ต้องเข้าถึงลักษณที่ไม่ใช่เราเพราะเป็นสภาพรู้
สุ. สุข ทุกข์ โสมนัส โทมนัส นี่ใครๆ ก็รู้จัก เฉยๆ ตอบได้ แต่ว่าลักษณะจริงๆ ของสภาพธรรมทั้งหมดจะรู้ได้ไม่ใช่เพียงชื่อก็โดยสติสัมปชัญญะรู้ตรงลักษณะนั้นโดยไม่เลือก โดยไม่จงใจว่าจะไปรู้ลักษณะของความรู้สึกอะไร ถ้าไม่ระลึกลักษณะของความรู้สึก จะรู้ลักษณะของลักษณะหนึ่งลักษณะใดก็ได้ที่กำลังปรากฏ ในขณะนี้ถ้ามีการเกิดระลึก นั่นคือสติสัมปชัญญะหรือสติปัฏฐานที่เป็นปกติ
ผู้ถาม ถ้าขณะนี้หรือเมื่อกี้ที่พึ่งผ่านมาก็ได้แค่ระลึกรู้ตามไปเรื่อยๆ
สุ. ฟังเข้าใจ แต่ก็ยังไม่ได้รู้ตรงลักษณะ
ผู้ถาม อันนั้นก็ยังไม่ใช่สติ
สุ. ต้องเป็นนามธรรม เข้าใจลักษณะที่ไม่ใช่เราเพราะเป็นสภาพรู้ เป็นนามธรรม หรือว่าเป็นสภาพที่ไม่รู้ ต้องเข้าถึงลักษณะนั้นด้วย แต่ก็ค่อยๆ อบรมไปให้เข้าใจขึ้น
ผู้ถาม ในภูมิที่มีขันธ์ ๕ นามธรรมกับรูปธรรมย่อมมีความสำคัญต่อเนื่องกัน อยากได้คำอธิบาย
สุ. พิสูจน์ได้เลยขณะนี้อยู่ที่นี่ มีนามธรรมแน่นอน แล้วมีรูปธรรมด้วยหรือเปล่า
ผู้ถาม มีรูปธรรมด้วย
สุ. ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวว่าในภูมิที่มีขันธ์ ๕ คือมีทั้งจิต เจตสิก รูป แม้รูปก็เกิดพร้อมปฏิสนธิจิตซึ่งเป็นวิบากจิต กรรมทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นพร้อมกัมมชรูป ถ้าเป็นกามาวจรภูมิที่จะไม่มีรูปเกิดพร้อมปฏิสนธิจิตไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าเป็นผลของกุศลซึ่งเป็นไปในรูปยังมีรูปอยู่ เพราะฉะนั้นไม่ว่ากุศลนั้นให้ผลเมื่อไหร่ ก็จะเป็นปัจจัยให้วิบากจิตซึ่งเป็นปฏิสนธิจิตเกิดพร้อมกับรูปด้วย ในชีวิตประจำวันมีตาเห็นอะไร
ผู้ถาม เห็นรูป
สุ. นั่นสิคะ ก็พ้นจากรูปไม่ได้เลย สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาก็เป็นรูป จักขุปสาทก็เป็นรูป เป็นปัจจัยให้จิตเกิดขึ้นเห็น อรูปพรหมบุคคลไม่เห็น ไม่มีรูปใดๆ เกิดพร้อมกับปฏิสนธิจิตเลย เป็นอรูปวิบากซึ่งทำกิจปฏิสนธิทำกิจภวังค์ ทำกิจจุติ ระหว่างนั้นเมื่อเกิดมาก็ไม่มีรูปใดๆ เลย ไม่มีการเห็น ไม่มีการได้ยิน ไม่มีการได้กลิ่น ไม่มีการลิ้มรส ไม่มีการที่จะรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เพราะว่ารูปไม่มี ด้วยเหตุนี้จึงเป็นภพภูมิที่ต่างๆ กันไปตามเหตุคือกรรม
ผู้ถาม ชีวิตประจำวันจะมีรูปเกิดโดยที่ไม่มีนามเกิดได้ไหม
สุ. ในชีวิตประจำวัน ในภูมิไหน
ผู้ถาม ในภูมิที่มีขันธ์ ๕
สุ. ต้นไม้นี่มีนามไหม
ผู้ถาม ไม่มีนาม แต่มีรูป
สุ. แต่เป็นรูปที่เกิดเพราะอุตุเป็นปัจจัย
ผู้ถาม ในตัวเราที่อยู่ในภูมิขันธ์ ๕ จะมีรูปเกิด แล้วไม่มีนามเกิดได้ไหม
สุ. ไม่ได้เลย แล้วนามยังอุปถัมถ์รูปที่เกิดด้วยซ้ำสำหรับการที่จะเป็นรูปที่เป็นสัตว์ เป็นบุคคล
ผู้ถาม ขณะที่เราหลับ จักขุปสาทรูปเกิดได้
สุ. ก่อนอื่นต้องทราบว่าจักขุสาทรูปเกิดเพราะอะไรเป็นปัจจัยเป็นสมุฏฐาน
ผู้ถาม เกิดเพราะกรรมเป็นปัจจัย
สุ. เกิดเพราะกรรมเป็นสมุฏฐาน กรรมที่ได้กระทำแล้ว เป็นปัจจัยที่มีกำลัง กัมมปัจจัยทำให้จักขุปสาทรูปเกิดทุกอนุขณะของจิต เว้นไม่ให้เกิดไม่ได้เลยเพราะเป็นหน้าที่ของกรรม ใครก็จะไปยับยั้งไม่ให้รูปซึ่งเกิดเพราะกรรมเกิดไม่ได้ ตราบใดที่กรรมทำให้รูปนั้นเกิด แต่ถ้ากรรมไม่ทำให้จักขุปสาทรูปเกิด ตื่นขึ้นมาก็ตาบอดแล้ว มองไม่เห็นอะไร เราก็รู้เหตุว่าทำไมเป็นอย่างนั้น ทำไมไม่มีจักขุปสาทรูปเกิดเหมือนวันก่อน เพราะกรรมเป็นปัจจัยที่ไม่ทำให้รูปนั้นเกิด
ผู้ถาม ขณะที่นอนหลับ สภาพการเห็นคือจักขุวิญญาณไม่ได้เกิด
สุ. ขณะนั้นที่นอนไม่มีตัวเลยหรือ
ผู้ถาม มี
สุ. หรือเหลือแต่นามล้วนๆ ไม่มีตัวเลย ไม่มีรูปร่างกายเลยขณะที่นอนหลับ
ผู้ถาม ขณะที่นอนหลับมีรูปร่างกายเพราะอะไร เพราะมีปัจจัยหรือสมุฏฐานให้รูปเกิด รูปก็เกิด เพราะที่กายมีกรรมเป็นสมุฏฐานให้รูปที่เกิดจากกรรมเกิด มีจิตเป็นสมุฏฐานให้รูปที่เกิดจากจิตเกิด มีอุตุเป็นสมุฏฐานให้รูปที่เกิดจากอุตุเกิด มีอาหารเป็นสมุฏฐานให้รูปที่เกิดจากอาหารเกิด รู้หรือไม่รู้ก็มีสมุฏฐานแล้วที่จะทำให้รูปนั้นๆ เกิด แต่ว่าอายุสั้นมากเลย เกิดแล้วก็ดับอย่างรวดเร็วเท่ากับการเกิดดับของจิต ๑๗ ขณะ มีเหมือนไม่มี เพราะเหตุว่าดับเร็วมาก แล้วทยอยกันเกิดทยอยกันดับตามอายุของรูปด้วย
ผู้ถาม แต่ว่าจักขุวิญญาณนี่ไม่ได้เกิดใช่ไหม
สุ. เดี๋ยวนี้ขณะที่กำลังได้ยิน จักขุปสาทมีหรือเปล่า
ผู้ถาม มี
สุ. เพราะอะไร เพราะกรรมทำให้จักขุปสาทเกิด แต่ว่าจักขุปสาทขณะนั้นทำกิจกระทบกับสิ่งที่ปรากฏทางตาหรือเปล่าขณะที่กำลังได้ยิน
ผู้ถาม ไม่ได้ทำกิจ
สุ. เพราะฉะนั้นแม้กำลังได้ยินรูปอื่นๆ ที่เกิดจากสมุฏฐานต่างๆ ก็ยังเกิดตามสมุฏฐานนั้นๆ ไม่ได้หมายความว่าเมื่อมีจักขุปสาทเกิดแล้วต้องเห็นตลอดไม่ใช่อย่างนั้น กายปสาทซึ่งซึมซาบอยู่ทั่วตัว ในขณะที่เห็นกายปสาทนั้นเกิดแล้วดับแล้วเรื่อยๆ เพราะเหตุว่ากรรมเป็นสมุฏฐานให้เกิดขึ้น แม้ไม่มีการรู้สิ่งที่กระทบ ขณะนั้นกายปสาทก็มี
ผู้ถาม สิ่งที่ปรากฏทางตาปรากฏ ก็แสดงว่าต้องมีการกระทบกัน
สุ. แน่นอน
ผู้ถาม แล้วก็ต้องมีจักขุวิญญาณเกิด
สุ. ชั่วขณะ แล้วก็ดับทั้งนามธรรม และรูปธรรมเร็วมากขณะที่กำลังเห็น มีรูปธาตุกระทบจักขุปสาทเป็นปัจจัยให้จักขุวิญญาณเกิดเห็นแล้วก็ดับ แล้วรูปก็อายุแค่ ๑๗ ขณะก็เร็วมาก เกือบจะกล่าวได้ว่าไม่มีอะไรเหลือเลยที่เป็นเรามีแต่ความจำ แต่ว่ารูปก็ดับเร็ว นามก็ยิ่งดับเร็วกว่ารูปทั้งหมด ไม่ใช่ของใครเลย และก็ไม่เหลือด้วย ดับแล้วก็ดับไปเลย
ที่มา ...