ว่าง่ายเพราะเข้าใจ
ว่าง่ายเพราะกุศล และปัญญา ไม่ใช่เชื่อง่ายเพราะความอยาก และความไม่รู้
ท่านอาจารย์ ความเป็นผู้ว่าง่าย ลองแสดงความคิดเห็นสิคะ จะว่าง่ายอย่างไร ใครเขาบอกให้เราทำ เราก็ทำ ว่าง่ายหรือเปล่า ไม่ใช่เลย ต้องพิจารณา มีเหตุผลว่า เป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือเปล่า มิฉะนั้นแล้วเพียงฟังแค่คำว่า เป็นผู้ว่าง่าย ก็จะเชื่อง่าย ไม่ว่าใครบอกให้ทำอะไรก็ทำ นั่นไม่ถูกต้อง แต่เป็นผู้ที่ตรงต่อความจริง และก็ตรงต่อเหตุผล และก็ตรงต่อประโยชน์ด้วย
เมื่อวานนี้ก่อนที่จะจบเรื่องของการเป็นผู้ว่าง่าย ก็ได้กล่าวว่า ขณะใดที่กุศลจิตเกิด ขณะนั้นว่าง่าย ลืมหรือยัง เพิ่งเมื่อวานนี้เอง กลับบ้านว่าง่ายหรือเปล่า ขณะใดที่กุศลจิตเกิด ขณะนั้นว่าง่าย อ่อนโยน ต่อความเป็นจริง ต่อสิ่งที่เป็นประโยชน์ และพร้อมที่จะทำได้ แต่ถ้าเราไม่ได้ฟังคำ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะคิดถึงหรือ ว่าชีวิตในวันๆ หนึ่งที่ผ่านไป เป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์อย่างไร แค่ว่าง่าย คนอื่นทำให้เราไม่ได้เลย เพราะเป็นกุศล
กุศลเกิดยากกว่าอกุศลมาก เพราะเหตุว่าทุกวัน ก็มีสิ่งซึ่งปรากฏ และก็ไม่รู้ แล้วก็ยากที่จะรู้ได้ ว่าความไม่รู้มากมายสักแค่ไหน แม้ว่าได้ฟังพระธรรม อาจจะในชาติก่อนมาแล้วหลายชาติ หรือว่าในชาตินี้ก็ยังได้ฟังอีก แต่แม้กระนั้นความเป็นผู้ตรง เป็นธรรมหรือเปล่า ขณะที่กำลังเห็น ขณะที่กำลังได้ยิน บางคนปิดประตูเลย แค่นี้รู้แล้ว จะเอาอย่างอื่น เหมือนกับว่าขณะนี้ที่กำลังเห็น รู้แล้วว่าเป็นธรรม แล้วเมื่อไรจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม คิดอย่างนี้ได้อย่างไร เพราะว่าไม่รู้ความหนาแน่น เหนียวแน่น ที่ว่าทุกอย่างที่ปรากฏ ขณะใดที่ไม่รู้ เพราะความไม่รู้มีจริงๆ ปิดบัง ไม่ให้เห็นว่า แท้ที่จริงสิ่งนี้เพียงปรากฏ ถูกไหม แต่รู้ไหม ว่าขณะนี้ แท้ที่จริงแล้ว สิ่งที่กำลังปรากฏ เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏ และจะปรากฏไม่ได้เลย ถ้าไม่มีสภาพรู้ หรือไม่มีธาตุรู้เกิดขึ้นเห็น หรือเสียงก็เหมือนกัน ขณะนี้เสียงปรากฏ แต่เสียงปรากฏไม่ได้ ถ้าไม่มีสภาพที่เกิดขึ้นได้ยินเสียง ต่างเสียง ก็ต่างจิต จะเกิดขึ้นได้ยินหรือเปล่า เสียงมีปัจจัยเกิดขึ้น เสียงก็ดับ แล้วแต่ว่าจิตจะเกิดขึ้นรู้เสียงนั้นไหม
ทุกสิ่งทุกอย่างแสดงถึงความเป็นธรรม แต่ละเอียด และลึกซึ้งมาก ได้ยินคำว่ารู้แจ้งอริยสัจจธรรม อยากรู้แจ้งอริยสัจจธรรม เพราะไม่รู้ความจริงว่า รู้ไม่ได้แน่ ด้วยความอยาก ด้วยเหตุนี้ทางฟังธรรม จึงต้องเป็นการเข้าใจขึ้น ซึ่งไม่ใช่เรา แล้วก็ค่อยๆ เป็นผู้ที่ตรง และสภาพธรรมก็ปรากฏทั้งวัน ให้พิสูจน์ว่าความเข้าใจที่เกิดจากการฟัง มากหรือน้อย กี่ปีมาแล้ว หรือกี่ชาติมาแล้วก็ตาม มีความที่จะเข้าใจความจริงของสิ่งที่ปรากฏหรือยัง ถ้าไม่มีจะทำอะไรดี จะทำหรือว่าฟัง เพราะรู้ว่า หนทางเดียวที่จะเข้าใจธรรมได้ ด้วยการฟัง แล้วไม่คิดเอง ฟังคำเดียว คิดเองเยอะมาก แล้วประโยชน์อะไร การคิดเองก็กั้น ไม่ให้ได้ฟังคำอื่นต่อไป ว่าคำอื่นที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ แม้ในเรื่องการเป็นผู้ว่าง่าย ก็แสนยาก ไม่ใช่ง่ายอย่างที่คิดเลย
อ.กุลวิไล คนส่วนใหญ่เชื่อง่าย แล้วก็ไม่เข้าใจว่า ว่าง่ายในที่นี้ หมายถึงต้องเป็นกุศลด้วย เพราะฉะนั้นดูเหมือนว่า ไม่สนใจที่จะรู้ความจริง แต่เวลาที่ใครแนะนำอะไร เชื่อกัน
ท่านอาจารย์ เพราะอะไร
อ.กุลวิไล เพราะความเป็นเรา
ท่านอาจารย์ และเพราะอะไร
อ.กุลวิไล เพราะมีความไม่รู้
ท่านอาจารย์ เพราะความไม่รู้ ชัดเจนมาก ถ้าได้ยินคำนี้ แค่คำว่าเพราะไม่รู้ ไตร่ตรอง ลึกซึ้ง แค่ไหน ถ้ายังคงไม่รู้ต่อไป ก็เป็นอย่างนี้แหละ รู้ จึงจะละความไม่รู้ได้ แล้วก็รู้บ้างไหม ถ้าไม่มีการฟังพระธรรม ไม่มีทางรู้ได้เลย ใครจะคิดอย่างไรก็ตามแต่ แต่ไม่สามารถที่จะรู้ความจริง ของสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ คือจริงๆ แล้ว ทั้งหมดก็ไม่รู้ แต่ถ้าได้ฟังพระธรรม จะเริ่มรู้ว่าไม่มีใคร ที่สามารถที่จะอนุเคราะห์ให้คนอื่นได้เข้าใจถูก ทั้งๆ ที่สิ่งนั้นมี กำลังมีเดี๋ยวนี้ด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่รู้ความจริง จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม
เพราะไม่รู้ว่า ไม่รู้อะไร แล้วก็ไม่อยากรู้ด้วย อยากคิดเอง อยากเป็นตัวเอง อยากเข้าใจเอง อยากหาเอง อยากถามเอง ทั้งหมด ไม่ได้ฟังธรรม ที่จะรู้ว่าแท้ที่จริงแล้ว คำถาม คำตอบในพระไตรปิฎกมีมาก แล้วเป็นเรื่องธรรมทั้งหมดด้วย ไม่ใช่เรื่องของใครเลย น่าคิดใช่ไหม ตอนนี้ไม่รู้อะไร รู้ไหม ว่าไม่รู้อะไร ถ้าไม่รู้ จะฟังให้รู้ไหม ว่าไม่รู้อะไร หรือไม่เอา อยากจะคิดเองว่า รู้อย่างนั้นรู้อย่างนี้ ว่าง่ายไหม ยาก เพราะไม่รู้ว่าเป็นกุศลหรืออกุศล ยากมากที่จะว่าง่าย เพราะไม่รู้ว่าขณะไหนเป็นอกุศล เห็นเกิด และก็ดับ เห็นมีจริงๆ กำลังเห็น ไม่ใช่เรา ว่าง่ายหรือว่ายาก
อ.กุลวิไล ยากค่ะท่านอาจารย์ เพราะดูแล้วก็ไม่ดับเลย
ท่านอาจารย์ กว่าจะเป็นผู้ที่ว่าง่าย ต้องเป็นผู้ที่เข้าใจพระธรรม ไม่ใช่อยู่ดีๆ นึกอยากจะว่าง่าย ก็กลายเป็นคนว่าง่ายไปได้ ไม่มีทางเลย เพราะไม่รู้จึงเป็นอกุศล และกุศลก็เกิดยาก แต่ให้รู้ว่าแม้อย่างนั้นก็ยังเกิดได้ แต่ไม่พอ เคารพในพระศาสดา แค่นี้ แค่ไหน ที่จะรู้ว่าเคารพหรือเปล่า พระศาสดาเป็นใคร ถ้าไม่ฟังธรรม เคารพหรือเปล่า ถ้าฟังแล้วไม่พิจารณา ไตร่ตรองว่า เพื่อประโยชน์ของผู้ฟัง มีใครที่จะสละทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อที่จะเป็นพระโพธิสัตว์ ที่จะตรัสรู้ความจริง เพื่อที่จะให้คนอื่นได้รู้บ้าง และก็คนที่ไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่เห็นคุณค่าเลย
อ.กุลวิไล ดูเหมือนเคารพภายนอก ท่านอาจารย์กราบไหว้ นี้ก็ยังไม่ได้เคารพพระศาสดาหรือคะ
ท่านอาจารย์ กราบอะไร ไหว้อะไร แม้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์คืออะไร ก็ไม่รู้ เหมือนกับศาสดาทั้งหลาย มีศาสดามาก แต่ถ้าไม่ได้ศึกษาคำสอนของแต่ละศาสดา จะรู้ไหมว่า แต่ละศาสดานั้นสอนอะไร ก็ไหว้ไปหมด เพราะเขาเป็นศาสดา นี่ก็ศาสดา นั้นก็ศาสดา โน้นก็ศาสดา เพราะไม่รู้ความเป็นศาสดา พอได้ยินคำว่าศาสดาก็ไหว้หมด ว่าง่ายหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่กุศล ไม่ว่าง่ายเลย เพราะกำลังไหว้ไปหมด แล้วจะเรียกว่าอย่างไร เชื่อไปหมดว่ายากหรือว่าง่าย
ควรไหว้สิ่งที่สมควร แต่ไหว้ไปหมดเลย คำว่าควรไหว้สิ่งที่สมควร ฟังแล้วว่ายาก เพราะไหว้ไปหมด แต่ละคำๆ ไตร่ตรอง ก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ชีวิตทุกขณะ ถ้าไม่มีพระธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่สามารถที่จะรู้ได้เลย ว่าจมอยู่ในความมืดสนิท หรือในห้วงน้ำลึกทุกขณะที่เป็นอกุศล ต้องเข้าใจจริงๆ ไม่คิดเอง ไม่ต่อเติม ไม่แต่ง พิจารณา ไตร่ตรองแล้ว เข้าใจตามที่ได้ฟัง ขณะนั้นไม่ได้คิดเอง แต่คิดตามที่ได้ฟัง ให้ถูกต้อง ถ้าคิดเองเราเป็นใคร สามารถที่จะคิดเองได้หรือ แต่ว่าคิดตามที่ได้ฟัง ด้วยเหตุนี้พระผู้มีพระภาคตรัสว่า คำจริงทั้งหมดเป็นคำของเรา และคำจริงทั้งหมดก็มาจากการไตร่ตรองของแต่ละคน ที่ได้ฟังธรรมแล้ว ซึ่งถ้าไม่มีการฟังธรรมเลย จะคิดไตร่ตรองอย่างนั้นได้หรือ แค่ขณะใดเป็นกุศล ขณะนั้นว่าง่าย วันนี้มีกุศลเกิดบ้างไหม ก่อนที่จะได้ฟังพระธรรม ลืมไปแล้วใช่ไหม ไม่ใช่เรื่องใครจะไปบังคับ ใครจะไปพยายามจำ แต่รู้ว่าเพราะความไม่รู้มีมานานมาก และก็อกุศลทั้งหลายที่เกิดจากความไม่รู้ ก็มากมาย ค่อยๆ เป็นไป เป็นสังขารขันธ์ เป็นสังขารธรรม ไม่มีใครไปฝืน ไปบังคับ ธาตุทั้งหลายหรือธรรมทั้งหลายได้เลย แต่ทั้งหมดก็ต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัย แต่ละคำถ้าไม่ลืม ก็จะเป็นปัจจัยให้ เก็บเล็กผสมน้อยกุศลไปเรื่อยๆ โดยที่ว่าไม่ใช่เรา แต่เพราะได้เข้าใจ แล้วก็ฟังแล้ว และก็ไม่ลืม แล้วก็เห็นประโยชน์ กุศลแม้เพียงเล็กน้อย ก็เริ่มที่จะเพิ่มขึ้น