สรีรศึกษา


    สรีระหรือร่างกายที่มีจิตใจนี้แท้จริงแล้วประกอบด้วยอะไรบ้าง ซึ่งถ้ามีความ เข้าใจธรรม ก็จะรู้ว่าไม่ใช่ตัวตนของเรา


    ท่านอาจารย์ กำลังเรียนเรื่องสรีระ ซึ่งทุกคนกำลังมีด้วย ไม่ใช่ว่าไม่มี แต่ว่าสรีระก็หมายความถึงรูปธรรม ซึ่งสามารถที่จะประชุมกัน เเล้วก็เคลื่อนไหวไปได้เพราะมีจิต เพราะฉะนั้นเราจะไม่กล่าวถึงสรีระ ซึ่งไม่มีจิต เพราะว่าเคลื่อนไหวไม่ได้ ไม่มีสภาพของการเป็นสัตว์ บุคคล เพราะฉะนั้นอีกคำหนึ่งก็คือ อัตภาพ ก็เป็นภาวะของสิ่งที่รวมกัน หรือมีอยู่ เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งถ้าพูดถึงสรีระ ก็ทั้งตัวเลยใช่ไหม หมายความว่ารูปทั้งหมดที่ประชุมรวมกัน ขณะนี้กำลังมี

    เพราะฉะนั้นถ้าจะศึกษาสรีระ ก็คือเข้าใจถูกต้องว่า ไม่ใช่เรา แต่เป็นสิ่งที่มีแล้วก็ไม่เคยเข้าใจว่า ไม่ใช่เราเลย เป็นเรามาโดยตลอด ด้วยเหตุนี้การที่จะศึกษาสรีระจริงๆ ก็ต้องศึกษาส่วนประกอบของสรีระ ซึ่งมีมาก ทุกรูปที่รวมกัน สามารถที่จะเข้าใจได้ เป็นแต่ละหนึ่ง เช่นขณะนี้กำลังมีตา เป็นสรีระ ส่วนหนึ่งของร่างกาย ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญมาก เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีรูปนี้ สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ก็ปรากฏไม่ได้ เมื่อสิ่งที่ปรากฏทางตาปรากฏไม่ได้ ก็ไม่มีรูปร่างสัณฐาน ให้คิดนึก แล้วก็ยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

    แต่เพราะเหตุว่าขณะนี้ มีรูปที่กลางตา เป็นรูปพิเศษ ถ้าศึกษาสรีระ ก็คือหนึ่งในสรีระ ก็ได้แก่จักขุปสาทรูป ซึ่งเป็นรูปที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏ ในขณะนี้ สำคัญมาก เป็นจักขุนทรีย์ เป็นใหญ่จริงๆ เพราะเหตุว่าโลกของสิ่งที่ปรากฏทางตามากมาย เพราะเหตุว่าเป็นสิ่งที่สามารถกระทบตา จนกระทั่งปรากฏเป็นนิมิต รูปร่าง สัณฐานต่างๆ หลากหลาย จนกระทั่งจำได้ ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เช่นเป็นคน เป็นแมว เป็นนก เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ ทั้งหมดก็มาจากสีสันวรรณะต่างๆ ที่ปรากฏให้รู้ได้ทางตาในขณะนี้ นำมาใช้ความติดข้อง และความไม่รู้

    เพราะเหตุว่าไม่มีการที่สามารถที่จะเข้าใจถูกเลย ว่าขณะนี้ที่กำลังเห็น ไม่ใช่เรา และเห็นจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อมีรูปหนึ่ง ซึ่งสำคัญมากที่กลางตา ที่กำลังกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏ แค่นี้พอที่จะละคลายความเป็นเรา หรือความเป็นตัวตนไหม ไม่มีเรา แต่รูปนี้ละเอียดมาก แม้เพียงรูปหนึ่ง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสรีระ รูปนี้เกิดขึ้นเพราะกรรม มองไม่เห็นเลย จักขุปสาทรูปไม่มีใครมองเห็น เพราะว่าสิ่งเดียวที่สามารถที่จะปรากฏให้เห็นได้ ก็คือสิ่งที่ปรากฏทุกขณะที่จิตเห็นเกิดขึ้น จิตเห็น เห็นอะไร ก็เห็นได้เฉพาะสิ่งที่สามารถกระทบตา และก็ปรากฏให้เห็นได้เท่านั้นเอง

    ด้วยเหตุนี้กว่าจะรู้ความจริง และกว่าจะละ ก็ต้องในขณะที่กำลังเห็น ไม่มีใครรู้ จักขุนทรีย์หรือจักขุปสาท แต่ขณะนี้เอง เห็นมี เป็นใหญ่เป็นประธานเป็นมนินทรีย์ สามารถที่จะรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม ที่ปรากฏ แจ่มแจ้ง ในลักษณะนั้นๆ เช่นเขียว เหลือง ส้ม ไม่ว่าจะผสมกัน เป็นส่วนสัดที่หนามาก หรือเข้มมาก หรือจางมาก ก็ปรากฏให้รู้ได้ ในขณะนี้ ที่กำลังปรากฏ ทั้งหมดที่ทรงแสดง ก็เพื่อให้เข้าใจถูกต้อง ตามความเป็นจริงว่า ไม่มีเรา แล้วก็ไม่มีของเรา นานไหม กว่าจะเข้าใจจริงๆ ไม่ใช่แค่ฟัง ฟังเข้าใจ

    เพราะฉะนั้นก็เข้าใจอีกๆ จนกว่าความเข้าใจนั้น จะมั่นคงว่าไม่ใช่เรา ในขณะที่กำลังเห็นในขณะนี้ เพราะว่าเป็นเรื่องที่ปัญญา จะต้องอบรมเจริญ จนกระทั่งสามารถรู้ความจริง ประจักษ์แจ้ง สิ่งที่กำลังปรากฏ ตรงตามที่ได้ฟัง เห็นไหม ตรงตามที่ได้ฟัง เพราะฉะนั้นจึงต้องเป็นคนที่ตรง ว่าขณะนี้กำลังฟังเรื่องสิ่งที่มีจริง ประโยชน์คืออะไร เพื่อสะสมจากการที่ฟังเข้าใจขึ้นๆ ๆ มิฉะนั้นไม่มีการที่สามารถที่จะละคลาย การยึดถือสิ่งที่กำลังปรากฏสักอย่างเดียว ว่าแท้ที่จริงแล้ว ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย เป็นแต่เพียงสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะหลากหลาย เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วดับไป ไม่กลับมาอีกเลย

    ถ้าเข้าใจอย่างนี้ โสตปสาทก็นัยเดียวกัน ใช่ไหม กำลังได้ยินขณะนี้ หรือถึงแม้ขณะที่กำลังคิดนึก ก็ไม่ใช่เรา แต่ว่าลักษณะของสภาพธรรม หลากหลายต่างกันมาก ฟังให้เข้าใจว่า แต่ละหนึ่งเป็นธรรม จนมั่นคงขึ้น

    อ.ธิดารัตน์ เห็นรูปปัจจุบัน ด้วยจักษุปัจจุบัน หรือจะเห็นรูปอนาคต ด้วยจักษุที่เป็นอนาคต ท่านอธิบายให้เข้าใจอะไร

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีจักขุปสาท ไม่มีการเห็น เพราะฉะนั้นเห็นในอดีต ก็เพราะเหตุว่ามีจักขุปสาท ซึ่งเกิดแล้วกับในอดีต แสดงเห็นว่า ขณะใดก็ตามที่จักขุปสาท เกิดแล้วยังไม่ดับเท่านั้น ที่สามารถจะทำให้รูปที่กำลังปรากฏขณะนี้ กระทบกับจักขุปสาท เป็นปัจจัยให้จิตเห็นเกิดขึ้น เห็นเดี๋ยวนี้ พูดอย่างนี้ก็เพื่อให้เข้าใจ เห็นเดี๋ยวนี้ ว่าต้องอาศัยจักขุปสาท ซึ่งเกิดแล้วยังไม่ดับ ถ้าดับไปแล้วก็ไม่สามารถจะทำให้จิตเห็นเกิดขึ้นได้

    แม้สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ ที่ปรากฏจริงๆ ไม่ใช่ขณะที่สืบต่อ จนปรากฏเป็นรูปร่างต่างๆ แต่ละหนึ่งรูป ต้องเกิดแล้วยังไม่ดับ อาศัยรูปที่มี ที่เกิดแล้วยังไม่ดับในอดีต ทำให้เห็นรูปในอดีต อาศัยตาหรือจักขุปสาทขณะนี้ที่ยังไม่ดับ และก็กระทบกับสิ่งที่กำลังกระทบเดี๋ยวนี้ ในขณะนี้ จึงปรากฏว่า เห็นในขณะปัจจุบัน ต่อไปอนาคตก็ต้องเป็นอย่างนี้ คือตราบใดที่ยังมีจักขุปสาทรูปเกิดดับ ก็เป็นปัจจัยให้มีการเห็น ไม่ว่าจะในกาลไหน แต่ว่าเพียงชั่วขณะที่สั้นมาก แล้วก็ดับไป ไม่กลับมาอีกเลย ไม่มีอะไรสักอย่างที่กลับมาได้ รูปในอดีต จักขุปสาทในอดีต เห็นในอดีต ดับหมด เหมือนเดี๋ยวนี้เลย และก็เหมือนต่อไปในอนาคตด้วย เพื่อให้เข้าใจความจริงว่า ไม่มีเรา

    แต่จะทำอย่างไร ความเป็นเราหนาแน่นมาก พูดสักเท่าไร ไม่ว่าเรื่องอะไร ก็คงเหมือนเดิม ใช่ไหม ไม่ใช่ไม่เคยฟังเรื่องเห็น เคยฟังแล้ว ไม่ใช่ไม่เคยฟังเรื่องตา จักขุปสาท เคยฟังแล้ว ไม่ใช่ไม่เคยฟังเรื่องสิ่งที่ปรากฏ กระทบเดี๋ยวนี้อยู่ตลอดเวลา ก็เคยฟังแล้ว แต่อวิชชาความไม่รู้ ซึ่งมากมายหนาแน่น ยังไม่สามารถที่จะลดน้อยลงไป ที่จะให้สามารถประจักษ์ความจริงของสภาพธรรม ที่เป็นอย่างนี้ กำลังเกิดดับอย่างนี้ จนกว่าความเข้าใจของเรา ไม่เบื่อที่จะฟังเรื่องนี้ ฟังแล้วฟังอีกก็คือกำลังเห็นเดี๋ยวนี้ ก็มีสิ่งที่ปรากฏเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่เข้าใจขึ้น ก็เหมือนเดิม แต่รู้ไหมว่าขณะใดที่ได้ฟัง และเข้าใจขึ้น นิดๆ หน่อยๆ ทีละเล็กทีละน้อย แต่บ่อยๆ นี่แหละ สามารถที่จะเป็นกำลังให้ปัญญาถึงเฉพาะลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ด้วยความเข้าใจ

    เพราะฉะนั้นมีสิ่งที่กำลังปรากฎจริง เห็นจริง แต่ความเข้าใจในเห็น ไม่มี ความเข้าใจในสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ไม่มี จึงยังคงเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงขณะที่ปัญญา สามารถที่จะประจักษ์แจ้งความจริง ของสิ่งที่ได้ยิน ได้ฟัง มานานแสนนานบ่อยๆ ก็รู้ตามความเป็นจริงว่า ที่ยังไม่รู้อย่างนี้ เพราะความเข้าใจเรื่องนี้ยังน้อย และก็ความไม่รู้ยังมาก ก็ต้องฟังไปเรื่อยๆ ๆ เหมือนเดิมไหม เมื่อวานนี้ก็อย่างนี้ พรุ่งนี้ หรืออาทิตย์หน้าต่อไปก็จะได้ยินอย่างนี้ แต่อย่างนี้ๆ ๆ จนกว่าจะรู้ความจริง


    หมายเลข 10832
    4 พ.ค. 2567