ยังไม่เป็นไท


    ยากมากที่จะละโลภะ ยังไม่เป็นอิสระจากโลภะ จนกว่าปัญญาจะ เจริญขึ้นจนมีกำลังที่สามารถละโลภะได้


    อ.อรรณพ มีข้อความในพระสูตรว่า สมณะทั้งหลายย่อมกำหนดรู้ ความอยากได้ ความเป็นไท ย่อมมีแก่สมณะ แล้วผู้ที่จะค่อยๆ เห็นโลภะอย่างไรครับ ท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ฟังพระธรรมเลย มีทางจะเห็นโลภะหรือไม่

    อ.อรรณพ ไม่มี

    ท่านอาจารย์ ฟังแล้ว ไม่เข้าใจความละเอียด มีทางที่จะรู้จักโลภะไหม เป็นสิ่งที่ยากแสนยาก กว่าจะละโลภะ ใครดับโลภะได้ พระอรหันต์ และปัญญาของผู้ที่เป็นปุถุชน มีทางไหม ที่จะไปพยายาม ไปดับโลภะ นั่นก็คือตามโลภะไปแล้ว ในขณะที่กำลังพยายามนั่นแหละ ได้ตามไปแล้ว โดยไม่รู้ตัวเลย จะเห็นความต่างกันอย่างสิ้นเชิง ของโลภะกับปัญญา อวิชชากับปัญญา โลภะกับอวิชชา ก็ไม่เคยแยกกันเลย ขณะใดที่มีความติดข้อง เพราะมีอวิชชาความไม่รู้ความจริง ของสิ่งที่กำลังปรากฏ

    เราไม่กล่าวถึงอวิชชาก็ได้ โลภะเป็นสมุทัย ในทุกขอริยสัจจ์ เพราะว่าเกิดพร้อมกัน เกิดด้วยกัน แต่เดี๋ยวนี้ใครจะรู้อวิชชา แต่โลภะพอรู้ได้ เพราะว่าต้องการกันทั้งวัน แต่ไม่รู้หรอก ว่าที่ต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม ขณะนั้นเพราะไม่รู้ความจริง ซึ่งสิ่งนั้นเกิดแล้ว ดับแล้วด้วย แต่ต่อกันสนิท เหมือนไม่ได้ดับเลย เหมือนยังมีอยู่ ต้องเป็นปัญญาจริงๆ ที่สามารถที่จะเข้าใจ เพื่อละ ไม่ใช่เข้าใจเพื่อความเป็นเรา

    การที่จะกล่าวถึงปริญญาแต่ละปริญญา ก็เป็นเครื่องเตือนให้รู้ว่า ไม่ใช่ง่าย ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็เป็นญาตปริญญา ตีรณปริญญา ปหานปริญญา ต้องเป็นวิปัสสนาญาณเท่านั้น และปกติธรรมดาขณะนี้ เข้าใจเรื่องสติไหม สัมมาสติเป็นอย่างไร ต่างกับมิจฉาสติอย่างไร สัมมามรรคมีองค์ ๘ ไม่ใช่มิจฉามรรคมีองค์ ๘ สัมมัตตะ ๑๐ มิจฉัตตะ ๑๐ ก็ตรงกันข้ามกันแล้ว คิดเข้าใจว่าเป็นปัญญา เป็นญาณที่ได้ประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรม แต่ไม่ใช่ เพราะไม่มีความรู้อย่างนี้ เพียงแต่เดี๋ยวนี้ สภาพธรรมปรากฏ ไม่ใช่อะไรเลย และก็ค่อยๆ ปรากฏเกิดดับ ไม่มีปัญญาอะไรเลย เห็นโลภะหรือไม่ ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ได้ ทำงานเก่งมาก ทั้งไม่รู้ และทั้งติดข้อง ต้องเป็นปัญญาเท่านั้นจริงๆ ปัญญาเกิดเมื่อไรคือ ละ

    ฟังธรรมเพื่อเข้าใจ เห็นคุณว่า ถ้าไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีทางที่ใครจะรู้ความจริงของสภาพธรรม ซึ่งกำลังเกิดดับเดี๋ยวนี้แต่ละหนึ่ง ซึ่งเป็นอนัตตา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง สิ่งที่ปรากฏแค่สีสันวรรณะ สีเหลืองนิดเดี๋ยวนี้ก็ดับแล้ว จะน้อย จะมากอย่างไร ก็มาจากแต่ละกลุ่มที่เล็กที่สุด ละเอียดที่สุด ซึ่งเกิดแล้วก็ดับไป ต้องเป็นปัญญา อย่าไปหวังว่าจะประจักษ์อะไร ฟังๆ ไป ตอนนี้เกิด และดับแล้ว ให้เห็นกับตา เป็นไปไม่ได้เลย เป็นเราทั้งหมด และขณะนั้นเห็นโลภะหรือเปล่า

    เรื่องของการที่จะละโลภะ ละโลภะที่ยึดถือสภาพธรรมว่า เที่ยง เพราะความจริงไม่เที่ยง แล้วก็ละสภาพธรรม ที่เคยเข้าใจว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มั่นคง ก็ให้รู้ว่าความจริงเกิดแล้วดับ แล้วไม่เหลืออะไรเลยทั้งนั้น แต่ก็หยุดยั้งการเกิดไม่ได้ เพราะเหตุว่ามีปัจจัยที่จะให้เกิดขึ้น ก็เกิด ต้องมีความมั่นคงอย่างนี้ ไม่ว่าจะอ่านพระสูตร พระวินัย พระอภิธรรม ทั้งหมดต้องเข้าใจธรรมอย่างนี้ มั่นคงขึ้น เมื่อไรวิปัสสนาญาณเกิดขึ้น ก็จะรู้ว่าเป็นอนัตตา ไม่ได้หวัง ไม่ได้ต้องการอะไรเลย เมื่อได้ทรงตรัสรู้ พระผู้มีพระภาคเห็นความลึกซึ้งของธรรม ที่ฝืนกระแสของชาวโลก ซึ่งอยู่ในโลกมานานแสนนาน ขณะนั้นไม่น้อมพระทัย เพราะความลึกซึ้งของธรรม ไม่ใช่เพราะขี้เกียจ ไม่ใช่เพราะท้อถอย ไม่ใช่เพราะอะไร แต่เพราะความลึกซึ้งของธรรม

    อ.อรรณพ พระองค์ท่านก็ตรัสถึง โมหะ ต่อเนื่องไปด้วยเหมือนกัน

    ท่านอาจารย์ ก็ให้รู้ว่าทำไมมีโลภะ ชัดเจนอยู่แล้ว ถ้าเป็นปัญญา ไม่มีโลภะ แต่ถ้าอวิชชา ไม่ใช่ปัญญา ไม่ใช่ความรู้ ก็ต้องมีความติดข้อง

    อ.อรรณพ ความเป็นไท ย่อมมีแก่สมณะทั้งหลาย ทุกเมื่อ

    ท่านอาจารย์ แน่นอน ถ้าไม่มีกิเลส ไม่เป็นทาสของกิเลส จะสงบแค่ไหน แต่ก่อนจะถึงอย่างนั้น ต้องสงบตามลำดับ ตั้งแต่ขั้นฟัง กำลังมีโลภะเป็นอารมณ์ แล้วปัญญาเกิดขึ้นรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ได้หรือไม่

    อ.อรรณพ ได้

    ท่านอาจารย์ เห็นไหม ว่าได้ กำลังของปัญญาแค่ไหน ไม่ต้องมีตัวตนไปเที่ยวพยายามละโลภะ ไม่สำเร็จ แต่ต้องเป็นปัญญา ซึ่งแม้ขณะนั้นเป็นโลภะระดับไหนก็ตาม ปัญญายังเกิดขึ้น รู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ กว่าจะถึงการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ไม่หวั่นไหว หวั่นไหวเมื่อไร ใครคะ เรา มีกิเลสอย่างนั้นๆ ไม่พ้นไปได้ เพราะไม่รู้ อย่าไปคิดว่า ความไม่รู้นั่นเป็นปัญญา ไปเห็นโลภะมากมายอย่างนั้นอย่างนี้ ใครหล่ะ กำลังเห็นโลภะ


    หมายเลข 10855
    2 พ.ค. 2567