ต้องเกิดขึ้นเป็นไป


    ทุกอย่างไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา สิ่งใดเกิดขึ้นก็ต้องเป็นไปตาม เหตุปัจจัย ถ้าได้สะสมความเข้าใจอย่างนี้ด้วยการฟังพระธรรมบ่อยๆ ก็จะเป็นประโยชน์ที่กุศลจะเกิดขึ้นรักษาจิตได้เพิ่มขึ้น


    ท่านอาจารย์ ปัญหา ยังมีอยู่หรือไม่ เดี๋ยวนี้

    ผู้ฟัง ไม่มี แต่พอกลับไป ก็ต้องเกิดอีก

    ท่านอาจารย์ แล้วจะหนีพ้นหรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่พ้น

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไร ต้องเกิดเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ชาติก่อนอาจจะปัญหามากกว่านี้เยอะ ชาตินี้ปัญหาของชาติก่อนอยู่ไหน ไม่ได้ติดตามมาถึงชาตินี้เลยใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นไม่ว่าอะไรที่เกิดขึ้น สิ่งนั้นก็ดับไป ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้จริงๆ ไม่หวั่นไหว เพราะเหตุว่าอะไรก็ตาม เป็นธรรมทั้งหมด เป็นสิ่งที่มีจริงแน่ๆ เกิดแล้วปรากฏให้เห็นว่ามีจริงๆ ชั่วคราวแสนสั้น แล้วก็ดับ ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้ ก็รู้ว่าทุกอย่าง ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา พรุ่งนี้อะไรจะเกิดขึ้น ทราบไหม

    ผู้ฟัง ไม่ทราบ

    ท่านอาจารย์ ต่อไปเพียงสักหนึ่งขณะก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นจะเดือดร้อนอะไร จะหวั่นไหวอะไรก็เป็นธรรม ที่มีปัจจัยเกิดแน่นอน ถ้าไม่มีปัจจัยก็ไม่เกิด เกิดแล้วก็หมดไป

    ผู้ฟัง แต่ก็ยากที่จะเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมี นานเท่าไร เป็นผู้ที่ยิ่งด้วยพระปัญญา ๔ อสงไขยแสนกัปป์ แล้วเราเริ่มเห็นความลึกซึ้ง ความละเอียด ความยาก เพราะฉะนั้นก็รู้ได้เลย ไม่มีใครสามารถที่จะให้ปัญญาเกิดอย่างที่ต้องการ หรือว่าไปขวนขวายหาวิธี ที่จะให้ปัญญาเกิด ก็ไม่ได้ เพราะว่าขณะนั้นเป็นความไม่รู้ ถ้าเป็นความรู้ก็คือว่า สิ่งนั้นมีเกิดแล้วปรากฏ แล้วก็หมดไป ให้เกิดอีกได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ดับแล้ว ดับเลย ไม่กลับมาอีก รู้สึกวันก่อนนี้ก็จะดี ปัญญาก็ดีอะไรก็ดี สนุกสนานก็ดี ให้กลับมาอีกได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ เพราะฉะนั้นทุกอย่างชั่วคราว เพราะความไม่รู้ จึงยึดถือสิ่งที่ปรากฏเพียงชั่วคราว ไว้แน่นหนา มั่นคง ว่ายังมีอยู่ ฟังธรรมมากๆ บ่อยๆ ใช้คำว่าอุปนิสสยโคจร ฟังดูเหมือนเป็นภาษาบาลี อาจจะไม่อยากรู้คำนี้เลย แต่ถ้ารู้ เข้าใจขึ้น ไม่ยากเลย โคจรเป็นอีกคำหนึ่งของอารัมณ คืออารมณ์ คือสิ่งที่ถูกจิตรู้ เวลานี้ทุกคน อยากให้จิตได้รู้แต่สิ่งที่ดีๆ น่าพอใจทั้งนั้นเลย แต่ว่าติดข้อง เอาไหม ให้มากๆ ให้ติดข้อง ติดอยู่นั่นแหละ หลงอยู่นั่นแหละ มีมากเท่าไร ก็ยิ่งติดมากขึ้นอีก เอาไหม

    ผู้ฟัง ไม่เอา

    ท่านอาจารย์ ตอนนี้ไม่เอาแล้ว สิ่งดีๆ ไม่เอาแล้ว เพราะว่าถ้าได้มาก็ติดข้อง แต่บังคับบัญชาไม่ได้เลย ถ้าได้ฟังคำจริงบ่อยๆ ก็รู้ว่าคำอื่นจะน่าสนใจเท่าคำจริงไหม เริ่มเห็นความต่าง ของคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กับคำอื่น คำอื่นอาจจะเป็นคำชมเชย อาจจะเป็นคำว่าร้าย อาจจะเป็นเรื่องราวต่างๆ เทียบกับคำจริง ที่กล่าวถึงคำจริง อะไรประเสริฐกว่า อะไรดีกว่า คำเหล่านั้นไม่ได้ทำให้เกิดความเข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น นอกจากความติดข้อง และความขุ่นเคือง และความไม่รู้ และความหลง ว่ามีเราจริงๆ มีสิ่งนั้นจริงๆ

    แต่ว่าถ้าได้ฟังคำ ซึ่งทำให้เข้าใจความจริงว่า แม้เกิดก็เลือกไม่ได้ แล้วแต่ละขณะในชีวิตนี้ เลือกไม่ได้เลย ว่าจะเห็นอะไร บางวันเห็นสิ่งที่น่าพอใจ บางวันเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ บางวันเจ็บไข้ได้ป่วย บางวันก็แข็งแรงสดชื่น ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาเลย แล้วก็ทั้งหมดนี้ ชั่วคราว

    เพราะฉะนั้นเริ่มเห็นว่า อะไรควรที่จะมีของที่น่าติดข้องมากๆ แล้วติดข้อง หรือว่าคำจริง ซึ่งควรที่จะได้ฟังเพิ่มขึ้นมากขึ้น เข้าใจขึ้น มั่นคงขึ้น ถ้าเป็นอย่างนี้ ก็ไม่ใส่ใจในคำอื่น แล้วก็ใส่ใจที่จะได้ฟังพระธรรมมากขึ้น สิ่งใดที่เราทำบ่อยๆ จนคุ้นเคยเป็นนิสัย อย่างคนที่ดื่มสุรา ทีละนิดทีละหน่อยใช่หรือไม่ มากเข้าก็เป็นนิสัย เลิกไม่ได้ หลีกไม่ได้ เพราะฉะนั้นแต่ละครั้งที่จิตรู้อะไร สิ่งที่จิตรู้บ่อยๆ ก็จะทำให้หันไปสู่สิ่งนั้น หรือว่าเป็นปัจจัยที่จะทำให้เกิดขึ้น เพราะได้เคยคุ้นกับสิ่งนั้นแล้ว และเมื่อมีกำลังที่จะเกิดขึ้น บางคนฟังธรรมไม่นาน แต่คิดถึงธรรม ไม่ได้เตรียมตัว เตรียมใจเลย แทนที่จะคิดถึงเรื่องอื่น คำที่เป็นธรรมก็เกิดขึ้นขณะนั้น เพราะจิตคิด นี่คืออุปนิสสยโคจร อุปแปลว่ามีกำลัง นิสสยะแปลว่าที่อาศัย โคจรคืออารมณ์ เวลาที่ใช้คำว่าโคจร ก็แยกจากอารมณ์ทั่วๆ ไป บางครั้งจะได้ยินคำว่า อารมณ์ของบิดา โคจรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเรื่องของความจริง เป็นลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏขณะนี้ มีสิ่งที่ปรากฏทางตา คนที่ไม่รู้ความจริงก็เป็นคน เป็นสัตว์เพลิดเพลินไป ติดข้องไป น่าดูบ้าง น่าติดข้องบ้าง ไม่น่าติดข้องบ้างเป็นปกติ

    แต่คนที่ได้ฟังธรรมเข้าใจ เริ่มรู้ว่าเป็นสิ่งที่มีจริงทางตา แค่เห็น ทางหูแค่ได้ยิน ก็ค่อยๆ เข้าใจสิ่งเดียวกันนี่แหละ แต่ว่าความรู้ความเข้าใจต่างกัน และถ้าบ่อยๆ จนกระทั่งเป็นนิสัย พระอรหันตพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏเป็นลักษณะของสภาพธรรมตามปกติ กับการที่จะรู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร ก็เป็นปกติ เป็นอนัตตาไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร

    เพราะฉะนั้นการคบหา การคุ้นเคยบ่อยๆ จนกระทั่งเป็นนิสัย ก็จะทำให้มีกำลัง เพราะฉะนั้นยามใดที่ทุกข์ยาก ก็รู้ว่าเป็นธรรมดา สิ่งนั้นแค่บังคับบัญชาไม่ได้ เพราะอะไร บังคับไม่ได้จริงๆ เกิดแล้ว ทุกข์แล้ว เป็นแล้ว แต่ถ้ามีความเข้าใจที่ถูกต้อง ว่าเป็นธรรมอย่างหนึ่ง ความทุกข์มีจริงแน่นอน ปรากฏแล้ว ให้เห็นแล้ว ว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้นไม่ใช่เรา

    การที่ได้ฟังธรรมบ่อยๆ จนกระทั่งเป็นนิสัยที่มีกำลัง ที่จะทำให้ระลึกได้ ไม่ว่าในยามใด ก็จะทำให้สามาารถที่จะอารักขา ไม่ให้จิตขณะนั้นเศร้าหมองเป็นอกุศลได้ เพราะฉะนั้นการฟังเพื่อระลึกได้ ไม่ใช่ไปบังคับ ให้ไม่เป็นเรา โลภะความติดข้อง มีปัจจัยจะเกิด ห้ามได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ แต่โลภะ เกิดแล้วดับ ลักษณะของธรรมแต่ละอย่าง แสดงความชัดเจนในความเป็นธรรม ซึ่งเป็นอนัตตา แต่ปัญญาไม่พอที่จะรู้ และเข้าใจ เพราะฉะนั้นอยู่ที่ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ซึ่งเพิ่มขึ้น เข้าใจขึ้น ทีละเล็กทีละน้อย และหนทางที่จะรู้มีไหม

    ผู้ฟัง ก็มีฟังธรรม

    ท่านอาจารย์ ก็รู้หนทางแล้ว ยังต้องการอะไรอีก ยังต้องการทางผิดๆ ที่จะเป็นตัวตน ที่อยากเพิ่มขึ้น ทำเพิ่มขึ้น แต่ไร้ผล ไร้ประโยชน์ทั้งหมด เป็นโทษด้วย เพราะเหตุว่าทำให้ติดข้อง และไม่กลับมาสู่ทางที่ถูก

    อ.อรรณพ สมมุติว่า จะเลือกเอาชีวิตที่ไม่ต้องฟังธรรมเลย เลิกฟังธรรมไปเลย แล้วชีวิตก็สบายไม่ต้องเครียด ไม่ต้องอะไร กับเป็นชีวิตที่ มีการฟังพระธรรมแล้วก็มีสุข มีทุกข์ อย่างนี้

    ผู้ฟัง ถ้าเป็นเมื่อก่อน หนูคงจะเลือกที่จะไม่ฟังธรรม แต่ปัจจุบันนี้เริ่มจะมีความมั่นคงนิดเดียว ก็คือหนูเลือกที่จะฟังธรรม

    อ.อรรณพ ถ้าเลือกเอาอันหลัง ก็ไม่น่าจะมีปัญหา

    ท่านอาจารย์ ถ้ายิ่งกว่านั้นอีก ต้องทรมานแสนสาหัส แต่ว่าได้ฟังธรรม กับแสนสบาย แต่ไม่ได้ฟังธรรมเลย เลือกอย่างไร

    ผู้ฟัง เป็นคำถามที่ตอบยากมาก เพราะฉะนั้นไม่ใช่คุณดลยา แต่เป็นวิชชา และอวิชชาที่ตอบ


    หมายเลข 10829
    6 พ.ค. 2567