ธรรมวาที
ธรรมวาทีคือผู้กล่าวความจริงตรงตามธรรมะ และเป็นผู้ถึงพระรัตนตรัย
ท่านอาจารย์ ฟังธรรม เข้าใจถึงเฉพาะลักษณะของธรรมด้วยความเข้าใจ ซึ่งมากพอที่จะรู้ว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่เพียงแต่เป็นธรรมวาที แต่ปฏิบัติธรรมตามที่ได้ฟัง ไม่ใช่เรา ทั้งหมดต้องไม่ใช่เรา เป็นธรรมทั้งหมด ความเข้าใจที่เกิดจากการฟังก็จะเริ่มค่อยๆ ถึงเฉพาะลักษณะ ปฏิปัตติ เฉพาะลักษณะของ สภาพธรรมหนึ่งเท่านั้น แต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง โดยความเป็นอนัตตา แล้วก็ต้องละการที่เคยยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนด้วย จึงสามารถที่จะเป็นไปตามข้อความที่มีในพระสูตรนี้
อ. กุลวิไล ท่านผู้ใดปฏิบัติเพื่อละ ราคะ โทสะ โมหะ ท่านผู้นั้นเป็นผู้ปฏิบัติดีในโลก
ท่านอาจารย์ ตามลำดับ จะไม่ตามลำดับไม่ได้เลย
อ. กุลวิไล ราคะ โทสะ โมหะ อันท่านผู้ใดละแล้วถอนรากเสียแล้ว ทำให้เป็นดังตาลยอดด้วน กระทำไม่ให้มีในภายหลัง ไม่ให้เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา ท่านผู้นั้นเป็นผู้ไปดีแล้วในโลก
ท่านอาจารย์ เห็นหรือไม่กว่าจะถึงการละ เดี๋ยวนี้ทุกคนเป็นผู้ตรง อยู่ที่ไหน ต้องตรง ผู้ที่ตรงเท่านั้นที่จะได้สาระจากธรรม ธรรมตรงตามเหตุตามผล ไม่มีการไปปฏิบัติ ถ้ายังไม่มีความเข้าใจธรรม ปฏิบัติได้อย่างไร ตามลำดับ ๓ ขั้น ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวท ไม่ใช่ธรรมเป็นอย่างนี้ แล้วกล่าวอย่างอื่น ละโลภะ ละ โทสะ ละโมหะ โลภะคืออะไรอยู่ที่ไหนเดี๋ยวนี้ไม่ ก็ไม่รู้ นั่นตรงแล้วหรือ
อ. กุลวิไล ท่านผู้ใดแสดงธรรม เพื่อละ ราคะ โทสะ โมหะ ท่านผู้นั้นเป็นธรรมวาทีในโลก
ท่านอาจารย์ ไม่ต้องเป็นผู้แสดงก็ได้ แต่เข้าใจตามที่ได้ฟังก็กล่าวตามความเข้าใจที่ได้ฟังตรงๆ เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ผู้ใดกล่าวธรรมเป็น ธรรมวาที ผู้กล่าวต้องเป็นผู้ตรง ผู้ฟังต้องเป็นผู้ตรง เพราะมิฉะนั้นแล้วก็ไม่ได้เข้าใจคำที่ได้ฟังว่า ผู้ใดกล่าวธรรมก็ต้องรู้ว่าธรรมคืออะไร เมื่อเข้าใจแล้วผู้ที่ฟังที่เข้าใจก็กล่าวอย่างเดียวกัน ไม่ใช่กล่าวอย่างอื่น ไม่ใช่ว่าผู้กล่าวเป็นธรรมวาที และผู้ฟังไม่ใช่ธรรมวาที เมื่อเข้าใจเมื่อใด กล่าวเมื่อใด บุคคลนั้นเป็นธรรมวาที เมื่อผู้กล่าวธรรมวาทีแล้ว ผู้ฟังที่เข้าใจก็กล่าวเหมือนกัน เมื่อเข้าใจถูกต้องไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นใคร ใครก็ตามที่มีคำจริง คำตรงตามที่ได้ฟังเข้าใจแล้ว พูดนั้นก็กล่าวคำที่เป็นธรรมที่ถูกต้อง เป็นธรรมวาที
อ. กุลวิไล อนึ่ง ท่านผู้ใดปฏิบัติเพื่อละราคะ โทสะ โมหะ ท่านผู้นั้นเป็นผู้ปฏิบัติดีในโลก
ท่านอาจารย์ ฟังแล้ว เข้าใจแล้ว ประพฤติปฏิบัติตรงตามที่ได้เข้าใจ ธรรม ทั้งหลายเป็นอนัตตา มีแล้ว ไม่ต้องไปหา แต่ไม่รู้สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ธรรมวาที คือผู้ที่กล่าวความจริงของสิ่งที่มี ให้ผู้ที่ได้ฟังมีความเข้าใจที่ถูกต้องตรงตามธรรม แล้วเมื่อเป็นผู้ที่ตรงก็รู้ว่าขณะนี้แม้จะได้ยินได้ฟังคำว่า เห็น กำลังมีจริงๆ เกิดแล้วเพราะเหตุปัจจัย และดับไปด้วย พิจารณาจนกระทั่งรู้ว่าสภาพธรรมปรากฏทีละหนึ่ง เพราะหลากหลายมาก ได้ยิน กับ เห็น กับสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่เหมือนกันเลยจะให้พร้อมกันได้อย่างไรเมื่อรู้อย่างนี้ก็มีความเข้าใจที่มั่นคงในขั้นการฟังว่าสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ เกิด ปรากฏ แล้วดับไป จนกว่าจะมีความเข้าใจที่มั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง ต้องขณะนี้ เกิดแล้วไม่ใช่ไปทำให้เกิด เช่น คิด กำลังคิด เห็น กำลังเห็น ได้ยิน กำลังได้ยิน ชอบ กำลังชอบ ไม่ชอบ กำลังไม่ชอบ แต่ละหนึ่งที่มีจริงๆ ถูกปิดบัง ปกปิดไว้ด้วยความไม่รู้ทั้งหมด จนกว่าจะมีผู้ที่ประจักษ์แจ้งความจริง และเปิดเผยสิ่งที่ปกปิดในขณะนี้ เช่น ขณะที่เห็นแล้วก็มีคิด แต่คิดไม่ได้ปรากฏ หรือเช่น ได้ยินแล้วก็คิด แต่คิดก็ไม่ได้ปรากฏแสดงว่า แต่ละหนึ่งขณะของสภาพธรรมที่มีเกิดพร้อมกับหลายๆ อย่าง แต่ก็ปรากฏทีละอย่าง สิ่งนั้นจะเกิดไม่ได้เลย ถ้าสิ่งที่เกิดพร้อมกันไม่อาศัยกัน และกันเกิดขึ้นเป็นปัจจัย การฟังธรรมไม่ใช่ฟังสิ่งอื่น แต่ฟังสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้เอง แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น
ปฏิปัตติ คืออะไร การเข้าใจถูกต้องตรงลักษณะที่เกิดแล้วดับ ไม่มีหนทางอื่นเลยนอกจากเป็นอนัตตา ฟังค่อยๆ ละความไม่รู้ ค่อยๆ ละความติดข้อง ค่อยๆ เห็นถูกต้องในสิ่งที่กำลังมีขณะนี้ว่ายังไม่ถึงระดับนั้น เป็นแต่เพียงกำลังเริ่มฟังเรื่องเห็น กำลังเริ่มฟังเรื่องได้ยิน กำลังเริ่มฟังเรื่องคิดนึก กำลังฟังเรื่องอะไรก็ได้ เย็นบ้าง แข็งบ้าง อะไรบ้างก็ตามที่กำลังปรากฏในขณะนี้ แต่ยังไม่ถึงการรู้เฉพาะลักษณะของสภาพธรรมแต่ละหนึ่ง จึงไม่สามารถที่จะละสภาพธรรมที่เกิดรวมกันว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ เพราะเหตุว่ารวมกันแล้ว แล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็วไม่ปรากฏเลย ดับเร็ว และก็สืบต่อมีสิ่งที่เกิดสืบต่อเร็วจนไม่ปรากฏว่าขณะนี้เอง สิ่งที่ปรากฏนี้ไม่ว่าอะไรทั้งสิ้นเกิดขึ้น แล้วดับทันที ถ้าไม่ถึงปัญญาระดับนี้ไม่ใช่ปฏิปัตติ ปริยัตินำไปสู่ปฏิปัตติ และนำไปสู่การประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมโดยความเป็นอนัตตาเป็นปฏิเวท พระธรรมทั้งหมดธรรมวาที คือ กล่าวตรงความจริงของสิ่งที่มี ตอนนี้อยู่ถึงไหน อยู่แถวไหน อยู่ระดับไหน เป็นผู้ตรงหรือไม่
อ. กุลวิไล ระดับฟังค่ะ
ท่านอาจารย์ ระดับฟัง อยากถึงระดับปฏิปัตติไหม อยากไหม ละโลภะได้หรือไม่ มีความเป็นตัวตนมาก การฟังพระธรรมความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยจะทำให้ความไม่รู้ และความติดข้องในความเป็นเราค่อยๆ หมดไปทีละเล็กทีละน้อย คิดถึงความไม่รู้ เกิดมาแล้วนานเท่าไร นานกว่าแสนโกฏิกัป ไม่รู้มาตลอด กว้างใหญ่ไพศาลยิ่งกว่าจักรวาล ลึกยิ่งกว่ามหาสมุทร แล้วจะให้ปัญญาเพียงแค่ฟัง สามารถประจักษ์ความจริงของสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ได้อย่างไร ในเมื่อมีความเป็นตัวตนหนาแน่นมาก ฟังมากี่ปีแล้ว เทียบไม่ได้กับที่เคยสะสมความไม่รู้ และความติดข้องมานานแสนนานในสังสารวัฏ แต่ว่าบุญที่ได้ทำไว้แต่ปางก่อนทำให้สามารถที่จะรู้ว่า คำนี้เป็นคำจริงจากใคร จากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธรัตน รัตนในโลกนี้มีเท่าไร มากใช่หรือไม่ ขุมเงินขุมทอง แก้วแหวนเงินทอง เพชรนิลจินดา รวมสวรรค์อีก วิมานแต่ละวิมานเป็นสิ่งที่มีค่า แต่ทั้งหมดนั้นไม่มีค่าเท่าพุทธรัตน เพราะเหตุว่ากว่าจะมีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้แต่ละพระองค์ นานแสนนานเมื่อได้ทรงตรัสรู้แล้วจะมีอะไรเหนือกว่าโลกหรือจักรวาล ซึ่งก็ยังสามารถที่จะมีรัตนะที่ต้องการในทางโลกเพชรนิลจินดาวิมานต่างๆ ได้ เพียงด้วยผลของกุศล แต่การที่จะได้ฟังพระธรรมความจริงของสิ่งที่มีซึ่งถูกปกปิดไว้นานแสนนาน
ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ได้เลย เห็นค่าของพระพุทธรัตนแล้วหรือยัง ทรงบำเพ็ญพระบารมีไม่ใช่เพื่อพระองค์เพียงผู้เดียว แต่เพื่อสัตว์โลกซึ่งไม่สามารถที่จะมีบารมีที่จะถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งยากแสนยากที่จะเป็นได้ ก็ยังมีโอกาสที่จะได้ยินได้ฟังพระธรรมแต่ละคำ เป็นรัตนเหนือสิ่งอื่นใด ก็เข้าใจความหมายของธรรมวาทีลึกซึ้งขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะเป็นที่พึ่งได้อย่างแท้จริง มิฉะนั้นแล้วก็ไม่ได้พึ่งพระพุทธรัตน พระธรรมรัตน แล้วจะเป็นสังฆรัตนได้อย่างไร หมดกิเลสได้อย่างไร เพียงข้อความที่ว่าละ โลภะ ละโทสะ และโมหะ พอหรือไม่ เมื่อไม่ใช่ความเข้าใจที่ถูกต้องเป็นไปไม่ได้เลย ต้องเป็นเรื่องของความเห็นถูกความเข้าใจถูกจริงๆ