สลดใจในความตาย


    ผู้ที่เข้าใจพระธรรมอย่างมั่นคง จะไม่หวั่นไหวกับการตายของบุคคลใดๆ ไม่ว่าคนดีหรือคนเลว แต่จะสลดใจด้วยปัญญา และเห็นประโยชน์ที่ จะอบรมเจริญปัญญาต่อไป


    อ.กุลวิไล บุรุษอาชาไนย

    ท่านอาจารย์ ใครคะ ต้องคนที่มีปัญญาหรือไม่ หรือว่าทั้งหมดเป็นอาชาไนยหมดเลย ก็ไม่ได้ ต้องรู้ด้วย ว่าความที่จะเป็นบุรุษอาชาไนย เข้มแข็งอาจหาญ กล้าหาญที่จะรู้ความจริง เพราะเหตุว่าความจริงเป็นอย่างนี้แหละ คือไม่มีอะไรเลยนอกจากธรรม คือสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้แต่ละหนึ่งๆ ๆ อาจหาญที่จะรู้ว่าจริง นี่จริง เริ่มต้นกล้าที่จะรู้ว่า ความจริงคืออย่างนี้ กำลังจะอาจหาญเป็นม้าอาชาไนยหรือเปล่า ก็เป็นผู้ที่รู้ตัวเอง ไม่ได้เร็วอย่างที่กล่าวเลย

    อ.กุลวิไล พอได้ยินข่าวมีผู้ประสบทุกข์หรือตาย ก็สลดใจ

    ท่านอาจารย์ ได้ข่าวคนตาย ๒ คน คนหนึ่งเป็นเพื่อน อีกคนหนึ่ง เป็นคนเลวมาก ทั้ง ๒ คน จะทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนกันหรือไม่ ไม่เหมือนแล้ว ไม่ใช่ความสลดใจเลย เพียงแต่ว่านี่เพื่อนเรา นี่ญาติเรา เสียดายที่เขาจากไป เขาไม่ได้อยู่กับเราอีกต่อไป นี่คือความเป็นเรา ที่ต้องการให้เขาอยู่กับเราต่อไป แต่ไม่มีเขาอีกแล้ว เพราะฉะนั้นก็โศกเสียใจ ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น

    แต่อีกคนหนึ่งพฤติกรรมตลอดชีวิต เป็นคนเลว พอได้ยินว่าเขาตาย รู้สึกอย่างไร บางคนบอกว่าดีใจ ดีใจที่คนเลวตาย เห็นไหม แค่นี้ แล้วอย่างไร ที่จะกล่าวถึงว่า ม้าอาชาไนย เข้าใจอะไรหรือเปล่า เพราะไม่รู้ ว่าแท้ที่จริงแล้ว ไม่มีคนเลว มีธรรมที่เลว ที่ว่าเป็นญาติสนิท แค่ชาตินี้ ชาติก่อนเป็นใคร และต่อไปเป็นใคร ก็สลดใจหรือไม่ หรือว่ายังคงเสียดาย เสียใจ ยังคงดีใจที่คนเลวตาย คนดีหายไป หรือว่าอะไรอย่างนี้ แต่ว่าไม่ได้เข้าใจธรรมตามความเป็นจริง ว่าเป็นธรรมทั้งหมด แล้วเมื่อไรที่จะค่อยๆ เข้าใจว่า นี่คือได้เริ่มเข้าใจธรรม

    ประโยชน์อยู่ตรงที่ว่า ได้เข้าใจความจริง จริงๆ ไม่ใช่เราเข้าใจแล้วตอนนี้ เดี๋ยวเราก็จะอ่านต่อไป เข้าใจอีกต่อไป ก็ยังคงเป็นเราอยู่ ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดอย่างยิ่ง รู้เลย ว่าเมื่อได้ฟังพระธรรมเพิ่มขึ้น ละเอียดขึ้น พิจารณารอบคอบขึ้น ตรงขึ้น จึงรู้ว่าเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ซึ่งไม่มีใครสามารถจะบังคับบัญชาได้เลย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร อีก ๑๐ ปี จากขณะนี้ไป ถึงอีก ๑๐ ปี ก็มีอะไรที่จะต้องเกิดขึ้น พร้อมแล้วที่จะเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น แต่ยังไม่รู้ ใครรู้บ้าง ไม่มีใครรู้เลย รู้แต่เพียงขณะนี้ แล้วก็คาดว่า คะเนว่า คิดว่าอีก ๑๐ ปี จะเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ ไปทีละปีสองปี ทีละเดือนสองเดือน แต่เหตุที่จะให้เกิด มีแล้วทั้งหมด จะเกิด จะตาย จะเจ็บ จะสุข จะทุกข์ จะอะไร มีเหตุที่ได้กระทำแล้ว ที่จะให้เป็นอย่างนั้น แต่เมื่อยังไม่เกิด ใครรู้ ไม่มีใครรู้เลย แต่ว่าพอเกิดแล้ว เพราะไม่รู้ ก็เสียใจ อาจจะคิดว่า เพราะเราไม่ได้ทำอย่างนี้ เราไม่ได้ช่วยอย่างนั้น หรืออะไรก็ตามแต่ แต่ความจริงทั้งหมด จะเสียใจ จะดีใจ ก็คือว่าอะไรที่จะเกิด ต้องมีปัจจัยที่จะให้เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น

    นี่ม้าอาชาไนยหรือเปล่า ที่จะสลดใจ ในความไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรม เพราะขณะที่ได้ยินว่าเขาตาย ก็เป็นเราที่ได้ยิน ใช่ไหม ลืมไปเรื่องเขามาหมดเลย วันไหนเขาทำอะไร ก่อนจะตายเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ และจิตที่กำลังคิดอย่างนั้น ซึ่งกำลังเกิดดับ ไม่ใช่ของใครเลย กว่าจะรู้ เห็นไหม ความสลดใจต้องเป็นความเข้าใจจริงๆ ต้องเป็นปัญญาจริงๆ

    อ.กุลวิไล ท่านอาจารย์ กล่าวถึงว่า มีเหตุเกิดแล้ว ซึ่งเราก็ไม่รู้

    ท่านอาจารย์ มีเหตุพร้อมที่จะเกิด แน่นอน ทุกขณะแต่ไม่มีใครรู้ อีก ๑๐ ปี จะเป็นอย่างไร ก็มีเหตุที่จะให้เป็นอย่างนั้น แต่ไม่มีใครรู้ ปีหน้าก็ได้ เดือนหน้าก็ได้ พรุ่งนี้ก็ได้ ทุกอย่างที่เกิด พร้อมแล้วที่จะเกิด เพราะเหตุที่ได้กระทำไว้ ถึงเวลาที่เหตุไหนจะให้ผล ผลของเหตุนั้นก็เกิดขึ้นให้เห็น แต่เพราะไม่รู้ ก็เสียใจ ดีใจ แต่ไม่ได้สลดใจ เพราะต้องเป็นปัญญาที่รู้ว่า ใครทำอะไรได้ ไม่มีใครทำอะไรได้ เพราะเหตุ ว่าเหตุได้กระทำไว้แล้ว ถึงเวลาที่จะเป็น ก็ต้องเป็นอย่างนั้น

    อ.กุลวิไล อย่างสหายธรรมทั้งหลาย แล้วคุณพัชมลก็ตาม เราก็ไม่คาดหวังว่า วันหนึ่งเขาก็ไปจากที่นี่แล้ว ถึงเราเองก็ต้องไปด้วย

    ท่านอาจารย์ ก่อนสิ้นชีวิตคุณพัชมล ก็คงคิดไว้ล่วงหน้าหลายปี ว่าจะทำอะไรบ้าง แต่อะไรจะเกิดขึ้น ไม่ใช่เป็นอย่างที่ใครคิด มีเหตุที่จะให้เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น และเมื่อเกิดแล้วก็รู้ความจริงว่า ต้องเป็นไปตามเหตุที่ได้กระทำแล้ว แค่นี้ ประโยคต่อไปก็ต้องลึกซึ้งขึ้นอีก ใช่ไหม ไม่ใช่ว่าอ่านจบ แค่นี้เอง เราจบสูตรนี้แล้ว แต่ความจริง แต่ละสูตรก็พูดถึงสภาพธรรมที่มีจริง ที่สามารถทำให้เพิ่มความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจที่ถูกต้องขึ้น แต่ว่าไม่ง่าย และไม่เร็วเพราะเหตุว่า ได้สะสมความไม่รู้มาไว้มาก จนกว่าปัญญาอบรม สภาพธรรมก็ปรากฏตรง ตามที่ได้ฟัง คิดดู จะต่างจากที่ได้ฟังมาแล้วไม่ได้ เพราะเหตุว่าขณะนี้กำลังเป็นอย่างนี้ แต่เพราะไม่รู้ ก็ไม่ปรากฏ

    อ.กุลวิไล แล้วก็ตรงกับพระพุทธพจน์ที่ว่า ทั้งหมดเป็นธรรม เป็นอนัตตา ที่สำคัญบังคับบัญชาไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ที่จริงเราใช้คำที่เราคุ้นเคยมาก แต่ไม่เข้าใจความลึกซึ้ง เป็นธรรมดา ความตายใครบอกว่าไม่ธรรมดาบ้าง ธรรมดาแน่ๆ ธรรมดา เริ่มเข้าใจถูกต้อง ความเป็นไปของธรรมว่า เกิดแล้วต้องตาย แล้วจะร้องไห้ น้ำในมหาสมุทรยังน้อยกว่าน้ำตา ถ้าใครตายก็ร้องไห้ ใครตายก็ร้องไห้ ก็ตายกันตั้งเยอะแยะ แล้วอย่างไรช่วยได้ไหม เขาตาย แล้วเราร้องไห้ เป็นประโยชน์อะไรกับเขาหรือเปล่า เขาไม่อยากเห็นน้ำตาของใคร เรื่องอะไรไปให้คนอื่นเสียใจเพราะเรา ถ้าเข้าใจธรรมจริงๆ ก็ทำดีเลย และก็เข้าใจความถูกต้องว่า นั่นแหละคือธรรมดา ไม่ว่าจะตายอย่างไร เกิดอย่างไร ก็แล้วแต่ว่าทำความดีหรือความไม่ดีมามากน้อยแค่ไหน แต่ละคนก็อยู่ได้ พ้นจากอันตรายทั้งหลาย ด้วยความดี จนกว่าปัญญาจะถึงการรู้แจ้งสภาพธรรม ดับกิเลสได้ ก็เป็นประโยชน์จากการตายของคนอื่น ธรรมดา เขาไม่ต้องการน้ำตา ไม่ต้องการให้ใครมาเสียใจ โศกเศร้า แต่เขาดีใจด้วย ถ้าเราทำดี

    อ.คำปั่น ถ้าหากว่าผู้ที่ประพฤติไม่ดี ละจากโลกนี้ไป ก็เหมือนกับว่า คนชั่วก็หมดไป

    ท่านอาจารย์ แล้วใครที่คิดถึงอย่างนั้น ชั่วหรือเปล่า จะว่าความชั่วหมดไปได้ไหม ยังอยู่เต็มในใจทุกคน ตราบใดที่ไม่รู้ความจริง ความไม่รู้ทั้งหมดก็ไปตามแนวของความไม่รู้ แต่ถ้าเป็นปัญญา ความรู้ที่ถูกต้อง ก็จะเป็นอีกโลกหนึ่ง เมตตา สงสาร ผลของกรรมที่จะเกิดขึ้น มีทางไหนที่จะช่วยใครได้ โดยประการใดก็ช่วยให้เขามีปัญญา ว่าถ้าไม่มีปัญญาก็เป็นอย่างนี้แหละ พ้นความเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร คนที่ชั่วไม่ได้อยากชั่ว แต่เป็นธรรม ซึ่งสะสมมาที่จะเป็นอย่างนั้น

    อ.คำปั่น แน่นอนว่าความชั่วไม่ได้หมดไป เพราะว่าเพียงแค่คนไม่ดี ตายจากโลกนี้ไป แต่ว่าความชั่ว ก็ยังอยู่ในใจของผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่

    ท่านอาจารย์ ทุกคนที่ได้ฟังแล้วดีใจ ชั่วหรือเปล่า ก็ไม่รู้ ใช่ไหม ดีใจที่คนชั่วตาย แต่ดีใจที่คนชั่วตาย นี่ชั่วหรือเปล่า


    หมายเลข 10856
    2 พ.ค. 2567