เราละกิเลสไม่ได้


    การที่จะละคลายกิเลสได้ ต้องด้วยปํญญาที่เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง แต่ไม่ใช่ด้วยความเป็นตัวตนที่จะละกิเลส


    ผู้ฟัง ที่กล่าวว่าความดี กุศล ละอกุศล ก็เอากุศลมาเป็นเรา เเท้ที่จริงก็ต้องย้อนมาที่ว่า กุศลเป็นธรรมหรือเปล่า ถ้าไม่มีความเข้าใจอย่างนี้จริงๆ ว่ากุศลเป็นธรรม ไม่ใช่เรา แล้วก็มีตัวตนจะทำกุศล ละอกุศล ก็ไม่มีทางละกิเลสได้

    ท่านอาจารย์ เพราะเป็นเราแล้วจะละกิเลสได้หรือ

    ผู้ฟัง แต่ความตั้งใจที่ละอกุศล ก็เป็นสิ่งที่ดี

    ท่านอาจารย์ ใครตั้งใจ

    ผู้ฟัง ก็เป็นเรา

    ท่านอาจารย์ แล้วศึกษาธรรมว่าอย่างไร ธรรมเป็นธรรม แค่นี้ ไตร่ตรองจนกระทั่งเป็นความเข้าใจว่า ไม่มีเรา เป็นธรรม ไม่ต้องไปทำอะไรเลยทั้งสิ้น ขณะที่เข้าใจนั้นก็ถูกต้องเป็นกุศลด้วย ยังจะต้องมีเราไปหวังไปรออะไร แต่ละคำลึกซึ้ง ไม่ใช่ว่าพอผู้มีพระภาคตรัสว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ทุกคนจะเข้าถึงความเป็นอนัตตาได้ เพียงแต่เริ่มฟัง เริ่มคิด เริ่มไตร่ตรองว่าจริงหรือไม่ และกว่าจะเข้าใจขึ้นๆ แม้แต่ทางตาที่กำลังเห็น มีสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้หลับตาแล้วไม่เหลือเลย ไม่มีเลย ไหนคน ไหนดอกไม้ ไหนโต๊ะ ไหนเก้าอี้ เริ่มเข้าถึงความจริงแต่ละหนึ่ง สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ปรากฏเมื่อมีจิตเห็น ถ้าจิตเห็นไม่เกิดสิ่งนี้ไม่ปรากฏว่ามี แต่สภาพจำ เก่ง จำหมดเลย

    ผู้ฟัง ในขณะที่เราได้เจริญกุศลก็ควรที่จะเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ เราควร ทำอย่างนั้น เราควร ทำอย่างนี้ เพื่อเราทั้งหมด ไม่ได้เข้าใจว่าเป็นอนัตตาเป็นธรรมเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป กุศลเป็นกุศล อกุศลเป็นอกุศล ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นสะสมความเห็นถูกทีละเล็กทีละน้อยจนกว่าจะหมดความเป็นเรา ไม่ว่าเราจะได้ยินได้ฟังเรื่องของจิตเห็น หรือว่าความติดข้องอะไรๆ ต่างๆ ขอให้รู้ว่าเป็นความจริง ไม่ใช่ว่าเราจะต้องไปจำคำ แต่ให้รู้ว่าเห็นมีจริง ได้ยินมีจริง ติดข้องมีจริงเป็นธรรม ให้เข้าใจ ไม่ใช่ให้ไปจำว่า เห็นมีจริง ได้ยินมีจริง ติดข้องมีจริงเป็นธรรม ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ฟังแล้วเห็นกำลังมีจริงๆ สิ่งที่มีจริงๆ นั้นเป็นธรรมในอีกภาษาหนึ่ง ชาวมคธีชาวเมืองมคธเขาไม่เข้าใจคำว่าสิ่งที่มีจริง แต่เขาเข้าใจคำว่าธรรม เพราะฉะนั้นสำหรับเราพอพูดถึงธรรมบางคนไม่เข้าใจ ไปหาธรรมโดยไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้สิ่งที่มีนั้นเป็นธรรม เพราะฉะนั้นฟังให้เข้าใจ แต่ไม่ใช่ไปจำคำทั้งหมดแล้วก็มาคิดเป็นคำๆ อย่างนั้น ศึกษาธรรมเพื่อเข้าใจถูกตามความเป็นจริงของธรรม

    ผู้ฟัง ก็จะไปคิดต่อว่าจะได้ไม่ไปอบาย

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นเราอย่างนั้น คำว่าธรรมหายไปแล้ว นี้แสดงว่าฟังอย่างไร แม้คำเดียวเป็นธรรม ก็ยังไม่เข้าใจว่า ธรรมจริงๆ เป็นธรรมเท่านั้นเป็นอื่นไม่ได้ พอเป็นธรรมแล้วเราจะไม่ไปอบาย ก็เลยหมดแล้วที่ฟังว่าธรรมนั้นเป็นธรรม ก็ไม่เหลือแล้ว

    ผู้ฟัง เพราะทำให้เหมือนกับว่าเรากลัวที่จะไปอบาย

    ท่านอาจารย์ ก็เรา เพราะลืมว่าธรรม ธรรมเป็นธรรม ไม่ใช่เรา จนกว่าจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ถ้ายังเป็นเรามาเรื่อยๆ การที่จะเข้าใจว่าธรรมเป็นธรรมก็ไม่มี ฟังธรรมทำไมเพราะไม่รู้ว่าเป็นธรรม ไม่เข้าใจธรรมก็ฟังเพื่อเข้าใจ และเข้าใจว่าธรรมไม่ใช่เรา อย่าลืม ธรรมเป็นธรรม เดี๋ยวก็ลืมๆ เดี๋ยวก็ลืมยังไม่พอ เดี๋ยวก็คิดจะทำต่อ

    ผู้ฟัง แม้กระทั่งที่ว่าฟังธรรมเพื่อที่เราจะได้ทุกข์น้อยลง ก็เป็นเราหมด

    ท่านอาจารย์ แน่นอน ไม่ได้เพื่อเข้าใจถูกต้องว่าไม่ใช่เราเป็นธรรม

    ผู้ฟัง แต่ในความเป็นจริงส่วนใหญ่เห็นทุกข์แล้วก็มาเห็นธรรม ผู้ไม่เห็นทุกข์ก็บอกว่าสบายดีไม่รู้จะมาฟังธรรมทำไม

    ท่านอาจารย์ เช่นนั้น ทุกคนก็ไปทำทุกข์เพราะอยากเห็นทุกข์ ถูกหรือผิด ทำกันมาก นั่งนานๆ ยืนนานๆ เดินนานๆ เมื่อยเป็นทุกข์ก็เห็นทุกข์แล้ว อย่างนั้นไม่ใช่

    ผู้ฟัง หรือว่าพอมาฟังธรรมมากๆ แล้วปรากฏว่าชีวิตประจำวันเบาละคลายก็มีความดีใจว่าฟังธรรมเข้าใจแล้วละคลาย มีความสุขมีเบาสบาย

    ท่านอาจารย์ แล้วตอนวันหนึ่งก็ร้องไห้ ตอนนั้นละคลายหรือไม่

    ผู้ฟัง ร้องไห้ก็ทราบว่าเป็นอกุศลเกิดสลับ

    ท่านอาจารย์ สามารถรู้ด้วย อย่างนั้น ก็ไม่ร้อง

    ผู้ฟัง เกิดแล้ว

    ท่านอาจารย์ ถ้าเกิดแล้วแปลว่าเข้าใจถูกต้อง ว่าเบานั้นเบาแค่ไหนตอนเข้าใจเท่านั้น

    ผู้ฟัง มีความรู้สึกว่าโลภะ ตามตลอดทุกเรื่องเลย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นไม่ได้เบาจะบอกว่าเบาสบายไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็เป็นเราไปตลอด ฟังแล้วไม่รู้ว่าเป็นธรรม มีธรรมเดี๋ยวนี้ให้เข้าใจจนกว่าจะได้ฟังพระธรรม ซึ่งแสดงความจริงของธรรม แล้วเริ่มเข้าใจว่าธรรมนั้นๆ เป็นธรรมะนั้นๆ ไม่ใช่เรา


    หมายเลข 10755
    5 พ.ค. 2567