อยู่เพื่อรู้


    ชีวิตที่เกิดมาในชาตินี้ ควรจะอยู่เพื่ออะไร


    ท่านอาจารย์ อีกไม่นานพระธรรมอันตรธานแน่นอน แต่คำว่าอันตรธาน หมายความว่าอย่างไร หมายความว่าไม่มีใครเข้าใจ คำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ต่างคนก็ต่างคิด แต่ก็ไม่ตรง ไม่ถูก เพราะว่าคนที่ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะคิดอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างไร แม้แต่ท่านพระสารีบุตร ท่านพระมหาโมคัลลานะ ท่านพระมหากัสสปะ ท่านพระอนุรุทธะ ล้วนแต่เป็นภิกษุซึ่งทรงคุณ เป็นผู้ที่ได้อบรมเจริญปัญญามามาก แต่ด้วยความเคารพ มั่นใจจริงๆ ว่า ไม่มีใครที่จะทำให้ท่านเหล่านั้นได้เข้าใจธรรมได้ ปัญหาทั้งหลายท่านไปกราบทูลถาม ทั้งๆ ที่ท่านเป็นพระอรหันต์ และเป็นผู้เลิศ เป็นมหาสาวกในทางต่างๆ ก็ยังเห็นพระคุณสูงสุดว่า ไม่มีใครอีกแล้ว นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    แล้วเราเป็นใคร ที่จะคิดว่าไม่ต้องศึกษาพระธรรม โดยเฉพาะถ้าคิดว่าปฏิบัติดีกว่า เอามาจากไหน ไม่ได้มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งเลย เพราะถ้ามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ต้องรู้คุณของพระรัตนตรัย สิ่งที่ประเสริฐสุดคือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระธรรมที่ได้ทรงแสดงประเสริฐสุด เพราะจากไม่รู้อะไรเลย เป็นเข้าใจขึ้น โลกมืดแน่นอน ไม่มีความเข้าใจว่า เห็นเดี๋ยวนี้คืออะไร ได้ยินเดี๋ยวนี้เป็นเราหรือเปล่า

    ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีทรงแสดงไว้หมด โดยละเอียดอย่างยิ่ง เพราะรู้ว่าสัตว์โลกสะสมกิเลสมานานแสนนาน เมื่อทรงตรัสรู้ ที่ใช้คำว่า ไม่น้อมพระทัยที่จะทรงแสดง ความลึกซึ้งของธรรม ในขณะที่กำลังเห็นความลึกซึ้ง ทำให้มีคำว่า ไม่น้อมพระทัย แต่ไม่น้อมพระทัยคือขณะนั้น กำลังเห็นความลึกซึ้ง แต่ที่จะไม่แสดงไม่มี เพราะเหตุว่าบำเพ็ญบารมีมา เพื่อที่จะแสดงให้ชาวโลกได้เข้าใจ

    แล้วเราก็มีโอกาสที่ต่างคนต่างมา ไม่รู้ว่ามาจากไหน แต่ว่าสะสมมาที่มีโอกาสจะได้ฟัง ซึ่งจะสะสมความเข้าใจไม่สูญหายเลย แต่จะมากหรือจะน้อยก็อยู่ที่เข้าใจแค่ไหน เห็นประโยชน์แค่ไหน และรู้ว่าชีวิตสั้นมาก กับสภาพธรรมที่สะสมมาแล้ว ด้วยความไม่รู้นานมาก ความเข้าใจแต่ละครั้ง ก็จะสะสมต่อไป ที่จะทำให้สามารถได้พบ ได้เฝ้า ได้ฟังพระธรรม ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ซึ่งไม่มีใครรู้ล่วงหน้าเลยว่า เมื่อไรจะพบอะไร อย่างท่านพระสารีบุตร ท่านก็ไม่ได้เคยคิด ว่าท่านจะพบท่านพระอัสสชิ ในสมัยที่ท่านยังไม่ได้บวช เป็นอุปติสสะ แต่ก็มีโอกาสได้ฟังธรรม แต่ความเข้าใจที่สะสมมาแล้ว เพียงแค่คำนั้นธรรมปรากฏ

    ขณะนี้ธรรมปรากฏกับอวิชชา ความไม่รู้ จนกว่าธรรมจะปรากฏกับความเข้าใจขึ้น ความเข้าใจขึ้น ทีละเล็กทีละน้อย จึงจะรู้จักว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นใคร เป็นรัตน พุทธรัตน เลิศกว่ารัตนใดๆ อย่างไร เราเห็นว่าขณะนี้เป็นเราเห็น ใช่ไหม ผิดหรือถูก ตามความเป็นจริง หนาแน่นมากไหม ฟังธรรมมาตั้งเท่าไร ๔๐ ปี ๓๐ ปี หรือว่าร้อยปี หรือชาติก่อนๆ กี่ชาติ

    อย่างคนในสมัยพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่าทีปังกร ที่ทรงพยากรณ์ท่านสุเมธดาบส คือพระโพธิสัตว์ ที่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้ ๔ อสงไขยแสนกัปป์มาแล้ว ยังรู้ว่าแล้วเราก็มีโอกาสจะได้ฟังพระธรรม ถ้ายังไม่สามารถที่จะรู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง เพราะต้องตรง ต่อทุกคำ เมื่อมีความเข้าใจว่า ขณะนี้สิ่งที่มีจริงเกิดแล้ว ใช่ไหม ไม่มีใครทำเลย เดี๋ยวนี้ทั้งเห็น ทั้งได้ยิน ทั้งคิด เกิดแล้วดับสืบต่อเร็วมาก ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาด้วย ดับแล้วไม่กลับมาอีกด้วย แล้วทำไมยังยึดถือว่าเป็นเรา เห็นความเหนียวแน่นไหม ได้ยินอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกๆ จนกว่าปัญญาค่อยๆ จะลบ จะล้าง หรือจะแกะกิเลสออกไป มากมายเหลือเกิน ไม่ต้องทำอะไร ฟังให้เข้าใจ แล้วความเข้าใจก็เป็นธรรมด้วย ไม่ใช่เรา จนกระทั่งทุกอย่างหมด ไม่เป็นที่สงสัย ในการเกิดขึ้น และดับไปของธรรมเดี๋ยวนี้

    ธรรมเดี๋ยวนี้เกิด ไม่มีเสียง และมีเสียง และก็หายไป ไม่กลับมาอีกเลย นี่คือความจริง สัจจะ ความตรงที่ว่า เมื่อธรรมเป็นจริงอย่างนี้ ไม่รู้อย่างอื่น แต่ก็ต้องรู้สิ่งที่มีจริง แต่พอฟังธรรมมากๆ ใช่ไหม ก็รู้เลยเหนียวแน่นอย่างนี้จริงๆ อุปาทานขันธ์ ยึดไว้หมดเลย ในสิ่งที่มี ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเลย ไม่มีเราแน่ แต่เมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิด เพราะไม่รู้ ก็ยึดถือสิ่งที่เกิดแล้วดับ แต่เพราะไม่รู้การเกิดดับ อีกความหมายหนึ่งของโลก โลกะ สิ่งที่เกิดขึ้น ถ้าจะหาโลกไม่ต้องไปหาที่ไหนเลย ไม่ต้องไปเอาภูมิศาสตร์ หรือว่าอะไรดวงดาวทั้งหลายมา นี่โลกนั้น นั่นโลกนี้ ก็คือถ้าไม่มีเห็น จะมีไหม ถ้าไม่มีได้ยิน จะมีไหม จะมีเรื่องราวต่างๆ ไหม ตั้งแต่เกิดจนตายก็คือธรรม ที่ปรากฏกับความไม่รู้ จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม

    ขณะนี้ก็จะเป็นผู้ที่รู้ด้วยตัวเอง ว่าเป็นผู้ตรง และความเข้าใจมากหรือน้อย ถ้าอยากรู้ก็คือ ยิ่งเป็นตัวตน คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมด เป็นไปเพื่อการละ เพราะว่าเรายังไม่เห็นโทษของความไม่รู้ ที่ทำให้ติดข้อง เมื่อได้ฟังธรรมแล้ว สิ่งที่ไม่รู้ก็ค่อยๆ เข้าใจ ในขั้นการฟัง แต่รู้เป็นผู้ตรงว่า เพียงฟัง ยังทำลายกิเลสไม่ได้เลย ยังละกิเลสไม่ได้เลย ต้องมีความเข้าใจขึ้นพร้อมกับการละ ยากไหม ไม่ได้ให้ทำอะไรเลย เข้าใจเพื่อละ ถ้าเราติดข้อง ไม่มีวันจบ สิ่งที่พอใจในชาตินี้ ไม่ติดตามไปถึงชาติหน้า ทั้งตัวไม่ได้ตามไปชาติหน้าเลย อะไรก็ตามไปไม่ได้ ทรัพย์สมบัติเงินทอง ทุกสิ่งทุกอย่าง ตามไปไม่ได้เลย แต่กิเลสตามไป กุศลในวันนี้เกิดเท่าไร กิเลสเกิดเท่าไร ทั้งหมดสะสมอยู่ในจิตที่จะสืบทอดไป

    ด้วยเหตุนี้สิ่งเดียวที่สามารถที่จะดับการเกิดก็คือ ปัญญา แต่อีกนานมากเลย ถ้าไม่เข้าใจไม่มีทาง ๔ อสงไขยแสนกัปป์ ๑๐๐ อสงไขยแสนกัปป์ หรือเท่าไรก็ตามแต่ แล้วก็จำไม่ได้ด้วย ว่าเคยเป็นใคร ชาติก่อนไม่รู้เลย ชาติหน้าก็ไม่รู้จะไปไหน ทั้งสองชาติ ชาติก่อนก็ลืมแล้ว ชาติหน้าก็ยังไม่รู้ว่าจะไป แล้วชาตินี้ก็ต้องอยู่ได้เพียงแค่นี้ อยู่นานต่อไปกว่านี้ก็ไม่ได้ สิ่งที่ประเสริฐสุดคือ ปัญญา ความเห็นที่ถูกต้อง เพราะว่าเกิดมานานเท่าไรแล้ว ด้วยความไม่รู้ ก็ขอให้เกิดต่อไป หรืออยู่ต่อไป เพื่อรู้


    หมายเลข 10765
    12 พ.ค. 2567