ลาไม่ใช่โค


    ผู้ที่ไม่ประพฤติตามธรรมวินัย แต่ประกาศตนว่าเป็นภิกษุ ก็เหมือนลาที่ เดินตามฝูงโค แล้วก็ร้องว่าเป็นโค


    ท่านอาจารย์ ก็เป็นการเตือนลา ว่าไม่ใช่โค ผู้ที่ไม่ได้ศึกษาพระธรรมวินัย ก็เพียงแต่กล่าวว่า ตนเองเป็นภิกษุ แต่ไม่ใช่ภิกษุ ลาจะเป็นโคไม่ได้

    อ.ธิดารัตน์ จะรู้ได้อย่างไร ว่าพระภิกษุที่มากันเยอะๆ แล้วก็ ท่านใดจะเป็นลา

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีพระธรรมวินัยที่แสดงไว้ จะรู้ได้ไหม ไม่ได้เลย ไม่ว่าใครทั้งหมด ถ้าจะรู้ว่าใครเป็นภิกษุหรือไม่ใช่ภิกษุ ก็ต้องศึกษาธรรม และวินัย มีใครจะกราบไหว้คนชั่วบ้างไหม

    อ.ธิดารัตน์ ไม่คะ

    ท่านอาจารย์ ก็ต้องดูว่า ผู้ที่กล่าวว่าเป็นภิกษุ ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยหรือเปล่า เพราะอะไร ทำไมเป็นพระภิกษุ อยู่ดีๆ อยากเป็นหรือ หรืออย่างไร คิดถึงในครั้งพุทธกาล ยังไม่มีคำที่ว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังไม่มีการตรัสรู้ ก็มีแต่คำของพวกที่เข้าใจว่าตนเองรู้ ต่อเมื่อไร มีผู้ที่ได้ยินคำว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ในยุคนั้นสมัยนั้น ๒,๕๐๐ กว่าปี ได้ยินคำว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้นั้นมีศรัทธา เพราะสะสมมาแล้ว ที่จะรู้ว่า ต้องเป็นบุคคลพิเศษ ที่ไม่เหมือนใครเลย บุคคลผู้นี้แหล่ะ จะมีคำที่แสดงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้คนอื่นรู้ และเข้าใจ ในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ไม่ใช่กล่าวว่าเป็นภิกษุ แต่ไม่มีคำที่จะทำให้เข้าใจธรรม หรือว่ามีผู้ที่อาจจะอ้างตน ว่าเป็นผู้รู้ แต่ว่าไม่มีคำที่จะแสดงให้คนอื่นได้เข้าใจ ความจริงของสิ่งที่มี แต่ว่าเมื่อมีผู้ที่ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และบุคคลอื่นก็ได้ยินได้ฟัง ก็มีความเลื่อมใส ศรัทธา ที่จะได้ฟังคำ จากผู้ที่ตรัสรู้ความจริง เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ทุกท่านที่ได้สะสมมา ที่จะได้ฟังพระธรรม ก็พากันไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ฟังพระธรรม แต่อัธยาศัยต่างกันมาก ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้ที่ เมื่อได้ฟังพระธรรมแล้ว ก็รู้ว่าตนเองสามารถที่จะสละทุกอย่าง เพื่อที่จะขัดเกลากิเลส ซึ่งติดข้อง และไม่รู้ จนกระทั่งสามารถที่จะถึงความเป็นพระอรหันต์ได้

    เพศของบรรพชิตคือพระภิกษุ เป็นเพศของพระอรหันต์ ผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม เป็นพระโสดาบันบุคคลได้ ดับกิเลสคือไม่เห็นผิด ในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะประจักษ์แจ้งอริยสัจจธรรม ดับกิเลสขั้นหนึ่ง แล้วก็ต่อมาก็รู้ว่าตนเอง ยังมีกิเลสอยู่ ก็อบรมเจริญปัญญา รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ดับกิเลสถึงความเป็นพระสกทาคามี ก็รู้ว่าตนเองยังมีกิเลสอยู่ ก็อบรมเจริญปัญญา ที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ถึงความเป็นพระอนาคามี ดับความยินดีในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสิ่งที่กระทบสัมผัสกาย ถึงความเป็นพระอนาคามีบุคคล ก็รู้ว่ายังมีกิเลสอยู่ ยังไม่ถึงกาลที่จะดับกิเลสหมด เพราะยังยินดีในความมี ความเป็น พระอนาคามีบุคคล จนกว่าอบรมเจริญปัญญาต่อไป รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ก็ดับกิเลสหมด ไม่เหลือเลย ถึงความเป็นพระอรหันต์ เมื่อเป็นพระอรหันต์แล้ว จะไม่มีชีวิตอย่างคฤหัสถ์อีกต่อไป

    เพศบรรพชิตเป็นเพศของบุคคลที่ดับกิเลสหมด ถึงความเป็นพระอรหันต์ คฤหัสถ์สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ถึงความเป็นพระอรหันต์ พระเจ้าสุทโธทนะ แต่ก็ปรินิพพาน ถ้าไม่ปรินิพพานก็ไม่สามารถที่จะดำรงอยู่ในเพศคฤหัสถ์อีกต่อไป กิเลสไม่มีเลย ไม่เหลือเลย แม้สักนิด เพศที่สมควรแก่ผู้ที่ดับกิเลสหมด คือพระอรหันต์ ไม่ใช่ว่าภิกษุ ใครอยากจะเป็นก็เป็น คนที่สะสมมาที่จะถึงความเป็นพระโสดาบัน หมอชีวกโกมารภัจจ์ ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี วิสาขามิคารมารดา หลายท่านก็รู้สภาพธรรม ตามความเป็นจริงว่า ไม่ถึงเพศที่จะดับกิเลส ถึงความเป็นพระอรหันต์ได้ แต่ว่าในครั้งโน้น ก็มีผู้หญิงที่อบรมเจริญปัญญามา ถึงความที่จะบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้

    ด้วยเหตุนี้เมื่อท่านพระอานนท์ทูลขอพระผู้มีพระภาค ให้สตรีบวช คือพระนางมหาประชาบดีโคตมี ซึ่งเป็นผู้ที่เลี้ยงดู หลังจากที่พระพุทธมารดาสิ้นพระชนม์แล้ว พระนางมหาประชาบดีก็ดูแลมาตลอด มีการสะสมมาที่จะถึงความเป็นพระอรหันต์ พระผู้มีพระภาค จึงอนุญาตให้สตรีบวช เพราะว่าในยุคนั้นสามารถที่สตรี จะบรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์ได้ เพศบรรพชิตรู้ได้เลยว่า เป็นเพศของผู้ที่ดับกิเลส ถึงความเป็นพระอรหันต์ แม้ว่ายังไม่ถึง แต่ก็สะสมอัธยาศัย ที่จะดำรงเพศนั้น คือไม่ครองเรือน ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ การงานใดๆ ทั้งสิ้น ทรัพย์สิน เงินทอง วงศาคณาญาติ ครอบครัว มารดาบิดา บุตรธิดา ทั้งหมดสละได้ เพื่อการที่จะดับกิเลส

    เพศบรรพชิตก็เป็นเพศที่ ทุกคนกราบไหว้ เพราะรู้ว่าจุดประสงค์ คือขัดเกลากิเลส จนถึงความเป็นพระอรหันต์ โดยการที่เมื่อบวชแล้ว ต้องศึกษาพระธรรม และประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย ที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงบัญญัติไว้แล้ว มิฉะนั้นไม่ใช่ภิกษุ

    ใครก็ตามบวช ไม่ได้ศึกษาธรรม เพราะว่าการที่จะขัดเกลากิเลส ต้องทั้ง พระธรรม และวินัย พระวินัยก็เป็นธรรม เพราะเป็นจิต เป็นเจตสิก ที่เป็นอกุศลระดับขั้นต่างๆ แต่ขัดเกลาด้วยการประพฤติปฏิบัติตาม ต่างจากคฤหัสถ์ ซึ่งไม่ต้องรักษาพระวินัยถึง ๒๒๗ ข้อ แต่ว่าเมื่อเป็นบรรพชิตแล้ว กาย วาจาทั้งหมด ต้องงดงาม ซึ่งผู้ใดก็ตาม ถ้าเห็นภิกษุซึ่งเขาไม่สามารถจะรู้ได้เลยว่าเป็นพระอรหันต์ เมื่อประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย โดยครบถ้วน ไม่มีความต่างกันเลย

    เพศบรรพชิต ต้องดำรงรักษา ความประพฤติปฏิบัติ ขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต มิฉะนั้นก็ไม่ใช่ภิกษุ เป็นลาที่อยู่ในฝูงโค เพราะว่าบุคคลในครั้งนั้น ที่บรรลุคุณธรรม เป็นพระอรหันต์มาก ท่านพระสารีบุตร ท่านพระมหาโมคัลลานะ ท่านพระมหากัสสปะ ท่านพระอนุรุทธะเป็นโค แต่ว่าภิกษุใด ซึ่งไม่ได้ประพฤติปฏิบัติตามธรรมวินัย แต่พูดว่าเราเป็นภิกษุ ก็คือไม่ใช่โค แต่ว่าเป็นลา ที่เพียงแต่กล่าวตามเท่านั้นเอง ต้องเป็นผู้ที่ตรง และจริงใจ เพราะว่าพระศาสนา ที่สามารถที่จะดับกิเลสได้ ต้องเป็นพระศาสนาที่บริสุทธิ์ สมบูรณ์ที่สุด จะไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งทำให้คนอื่นติเตียน หรือเห็นว่าเป็นผู้ที่ไม่มั่นคง ในการที่จะอบรมเจริญปัญญา ในเพศบรรพชิต


    หมายเลข 10821
    10 พ.ค. 2567