มีความเป็นเราพยายามขวนขวายที่จะทำหมดทุกอย่าง
อ.วิชัย ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงให้เว้นความยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ บางท่านอาจจะคิดว่าการไม่ดูละครต่างๆ ก็เป็นการงดเว้น เดี๋ยวจะชินไปเอง
สุ. พระธรรมทั้งหมดเพื่อให้ถึงภาวะความไม่มีความยินดี ทั้งหมดเลย ไม่ใช่เพียงแค่ไม่ดูละคร ไม่ดูโทรทัศน์ แต่เพื่อให้ถึงการไม่มีภาวะซึ่งติดข้องนี่คือพระธรรมทั้งหมดเลย แต่ทรงแสดงความเป็นจริงซึ่งถ้าเผินอาจจะคิดว่าสั่งหรือบอก แต่ว่าความเป็นจริงกุศลกับอกุศล สภาพธรรมไหนควรละ สภาพธรรมไหนควรเจริญ แม้ว่าบอกควรละๆ ได้หรือเปล่า โดยไม่มีปัญญา ละไม่ได้เลย ทรงแสดง ๔๕ พรรษาเป็นพระวินัยปิฎก พระสุตตตันปิฎก พระอภิธรรมปิฎก เพื่อให้ผู้นั้นเกิดปัญญา และปัญญานั้นต่างหากที่ละ แต่ไม่ใช่ให้มีความเป็นเรา พอได้ยินก็ละ ไม่ทำอย่างนั้น ไม่ทำอย่างนี้ แล้วลำบากใจหรือเปล่าที่จะเป็นอย่างนั้น หรือว่าสบายใจเพราะเหตุว่ามีการรู้ความจริงว่าขณะนั้นเป็นธรรม และการรู้ขั้นฟังยังไม่พอ เพราะเหตุว่าจะเข้าใจลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏไม่ใช่เพียงขั้นฟัง แต่ลักษณะนั้นมี แต่ว่ายังไม่ถึงระดับขั้นที่จะทำให้สัมมาสติเกิด เพราะว่ายังไม่ได้รู้ลักษณะของสัมมาสติ แต่มีความเป็นเราพยายามขวนขวายจะทำหมดเลยทุกอย่าง ตรงกันข้ามกับที่ทรงแสดงไว้ว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นธรรมทั้งหมดต้องสอดคล้อง และต้องเป็นความจริงที่มั่นคงขึ้น ซึ่งในพระไตรปิฎกในพระปฐมเทศนาก็ได้ทรงแสดงไว้ว่าการที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมมี ๓ รอบจะขาดรอบหนึ่งรอบใดไม่ได้เลย รอบแรกคือสัจจญาณ ปัญญาที่รู้จริงว่าทุกข์คืออะไร ถ้าบอกว่าทุกข์ อะไร ทั้งหมดต้องอะไร เพื่อที่จะได้เข้าใจได้ถูกต้อง ความรู้สึกไม่สบายเป็นทุกข์หรือเปล่า เป็น ทุกคนรู้จัก และก็ความรู้สึกเป็นสุข เป็นทุกข์หรือเปล่า เห็นไหม ถ้าไม่ศึกษาเราจะไม่เข้าใจเลยว่าทุกขอริยสัจจไม่ใช่เพียงทุกขเวทนา แต่สภาพธรรมใดๆ ทั้งหมดซึ่งเกิดแล้วดับไม่เที่ยงเลย เป็นของเราเมื่อไหร่ อันไหน หมดไปแล้วๆ เวลาเกิดก็เกิดเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้จริงๆ เป็นหนทางที่จะดับทุกข์เพราะรู้สมุทัย อวิชชา และโลภะทำให้มีความติดข้อง แต่ว่าเป็นเรื่องที่จะต้องอบรมเจริญปัญญา
ที่มา ...