คำของอริยสาวก


    อ.อรรณพ เมื่อครู่ที่สนทนาอาณีตสูตร ที่เปรียบเทียบเหมือนกลองอานกะ กลองที่มีการตอกลิ่มไปจนกระทั่งสุดท้ายก็ไม่เหลือโครง ซึ่งพูดถึงสาวกภาษิต แต่ก็มีข้อความด้วยว่าภายนอกพระศาสนา ภายนอกพระศาสนาก็คือคนที่พูดกันไป ไม่ได้ตรงกับพระธรรม เพราะฉะนั้น เดี๋ยวคนจะนึกว่าไม่ฟังพระอริยสาวก เขาเข้าใจผิดถึงขนาดว่าคำของท่านพระสารีบุตรเขายังไม่ฟังบอกว่านี้เป็นสาวก ต้องเอาของแท้คือคำพุทธเจ้าเท่านั้น แต่จริงๆ ท่านพูดถึงว่าเป็นนอก ลัทธินอกศาสนา มีภายนอกพระศาสนาก็คือภายนอกคำสอนก็คือสิ่งที่ไม่ได้เป็นสาระตรงตามอรรถในพระธรรม เพราะฉะนั้นเวลาศึกษาถ้าไม่เข้าใจหยิบมาส่วนหนึ่งของพระสูตร แล้วบอกนี่คือสาวกภาษิต ท่านไม่ได้หมายถึงอริยสาวกในพระศาสนานี้ แต่หมายถึงนอกพระศาสนา ก็คือเป็นคำสอนที่คิดเอง แล้วในขณะที่แม้จะบอกว่าให้เอาพุทธพจน์ พุทธวจน แต่ไม่ได้เข้าใจพุทธพจน์ พุทธวจนเลยว่ามีอรรถอย่างไร อธิบายไปตามความคิดเห็นของตัวเอง ขณะนั้นเป็นความคิดคำสอนที่นอกพระศาสนาหรือเปล่า ทั้งๆ ที่อ้างพุทธพจน์ พุทธวจน เพราะฉะนั้นต้องเป็นความละเอียด ถ้าไม่ศึกษาให้เข้าใจ ไม่ได้เทียบเคียงให้ละเอียดถี่ถ้วน เอาไปบางส่วน ไปคิด ไปสอน ไปเผยแพร่กัน แล้วดูเหมือนง่าย คนก็อยากได้ เพราะฉะนั้นคนเรามีความอยาก โลภะ๑ มีความเข้าใจผิด๑ มีความไม่รู้ ๑ ทั้ง ๓ อย่างนี้เป็นสิ่งที่น่ากลัวแล้วก็ละเอียด เพราะคนส่วนใหญ่ก็ยังหวังผล เช่น อยากจะให้ญาติที่ใกล้ตายได้ไปสุคติภูมิ มีความอยาก และมีความไม่รู้ เพราะไม่รู้เหตุรู้ผลว่าถูกหรือไม่ และพอเขาพูดก็เชื่อไปตามความเห็นผิด การกระทำที่จะต้องทำกรรมวิธีอย่างนั้นหรืออะไร เพราะฉะนั้น โลภะ ทิฏฐิ อวิชชา จึงเป็นสภาพกิเลสอกุศลที่เป็นอาสวะคือไหลไป ซึมไป อยู่อย่างละเอียด แล้วก็เป็นสภาพที่ ล้อมเอาไว้ห้อมล้อมเอาไว้ ประกอบเอาไว้เหมือนห้วงน้ำที่จมอยู่ จมอยู่ในห้วงของความติดข้องความเห็นผิด และความไม่รู้ จึงเป็นสภาพธรรมที่มีโทษมากๆ ทั้ง ๓ สภาพธรรมนี้ รวมถึงอกุศลธรรมอื่นด้วย แต่ ๓ ประการนี้ เป็นสิ่งที่กว้างขวางมากของอกุศลธรรม

    ท่านอาจารย์ ท่านพระสารีบุตรเป็นใคร

    อ.อรรณพ เป็นพระอัครสาวกผู้เลิศด้วยปัญญา

    ท่านอาจารย์ ใครเป็นผู้ตรัสว่าท่านพระสารีบุตรเป็นพระอัครสาวกผู้เลิศด้วยปัญญา

    อ.อรรณพ พระผู้มีพระภาคเจ้า

    ท่านอาจารย์ แล้วใครจะไม่นับถือท่านพระสารีบุตร ผู้นั้นเคารพในพระรัตนตรัย หรือไม่มีสังฆรัตนะที่จะเคารพ แม้แต่คำที่ได้ยินบ่อยๆ พระรัตนตรัยต้อง ๓ จะมีเพียง๑ ได้ไหม ๒ ได้ไหม เพราะฉะนั้น ถ้าผู้ที่ฟังพระธรรมแล้วไม่ได้รู้แจ้งอริยสัจธรรมไม่ได้เป็นอริยสาวก คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเป็นประโยชน์ไหม ก็แสดงให้เห็นว่าต้องพิจารณาไตร่ตรองโดยรอบคอบจริงๆ แล้วใครกล้าที่จะบอกว่าไม่ฟังคำของสาวกซึ่งเป็นพระอริยสาวกเป็นพระสังฆรัตน แล้วคนนั้นเป็นอะไร เป็นใคร คนที่กล่าวอย่างนั้นเป็นใคร

    อ.อรรณพ คงจะยิ่งกว่าพระสารีบุตร

    ท่านอาจารย์ ไม่เป็นอะไรเลยที่จะเข้าใกล้พระศาสนาก็ไม่ได้เข้าใกล้ เพราะเหตุว่าเป็นผู้ที่กล่าวตู่คำของสัมมาสัมพุทธเจ้า

    อ.ธีรภีทร์ ท่านพระสารีบุตรเมื่อได้บรรลุเป็นพระโสดาบันแล้ว ไปกล่าวคำนี้กับใครต่อ ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ซึ่งท่านพระมหาโมคคัลลานะก็ฟังจากท่านพระสารีบุตรนั่นเองแล้วก็เป็นพระโสดาบันด้วย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ทุกคำของผู้ที่เป็นสาวกต้องตรงกับความจริงตรงกับคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้แล้ว ไม่ได้ค้านกันเลย เพราะฉะนั้นจะฟังคำของใคร เมื่อไหร่ แต่คำนั้นเป็นคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้แล้ว ได้ทรงแสดงไว้แล้วย่อมเป็นประโยชน์ มิฉะนั้นก็จะไม่มีใครฟังคำของแม้พระรัตนตรัยที่เป็นสังฆรัตน


    หมายเลข 10629
    25 พ.ค. 2567