ปรากฏด้วยดี


    สภาพธรรมกำลังปรากฏอยู่ในขณะนี้แต่ปรากฎกับความไม่รู้ หรือปรากฏด้วยดีกับปัญญา ซึ่งได้จากการอบรมเจริญจากการ ฟังพระธรรมจากการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า


    ท่านอาจารย์ สภาพธรรมปรากฎด้วยดี กับสภาพธรรมไม่ได้ปรากฏด้วยดี ก็ต่างกันแล้ว แม้แต่คำเดียว แต่ว่าการไตร่ตรอง การเข้าใจ ต้องลึกซึ้งมาก ทำไมไม่ปรากฏด้วยดี ก็ไม่รู้ความจริง จะเข้าใจตามที่ได้ฟัง ด้วยดีหรือเปล่า ว่าเป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ไม่เชื่อก็หลับตา สั้นมาก ง่ายมาก ธรรมดามาก ก็ไม่มีสิ่งที่ปรากฏแล้ว แต่พอลืมตา ถ้าเห็นเป็นดอกบัว ปรากฏด้วยดีหรือเปล่า ปรากฏกับความไม่รู้ ว่าแท้ที่จริงแล้ว สิ่งที่ปรากฏให้เห็น ไม่ใช่ดอกบัว ไม่ใช่อะไรเลย แต่เป็นสิ่งที่สามารถกระทบจักขุปสาท คือรูปพิเศษที่อยู่กลางตา

    คนไทยเราใช้คำว่า ตา เฉพาะส่วนพิเศษ ที่สามารถกระทบกับสิ่งที่พอหลับตาแล้ว ไม่มี แต่พอลืมตากระทบแล้วมี ปรากฏให้รู้ว่ามี แม้แต่คำสั้นๆ ก็ต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า ที่ว่าไม่ปรากฏด้วยดี เพราะเหตุว่าปรากฏกับอวิชชา จึงไม่ได้ปรากฏด้วยดี แต่เพราะว่าลวงแล้ว ให้เห็นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ถ้าปรากฏด้วยดีกับปัญญา ต่างกันมากไหม กว่าจะฟังจนกระทั่งสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ซึ่งไม่เคยคิดเลย ปรากฏด้วยดีเป็นอย่างไร แต่ว่าพอได้ฟังธรรมเเล้ว มีความเข้าใจมั่นคงขึ้น ก็รู้ว่าตราบใดที่ยังไม่เข้าใจถูกต้อง ว่าขณะนี้เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ มิฉะนั้นจะละการยึดถือว่าเป็นคนนั้น คนนี้ เป็นสิ่งนั้น สิ่งนี้ ได้หรือ ต้องเป็นผู้ที่ตรงมาก

    แค่ดอกบัวก็เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นคนนั้น คนนี้ มีชื่อต่างๆ ก็ยิ่งหลากหลายมาก แต่ถ้าไม่มีการเห็นเลย จะมีไหม จะมีไหมสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ไม่มี แต่พอมีแล้วไม่รู้ ว่าเป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ และกว่าจะเป็นดอกบัว เป็นคนนั้น คนนี้ เป็นสิ่งนั้น สิ่งนี้ จิตเห็นอายุสั้นมาก และสิ่งที่ปรากฏทางตาก็สั้น แสนสั้น เพียงเกิด แทบจะกล่าวได้เลย เกิดแล้วดับ เพราะอะไร เพราะเหตุว่าไม่ว่าจะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฏ ไม่ใช่มีเห็นครั้งเดียว ถ้าหลับตา และลืมตาขึ้นมานิดเดียว ไม่ปรากฏว่าเป็นอะไรเลยทั้งสิ้น แต่พอลืมตา และดูนานๆ ก็เห็นเป็นสิ่งนั้น สิ่งนี้ ความรวดเร็วของธรรม เหมือนมายากลที่เก่งมากเลย สามารถที่จะลวงให้เห็นว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะการเกิดดับสืบต่อ จนกระทั่งปรากฏรูปร่าง สัณฐาน ก็คงจะต้องไปนึกถึงก้านธูปที่จุดแล้ว และแกว่งให้เป็นวงกลม เพียงดอกเดียว ก้านธูปดอกเดียว แต่เวลาแกว่งเร็วๆ เป็นวงกลม แกว่งเร็วแค่ไหน กว่าจะเป็นกลีบดอกไม้ แต่ละกลีบ กว่าจะเป็นใบไม้แต่ละใบ กว่าจะเป็นคนแต่ละคน และคนแต่ละคน ใส่เสื้อคนละสี รูปร่างต่างๆ มองดูแล้วไม่มีใครซ้ำเลย คือความวิจิตรของจิตมากมายมหาศาล

    แต่พระโพธิสัตว์ อย่างคนที่ไม่เคยที่จะได้ฟังธรรมเลย แต่กว่าจะถึงการที่จะได้ตรัสรู้ ต้องมีความมั่นคง ที่จะรู้ว่าความจริงคืออะไร เพราะว่าอยู่ในโลกนี้ แล้วก็ไม่รู้ความจริงไปจนตาย เกิดแล้วเกิดอีก เป็นอย่างนั้นแล้ว เป็นอย่างนั้นอีก เกิดตายแล้ว ตายอีก ก็ไม่รู้ว่าความจริงเป็นอย่างไร แต่ใครจะคิดอย่างพระโพธิสัตว์ ความจริงของสิ่งที่ปรากฏคืออะไร ถ้าไม่คิดอย่างนี้ และก็ไม่บำเพ็ญบารมีมา จนได้รับคำพยากรณ์ จากพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าทีปังกร ว่าอีก ๔ อสงไขยแสนกัปป์ จะได้ตรัสรู้ความจริงอย่างนี้เลย เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามพระสมณโคดม นานไหม ๔ อสงไขยแสนกัปป์ เราท้อไหม เพียงแค่ได้ฟังธรรมไม่มาก แต่มีศรัทธาที่ค่อยๆ มั่นคงขึ้นว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ที่ไม่มีใครเปรียบได้เลย เพราะจากการที่ไม่เคยเข้าใจความจริง แม้แต่หนึ่ง ก็เริ่มได้ยิน ได้ฟัง ได้เข้าใจความจริงว่า เห็นมี เห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ และคำนี้จะได้ยินจากใคร ไม่มีเลย นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ทรงตรัสรู้แล้ว

    กว่าจะถึงวันที่ธรรมปรากฏด้วยดี อีกนานไหม เป็นผู้ตรง ถ้าอยากเมื่อไร โลภะก็ลวงแล้ว ธาตุที่ติดข้อง ติดข้องในทุกอย่างที่ปรากฏ เฉพาะสิ่งที่ไม่เกิดเท่านั้นแหละ ที่โลภะ ความติดข้อง ไม่สามารถจะไปติดข้องได้ เพราะเหตุว่าไม่เกิดให้มี แล้วจะไปติดข้องได้อย่างไร

    การฟังธรรมคือฟังด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ว่าแต่ละคำไม่ใช่เผิน แม้แต่สภาพธรรมปรากฏด้วยดี ก็ต้องรู้ว่าขณะใด ที่ไม่เข้าใจถูก ไม่เห็นถูก จะปรากฏด้วยดีได้อย่างไร ในเมื่อเกิดแล้ว ดับแล้ว เร็วสุดที่จะประมาณได้ จนปรากฏเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ให้หลงติด นั่นหรือ ปรากฏด้วยดี ก็ต้องไม่ใช่การปรากฏด้วยดี แต่ขณะใดที่ได้ฟังพระธรรมแล้ว ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ขณะนั้นก็จะรู้ว่า กว่าจะถึงเวลาที่จะละคลายการยึดถือสภาพธรรม ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ ปัญญาต้องอบรมเจริญ และเข้าใจขึ้นอย่างไรตามลำดับ

    ไม่มีตัวตนที่จะไปทำอะไรได้เลยทั้งสิ้น ปัญญาที่ได้ฟังธรรมม กับปัญญาที่สะสมมา กับอวิชชาที่สะสมมานานมาก เปรียบได้ไหม เหมือนห้วงจักรวาล อวิชชามากมาย และก็ปัญญาน้อยแค่ไหน เป็นผู้ที่ตรงต่อความเป็นจริงว่า ฟังเข้าใจ ไม่ใช่เรา ถ้าไม่เข้าใจก็คือว่า ไม่มีหนทางละ เพราะไม่รู้มานานแล้ว และก็ยังไม่รู้ต่อไป ตลอดหนทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งแต่เป็นพระโพธิสัตว์ จนกระทั่งตรัสรู้ จนกระทั่งทรงแสดงพระธรรม จนกระทั่งปรินิพพาน ก็คือรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ แล้วอนุเคราะห์โดยการทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา ให้คนได้เข้าใจตามกำลังความสามารถ

    บางคนอาจจะเพิ่งฟัง บางคนก็อาจจะฟังมาแล้วหลายชาติ สะสมมาแล้ว แต่ที่สำคัญที่สุดคือ มีความเห็นที่ถูกต้อง เพราะโลภะติดข้อง แล้วเห็นผิด เห็นผิดหรือไม่ ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด กว่าจะหมดเป็นคนนั้น คนนี้เป็นสิ่งนั้น สิ่งนี้ได้ แต่ละทาง ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ก็ต้องเป็นธรรมที่เป็นรัตน เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นพุทธรัตน ผู้ประเสริฐสุด ปัญญาที่สูงสุด พุทธ ความรู้ ปัญญา เป็นรัตนอย่างยิ่ง คือถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงพระธรรม ซึ่งเป็นรัตน มีค่าเหนือสิ่งอื่นใด ทำให้แต่ละคนเริ่มเข้าใจถูก จนกระทั่งสามารถที่จะบรรลุถึงความเป็นสังฆรัตน ผู้ที่สามารถที่จะเข้าใจธรรม ตามที่ได้ฟังจนกระทั่งสามารถ ที่จะรู้แจ้งตามลำดับขั้น ค่อยๆ ละคลายการยึดถือ จนในที่สุดก็ดับกิเลสได้ ถึงความเป็นพระอริยบุคคล

    ดับกิเลส ฟังแล้วคำนี้ห่างหรือใกล้ กับการที่สะสมมานานแสนนาน แตกดับได้ด้วยปัญญา ด้วยบารมีทั้งหลาย รวมทั้งความอดทน ที่จะรู้ว่าถึงไกลเท่าไรก็รู้ได้ เหมือนเมื่อครั้งที่พระโพธิสัตว์ ก่อนที่จะได้ตรัสรู้ กำลังปัญญาของพระองค์ ก็มีผู้ที่ทูลถามว่า ถ้าห้วงจักรวาลทั้งหมด เต็มไปด้วยไฟ จะกล้าที่จะฝ่าไปไหม เพื่อที่จะรู้ความจริง ให้ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือไม่ใช่เฉพาะตน แต่สามารถจะมีทุกคำ แม้แต่ธรรมปรากฏด้วยดี มาจากใคร แค่คำนี้ แต่ความหมายลึกซึ้ง และก็เป็นสิ่งซึ่งต้องเข้าใจ หนทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เริ่มตั้งแต่เป็นพระโพธิสัตว์ จนกระทั่งตรัสรู้ แสดงธรรม ปรินิพพานก็คือว่า หนทางของความเห็นถูก ความเข้าใจถูก

    ขณะนี้ทุกคนก็เป็นผู้ตรง สัจจบารมี ขาดบารมีไม่ได้เลย อดทน ไม่ใช่อดทนทำอย่างอื่น ไม่ใช่อดทนไม่ใส่รองเท้า ไม่แต่งตัวสวยๆ ไม่ไปดูหนัง ไม่ไปดูละคร นั้นนะเหรอ อดทน ตามกิเลส คือความติดข้อง ด้วยความเป็นเรา ซึ่งเห็นผิดว่าเป็นเรา ความคิดอย่างนั้น แต่ผิดเพราะว่าติดข้องในความเป็นเรา ที่จะทำอย่างนั้น เพราะไม่รู้ความจริงว่าอย่างไรๆ ก็คือว่า เป็นสิ่งที่สะสมมาแล้ว ธรรมไม่ใช่สำหรับให้ไปทำ แต่เดี๋ยวนี้เอง จะเอื้อมมือ จะลุกขึ้นยืน จะคิด จะยิ้ม จะทำอะไรก็ตาม จะอ่านหนังสือหรืออะไร ทั้งหมดเป็นธรรม ถ้าไม่รู้อย่างนี้ก็ดับกิเลสไม่ได้ เห็นพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม ถ้าเป็นความเห็นผิดง่ายมาก ไม่ต้องฟังพระธรรมบ้าง ไปทำอย่างโน้น ทำอย่างนี้บ้าง ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง ก็ถูกหลอก


    หมายเลข 10853
    3 พ.ค. 2567