เบื้องต้นของความเข้าใจ


    การที่จะเข้าใจธรรม จะเริ่มต้นได้อย่างไร


    ผู้ฟัง เบื้องต้นของความเข้าใจธรรม คืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ ได้ยินคำว่าธรรม รู้หรือยังว่า ธรรมคืออะไร นี่คือต้องเข้าใจถูกต้อง ว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นใคร แค่นี้ แล้วเราเป็นใคร แต่ละคำที่ได้ยิน เป็นคำที่ตรัสจากพระโอษฐ์ แต่ละคำเป็นเรื่องของความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ซึ่งเป็นปัญญา เพราะพุทธะหมายถึงปัญญา ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก เพียงเท่านี้ เตือนให้เรารู้สึกไหม ว่าเราไม่เคยเข้าใจสิ่งที่มี จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม เพียงคำว่าธรรมก็ผ่านไปไม่ได้

    จะตั้งต้นอย่างไร ตั้งต้นเข้าใจแต่ละคำ ที่ได้ยิน คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ที่ทรงตรัสรู้ความจริง ซึ่งคนอื่นไม่สามารถจะรู้ได้เลย ความจริงที่ตรัสรู้ต้องมีแน่นอน ค่อยๆ คิด ค่อยๆ ไตร่ตรอง ไม่ใช่อยากจะฟังโน่น อยากจะฟังนี่ แล้วก็คิดว่าที่ได้ฟังเข้าใจแล้ว แต่ความเข้าใจแล้วที่เราคิด ไม่มีความลึกซึ้ง ที่ถูกต้องเลย เพราะว่าเป็นความคิดของผู้ที่ยังไม่ได้ฟังพระธรรม ต้องต่างกับแต่ละคำที่ทรงแสดง

    ด้วยเหตุนี้เพียงแต่คิดว่า แล้วก็สัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อะไร ไม่ใช่เพียงนับถือ พอเขาบอกว่าพระองค์เป็นผู้ที่ดับกิเลสหมดสิ้น ซึ่งยากแสนยากที่จะดับได้ แต่ก็ไม่เหลือเลย ทรงบำเพ็ญพระบารมี ที่จะแสดงธรรมให้คนอื่นเข้าใจ เพราะแต่ละคำต้องยาก เพราะกล่าวถึงสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ทุกกาลสมัย และลึกซึ้งด้วย

    ผู้ที่เข้าใจในพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ไม่ประมาทในการฟัง แม้แต่การฟัง ต้องเป็นผู้ที่ไตร่ตรอง จนกระทั่งสามารถที่จะเข้าใจแต่ละคำได้ เพราะว่าแต่ละคำไม่ใช่เพียงเสียง และก็คำพูดอย่างที่เคยพูดกันธรรมดา แต่เป็นคำที่กล่าวถึงความจริง ของสิ่งที่มีจริงทุกกาลสมัย โดยประการทั้งปวงถึงที่สุด ไม่มีใครจะรู้ยิ่งกว่านั้น แต่ละคำก็ยาก ที่จะได้ฟัง แต่เมื่อได้ฟังแล้วเหมือนกับว่าไม่เข้าใจ แล้วบอกว่าพระธรรมยาก ยากเพราะอะไร เพราะไม่เคยคิดว่าจะได้ฟังคำอย่างนี้มาก่อน ทั้งๆ ที่เป็นคำธรรมดาๆ เช่นที่ตรัสความเข้าใจที่ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อะไร ก่อนจะฟังพระธรรมคิดหรือเปล่า แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อะไร บอกว่าทรงตรัสรู้ แล้วก็ดับกิเลสได้ ไม่มีผู้ใดเปรียบได้เลย ในสากลจักรวาล แล้วรู้อะไรที่ใช้คำว่าตรัสรู้ ไม่ใช่รู้ธรรมดา ด้วยการคิดไตร่ตรอง

    แต่ตรัสรู้หมายความถึงประจักษ์แจ้งความจริง ของสิ่งซึ่งขณะนี้ไม่ปรากฏ เพราะเหตุว่าต้องปรากฏกับปัญญา ที่เริ่มเข้าใจถูก เห็นถูกว่า สิ่งที่พระองค์ทรงตรัสรู้ต้องมีจริงแน่นอน นี่คือผู้ใหม่ ต้องตั้งต้นอย่างนี้ มีจริงแน่นอน แล้วเดี๋ยวนี้มีไหม ไม่ใช่อยู่เฉยๆ ฟังธรรม ไม่คิด ไม่ไตร่ตรอง เขาบอกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาบอกว่ามีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง เราก็กล่าวตาม มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง แล้วพึ่งพระองค์อย่างไร ดับขันธปรินิพพานไปแล้ว ไม่เหลือเลย แล้วจะพึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างไร

    ถ้ารู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงๆ พระธรรมที่ทรงแสดงตลอดที่ ยังไม่ปรินิพพาน ๔๕ พรรษา ยังมีอยู่ครบถ้วน สำหรับให้ได้ศึกษา ได้เข้าใจความจริง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง ความจริงของอะไรอีก ตามไปเฉยๆ เท่านั้น ไม่เป็นปัญญาของคนฟังเลย ต้องไตร่ตรองจนหมดความสงสัย และจนกระทั่งรู้ว่า คำใดเป็นคำจริง คำใดเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำใดไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ส่วนใหญ่ไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ฟังคำของคนอื่น แล้วเชื่อคนอื่น แล้วทำตามคนอื่น

    ด้วยเหตุนี้พอพูดถึงว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อะไร ก็ตอบไม่ได้ทั้งๆ ที่นับถือ ก็แสดงให้เห็นว่าไม่ได้ฟังคำของพระองค์ แต่ถ้าฟังคำของพระองค์ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง ของสิ่งที่มีจริงๆ และสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ ก็ต้องมีจริง และสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ เป็นสิ่งที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ ใช่ไหม ต้องเป็นความคิดของตัวเอง ถ้าไม่ทรงตรัสรู้ความจริง ของสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ แล้วจะทรงตรัสรู้อะไร มีความจริงอะไรอีก ที่จะให้รู้ ต้องเป็นผู้ที่ละเอียด และมั่นคง ก็เริ่มรู้ว่าต้องฟังพระธรรม จึงสามารถที่จะรู้ว่า ธรรมคืออะไร เคยได้ยินแต่ธรรม พูดเรื่องอื่นทั้งนั้นเลย แต่มีใครพูดถึงสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้บ้างไหม

    ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ทุกอย่าง ที่ไหน เมื่อไร สิ่งใดที่มีจริง ปรากฏว่ามีจริงๆ สิ่งนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ไม่ว่าในกาลไหน เดี๋ยวนี้ถ้าจะถามคนที่เริ่มฟังธรรม และได้ยินคำว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริง เริ่มคิดหรือยังว่า แล้วอะไรมีจริงเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่คิดก็ไม่เข้าใจธรรม แล้วก็บอกว่าธรรมยาก เป็นปัญญาของตนเอง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ทรงแสดงธรรมให้ใครเชื่อ แต่ให้ผู้ฟังค่อยๆ เข้าใจ จนกระทั่งเป็นความเห็นถูก ความเข้าใจถูก เป็นความรู้ของตนเอง จนสามารถประจักษ์แจ้งความจริง ที่พระองค์ได้ทรงประจักษ์แจ้ง และหมดกิเลสตามลำดับ ตามพระองค์ด้วย

    การฟังพระธรรมเป็นเรื่องของปัญญา ต้องรู้ว่าไม่ใช่ฟังเพื่อใจสบาย แต่ว่าฟังเพื่อเข้าใจ ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ตอนนี้ก็เป็นโอกาส ที่คนที่ได้ฟังธรรมจะคิดเอง เดี๋ยวนี้อะไรมีจริง ถ้าไม่เคยฟังธรรมเลย จะตอบยาก แต่ถ้าฟังธรรมแล้ว อาจจะตอบตามที่ได้ฟัง แค่ตามที่ได้ฟัง ปัญญาความเห็นถูก ลึกลงไปตามลำดับ จนกว่าจะรู้ได้ว่า นี่คือคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ยากไหม ยาก เปลี่ยนยากให้เป็นง่ายได้ไหม ไม่ได้ ถ้าใครเปลี่ยน คนนั้นถูกหรือผิด สิ่งที่ยาก เป็นความจริง แล้วใครเปลี่ยนความจริงนั้นได้ ใครคิดจะทำธรรมให้ง่าย หรือใครบอกว่าธรรมง่าย หรือใครบอกว่าไม่ต้องรู้มาก ไม่ต้องเข้าใจมาก แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา เพื่อใคร

    จากคนที่ไม่ได้ฟัง และคนที่ได้ฟังมาแล้วหลายๆ ชาติ และคนที่ฟังแล้ว อบรมเจริญปัญญา พร้อมที่จะรู้ความจริงที่กำลังปรากฏ เพราะได้สะสมความเข้าใจมามากพอ พระธรรมสำหรับทุกบุคคล ที่เห็นประโยชน์ ถ้าเห็นประโยชน์ก็คือเข้าใจตัวเองว่า รู้แค่ไหน ไม่ต้องไปตามคนอื่นเลย ถ้ายังไม่รู้ก็ฟังให้ค่อยๆ รู้ขึ้น แล้วจะยากหรือ เพราะว่าไม่ว่าวิชาอะไร ก็ต้องฟังทั้งนั้น ฟังแล้วก็ต้องคิด คิดแล้วก็ต้องไตร่ตรอง แต่พระธรรมที่ทรงแสดง มีสิ่งที่มีจริงให้เข้าใจ ให้คิดว่าจริงไหม ไม่ใช่ให้เชื่อ เดี๋ยวนี้แค่คำว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ทั้งหมดที่มีจริง แล้วเดี๋ยวนี้อะไรมีจริง แค่คำถามคำเดียว

    ผู้ฟัง ขอตอบว่า ความนึกคิดมีจริง

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เคยฟังธรรมเลย หาอย่างอื่นใช่ไหม อะไรจริง นี่หนึ่งแล้ว ความนึกคิดมีจริง เปลี่ยนได้ไหมไม่ให้เป็นคิด ให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้ คิดมีจริง ถูกต้อง รู้คิดที่กำลังคิดหรือยัง ความจริงของคิด ยังไม่รู้ ทั้งๆ ที่คิดมีจริงทุกวัน แต่ก็ยังไม่รู้ความจริงของคิด ฟังเพื่อค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่มี ทั้งหมดพระพุทธเจ้าไม่ได้ไปทำ สิ่งที่ไม่มีให้เกิดขึ้น ให้เราศึกษา แต่ว่าสิ่งที่มีแล้วนี่แหละที่ไม่เคยรู้ทั้งหมด เช่นคิดมีจริงๆ ก็ไม่เคยรู้เลย


    หมายเลข 10824
    10 พ.ค. 2567