะว่าพระองค์ทรงตรัสรู้ธรรมทั้งหมด แล้วก็ทรงรู้ถึงกาลในอนาคตด้วยว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่แม้กระนั้นก็ทรงบัญญัติเรื่องการขัดเกลากิเลส ซึ่งเปลี่ยนไม่ได้เลย จะไปให้เป็นด้วยวิธีอื่น ไม่ได้ ธรรมสะอาด ธรรมบริสุทธิ์ ธรรมตรง เพราะฉะนั้นการเป็นภิกษุต้องตรง ต้องสะอาด ต้องบริสุทธิ์
อ.ณภัทร ได้ฟังท่านอาจารย์ในเรื่องของทานสูตร ซึ่งเป็นเรื่องของอานิสงส์ของการทำทานที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก หรือว่าการทำทานที่มีผลมากแต่อานิสงส์น้อย ว่าบุคคลใดที่กระทำทานกับพระภิกษุโดยเห็นว่าพระภิกษุนั้นเป็นเพศที่ไม่สามารถจะทำอาหารฉันเองได้ เราก็เลยทำทานกับพระภิกษุนั้นเพราะเห็นว่าท่านไม่ใช่เพศที่จะหุงหาอาหารได้
ท่านอาจารย์ ไม่ลืมคำว่าภิกษุ ใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นคนอ่านข้อความในพระไตรปิฏกผ่านไปเฉยๆ คิดว่าผู้ที่ครองผ้าเหลืองถือจีวรบิณฑบาตเป็นพระภิกษุ แต่ภิกษุต้องเป็นผู้ที่ศึกษาธรรม และพระวินัย มีชีวิตตามพระวินัย และต้องเป็นผู้ที่สงบ และขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว คำนี้มีความหมายมากไม่ว่าที่ไหนในพระไตรปิฏก แต่ไม่ใช่เพียงแค่ทำบุญกับพระภิกษุแต่ไม่รู้ว่าพระภิกษุคือใคร ประพฤติอย่างไร เข้าใจว่าแค่นั้นเป็นพระภิกษุ นั่นไม่ใช่
อ.ณภัทร ต้องเป็นพระภิกษุที่เป็นผู้บริสุทธิ์
ท่านอาจารย์ แน่นอน ตามพระธรรมวินัย
อ.ณภัทร เพราะฉะนั้นอานิสงส์ที่แสดงในทานสูตรก็คือว่า บุคคลที่ทำทานประเภทนี้ ก็จะได้เกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต
ท่านอาจารย์ กุศลทุกชนิดให้ผล เกิดเป็นเทวดาในสวรรค์ได้หรือไม่ ก็ได้ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะอะไรทั้งนั้น แสดงคำจริงทุกคำ แต่ว่าชาวบ้านก็หวังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต เผินมาก
อ.ณภัทร ถ้าไม่เป็นผู้ที่ละเอียดเข้าใจพระธรรมก็จะอยากที่จะได้เกิดในสวรรค์ชั้นนั้นชั้นนี้ ก็ทำบุญตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่าอานิสงส์ของบุญแต่ละประเภทจะทำให้เกิดในสวรรค์ชั้นไหน
ท่านอาจารย์ แล้วไม่รู้เหตุด้วยว่าผู้นั้นต้องมีปัญญาที่จะรู้จักภิกษุ ไม่เช่นนั้นจะเกิดที่ดุสิตหรือไม่ สวรรค์มีตั้งหลายชั้น และชั้นดุสิตเป็นชั้นของผู้ที่มีปัญญา
อ.ณภัทร ก็ละเอียดลึกซึ้งมากเพราะว่าไม่ใช่ทำทานแค่ครั้งเดียว
ท่านอาจารย์ แล้วด้วยความอยาก และความต้องการว่าจะเกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิตแต่ไม่รู้ว่ารู้จักภิกษุหรือเปล่า และรู้หรือไม่ว่าขณะที่ทำทานจิตบริสุทธิ์หรือว่าหวังในขณะที่ให้ทาน ทาน คือการสละ สิ่งที่เป็นประโยชน์สุขแก่คนอื่น แต่ทำด้วยความหวัง คนละขณะจิต แล้วจะทำให้ความสละวัตถุน้อยลงหรือไม่ด้วยความหวัง เพราะไม่ได้ทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ทาน คือทาน การให้ คือการให้ ให้แล้วหวังแล้วจะเป็นทานได้อย่างไร
ผู้ฟัง มีความคิดเห็นที่ว่าชาวโลกที่เขามองประเทศไทย หรือชาวพุทธของเราเอง คิดว่าศาสนาพุทธเจริญรุ่งเรืองเพราะเขาเอาวัด และพระพุทธรูปองค์ใหญ่ๆ ที่เห็นอยู่มากมายเป็นบรรทัดฐานว่าศาสนาพุทธที่ประเทศไทยรุ่งเรืองเพราะว่าวัดวาอารามใหญ่โตสวยงาม แล้วก็มีพระภิกษุมาเดินธุดงค์กันเป็นหมื่นๆ รูป ซึ่งเป็นภาพที่สวยงามมาก เขาก็เลยคิดว่าศาสนาเจริญรุ่งเรือง แต่เขาไม่เข้าใจว่าถ้าศาสนาจะเจริญรุ่งเรือง จะพูดคำนั้นได้จะต้องเป็นชาวพุทธที่เข้าใจพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่พระองค์ทรงบำเพ็ญเพียรบารมีเพื่อตรัสรู้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นคำใดก็ตามที่พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัส คำนั้นเขาคิดเอง พระพุทธเจ้าตรัสหรือว่าพระพุทธศาสนาจะรุ่งเรืองเพราะมีวัดสวยงามใหญ่โตมีสิ่งที่น่าอัศจรรย์พยายามที่จะให้ดึงดูดคนอื่นมาแค่ดู ใช่หรือเปล่า
ผู้ฟัง แต่เขาก็คิดเอาตรงนี้เป็นเครื่องบ่งบอก
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นทั้งหมดเขาคิดเอง คนไทยคิดเองว่าพระศาสนาอยู่ที่วัดวาอาราม
ผู้ฟัง เขาจึงจะแข่งกันสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ไว้ที่หน้าวัด
ท่านอาจารย์ เพราะไม่รู้ และไม่ใช่ผู้สงบ
ผู้ฟัง เพราะว่าเขาคิดว่าวัดแต่ละวัดคิดว่าการสร้างพระพุทธรูปที่ใหญ่ไว้ที่หน้าวัดแปลว่ามีคนมาทำบุญเยอะ
ท่านอาจารย์ ไม่สงบแน่ๆ
ผู้ฟัง แต่เขาไม่ได้คิดถึงจุดนั้น
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเรารู้ได้เลยว่าเขาไม่สงบเลย ไม่ใช่ภิกษุเพราะไม่สงบ ไม่สงบตั้งแต่จะคิดก่อสร้างอะไรให้ใหญ่โตมโหฬาร นั่นสงบหรือ
ผู้ฟัง ไม่สงบ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นช่วยให้เขาเข้าใจถูกต้องนี่คือหน้าที่ของผู้ที่จะสงเคราะห์ เป็นเพื่อนที่ดีกัลยาณมิตรระหว่างพุทธบริษัทด้วยกัน คือให้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง พระศาสนาไม่ได้อยู่ที่วัด ไม่ใช่ให้ใครมาดูสิ่งที่สวยๆ งามๆ ใหญ่โตมโหฬาร
ผู้ฟัง ตั้งแต่หันมาศึกษาธรรมที่มูลนิธิฯ ก็ไม่ทำ
ท่านอาจารย์ ถ้าจะทำบุญอย่างนั้นกับคนที่ไม่มีปัญญา และไม่ได้มีชีวิตตามพระธรรมวินัยควรทำหรือไม่
ผู้ฟัง ไม่ควร
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็ต้องเป็นผู้ตรง สนับสนุนใคร สนับสนุนให้เป็นอย่างนั้นทั้งๆ ที่เห็น ทั้งๆ ที่รู้ที่เห็นว่าท่านเหล่านั้นไม่ได้ศึกษาพระธรรม ไม่ได้ประพฤติปฏิบัติตามพระวินัยแล้วยังส่งเสริมหมายความว่าอย่างไร ส่งเสริมผู้ที่ทำลายพระพุทธศาสนาให้ทำลายต่อไป
ผู้ฟัง อย่างเช่น ท่านเจ้าอาวาสมาที่บ้านเพราะว่าเคยไปจองลูกนิมิตไว้หนึ่งลูก ๓๐,๐๐๐ บาท ทีนี้ใกล้จะถึงเวลาที่จะมีพิธีตัดลูกนิมิตแล้ว ท่านก็มาบอก แล้วบอกว่าจะต้องมีเสมาที่คลุมลูกนิมิตอีก ๕๐,๐๐๐-๖๐,๐๐๐ บาท ก็เข้าใจที่ท่านหมายความแล้วว่าตนเองเป็นเจ้าของลูกนิมิตก็ต้องบริจาคเพื่อจะทำเสมาตรงนี้อีก
ท่านอาจารย์ ท่านไม่ได้ประพฤติตามพระวินัย ท่านอาบัติใช่หรือไม่
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ แล้วคฤหัสถ์รู้หรือไม่ว่าอาบัติแค่ไหน แล้วเราไม่ศึกษา แล้วเราก็ไม่รู้ แต่ถ้าเราศึกษาเรายังสามารถจะบอกได้ และสามารถที่จะอนุเคราะห์ได้ว่าอาบัติข้อนี้จะปลงด้วยวิธีไหน เพื่อกลับคืนสู่ความเป็นภิกษุเข้าหมู่ เข้าคณะของภิกษุในพระธรรมวินัยต่อไป เพราะฉะนั้นคฤหัสถ์มีหน้าที่ ถ้าพระภิกษุท่านไม่รู้ ก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนา โพนทะนาในที่นี้ไม่ใช่ไปว่าร้าย หมายความว่าประกาศให้รู้ทั่วกันว่าอะไรถูก อะไรผิด เพราะพระเองบอกว่าไม่เป็นไรรับได้เงินทอง เราจึงต้องเรียนพระวินัย ผิดเพราะอะไร ข้อไหน พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ด้วยพระองค์เอง จะมีใครกล้าที่จะบอกว่ารับได้
ผู้ฟัง เพราะว่าการจะพูดอย่างนั้นได้เราต้องรู้พระวินัย คฤหัสถ์อย่างเราจะได้บอกท่านว่าในพระวินัยข้อนี้ ภิกษุรับเงินทองไม่ได้
ท่านอาจารย์ แล้วพระวินัยละเอียดมากด้วย เพราะเหตุว่ากิเลสละเอียด และเราคิดว่าเรามีแค่กิเลสหยาบๆ หรือ กิเลสมีทุกระดับขั้น ที่ละเอียดที่ไม่รู้สึกก็มี อยากจะฟังแต่เรื่องนี้ไม่อยากจะเข้าใจเรื่องอื่น เพราะอะไร เพราะว่าแม้แต่กำลังเห็นอย่างนี้พูดมาตั้งกี่ปีรู้หรือยัง เมื่อยังไม่รู้ยังจะต้องการไปรู้อะไร คิดว่ารู้อย่างนั้นแล้วจะมาทำให้เข้าใจหรือ มีแต่ทำไปด้วยความอยากโดยไม่รู้ตัวเลยว่าขณะนั้นเพราะอยาก ในเมื่อธรรมก็เป็นอยู่อย่างนี้ ฟังแค่คำที่ได้ยินแล้วบ่อยๆ จนกระทั่งค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละคำๆ ดีกว่าที่จะมีคำเยอะๆ แล้วก็สงสัย แล้วอยากรู้อีก แค่นี้ก็ยังไม่พอก็อยากรู้อีก แค่นั้นก็ยังไม่พอ แล้วก็จะละกิเลสกันได้อย่างไร เพราะฉะนั้นกิเลสเป็นสิ่งที่ซ่อนเร้นปิดบัง ปัญญาเท่านั้นที่จะเห็นได้