ปัญญารักษาจิต


    ขณะที่เข้าใจธรรม ขณะนั้นเป็นกุศล และมีปัญญารักษาจิตในขณะนั้น และเป็นที่พึ่งแม้ยามที่จะตายจากภพนี้ ไปสู่ภพใหม่


    ท่านอาจารย์ ขณะใดที่เข้าใจธรรม ขณะนั้นปัญญารักษาจิต ไม่ใช่ยาอื่นเลย แต่ความเห็นถูก ความเข้าใจถูกเมื่อไร เมื่อนั้นรักษาจิต ไม่ต้องมีเราไปทำอะไรอีกเลย ไม่มีใครต้องทำอะไร แต่ให้มีความเข้าใจให้ถูกต้องว่า ไม่มีเรา แต่เป็นธรรม

    อ.วิชัย ท่านอาจารย์ครับ ถ้ามุ่งเน้นถึงตัวสภาพที่เป็นปัญญา แต่ว่าธรรมที่ดีงามอื่น ก็มีจิตหน้าที่ของเขา เหตุใดจึงต้องมุ่งถึงตัวปัญญา

    ท่านอาจารย์ แล้วการฟังธรรมดีหรือเปล่า

    อ.วิชัย ฟังธรรมดี

    ท่านอาจารย์ ก็ดี

    อ.วิชัย แต่บางครั้งฟัง ก็เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง

    ท่านอาจารย์ ขณะที่ไม่เข้าใจดีหรือเปล่า ก็ต้องเป็นคนตรง จิตเกิดดับเร็วมาก จะให้จิตที่ไม่ดี เป็นจิตที่ดี ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

    อ.วิชัย อย่างเช่นขณะนี้ฟัง ก็ยากจะรู้ว่า จิตก็เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เกิดดับอย่างรวดเร็ว

    ท่านอาจารย์ คุณวิชัย ยากแน่ ถ้าทำอะไรสักอย่าง หรืออะไรหลายๆ อย่าง ที่จะให้รู้ว่าจิตเป็นอย่างไร แต่ฟังเข้าใจเมื่อไร ความเข้าใจนั่นแหละ ให้รู้ว่าความเข้าใจนั่นแหละ ซึ่งก็เกิดดับด้วย ขณะที่เข้าใจก็รักษาจิต และก็ฟังต่อไป ขณะที่เข้าใจก็รักษาแล้วในขณะนั้น ไม่ต้องมีเราไปรักษาอีก

    อ.วิชัย สภาพที่ดีงาม คือ ปัญญา รักษาขณะนั้น

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง

    อ.วิชัย แต่ก็ดับไป

    ท่านอาจารย์ ดับ เกิดดับ แล้วก็จากน้อย ค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ด้วยความไม่ใช่เรา ถ้ามีความเป็นเราเข้ามาอีก ปัญญาที่มีก็หายไปอีก ไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้ แทนที่ปัญญาจะเกิด ก็เกิดไม่ได้ เพราะมีเราเข้ามาแทรกแซง ก็เป็นเรื่องแสนยาก ต่อสู้กับใคร ต่อสู้กับกิเลสตัวใหญ่ไหม แต่ละตัวใหญ่ไหม แล้วก็มากหรือไม่ เยอะแยะไปหมดเลย แล้วเมื่อไรจะหมดไปได้ ก็ต้องความเข้าใจอย่างเดียวเท่านั้น ถ้าไม่มีความเข้าใจ ไม่มีทางอื่นเลย เพราะว่าพุทธะเป็นปัญญา เป็นสภาพรู้ สภาพที่เข้าใจความจริง อยู่ในโลกมานาน ไม่ทราบเคยกินยาหรือเปล่า ที่จะรักษาจิต ไม่เคยฟังเลย แล้วจะหาอะไรไปรักษาจิตได้ แม้แต่จะคิด เข้าใจให้ถูกต้องว่า ความไม่รู้เป็นมูลเหตุที่จะนำมาซึ่ง ความชั่วความไม่ดีทั้งหลาย ความติดข้องเกิดเพราะความไม่รู้ รู้ได้เลย ติดข้องเมื่อไรต้องทุกข์ ช้าหรือเร็ว แต่ก็ยังเพลิดเพลิน ก็เป็นสิ่งยาก เพราะเป็นเรื่องของศีรษะ ๒ อย่างคือ อวิชชากับวิชชา อย่างไหนจะเป็นใหญ่ เป็นประธาน ถ้าทางฝ่ายอกุศล อวิชชาก็เป็นใหญ่ เป็นประธาน ถ้าทางฝ่ายกุศล ก็ปัญญาเป็นใหญ่ เป็นประธาน

    อ.อรรณพ ความเข้าใจธรรมขณะนี้ เป็นไปเพื่อการตายดีอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ก่อนจะตาย กุศลจิตหรืออกุศลจิตเกิด ไม่มีใครบังคับบัญชาได้ เพราะว่ามีใครบ้างที่ไม่มีอกุศล มีบุคคลเดียวคือพระอรหันต์ และมีใครบ้างที่ไม่มีความเห็นผิด ที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน ก็ต้องเป็นพระโสดาบัน เป็นพระอริยบุคคล ตราบใดที่ยังไม่เป็นอย่างนั้น อกุศลก็มี กุศลก็มี ก็แล้วแต่ว่า จะตายดีหรือตายไม่ดี ชาติก่อนคุณอรรณพตายดีไหม

    อ.อรรณพ ตายดีครับอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ยังไม่ได้เป็นพระโสดาบัน ก็ชาติก่อนใครตายดี ก็ตายดีกันทั้งนั้นแหละ ถึงได้เกิดเป็นมนุษย์ แต่ชาติหน้าไม่รู้ ตายดี คือกุศลจิตเกิดก่อนตาย เป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิต ซึ่งเป็นผลของกุศล ทำกิจปฏิสนธิ

    อ.อรรณพ กราบเรียนท่านอาจารย์ว่า การฟังธรรมในแต่ละขณะ ขณะนี้ เป็นไปเพื่อตายดีอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ทุกขณะจิต เราจะต้องตายอีกๆ ๆ ไม่รู้ว่าชาติไหนตายดี ก็แล้วแต่การสะสมของกุศล

    อ.อรรณพ เพราะฉะนั้นไม่ใช่เรื่องไปหวังว่า ตอนใกล้ตายจะเป็นกุศล โดยที่ไม่มีเหตุอันควร

    ท่านอาจารย์ เวลาหวังเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล เกิดมานี่ต้องการอะไรที่สุด

    อ.อรรณพ ได้เข้าใจความจริง

    ท่านอาจารย์ นั่นแหล่ะ ก็ถูกต้องที่สุด มิฉะนั้นแล้วเกิดมาก็ไม่เห็นประโยชน์เลย จะมาพูดทำไมกัน เรื่องเห็น เรื่องได้ยิน ดูธรรมดา ไม่รู้จักความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และไม่รู้ว่านับถืออะไร จะกล่าวไม่ได้เลย ว่ามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง

    อ.คำปั่น ตายดีคือ กุศลจิตเกิดก่อนตาย ก็เหมือนกับว่าอยากจะเป็นผู้ที่ตายดี คืออยากจะมีกุศลจิตเกิดก่อนตาย

    ท่านอาจารย์ ก็อยากไปทุกชาติ แต่ชาติก่อนก็อยาก ชาติต่อๆ ไปก็ยังอยาก เลยไม่รู้ว่าแท้ที่จริง อยากเท่าไร ก็แล้วแต่ว่ากุศลจิตเกิดก่อนจุติจิตหรือเปล่า

    อ.วิชัย ก็ยังมีความรักตัว อยากที่จะให้เกิดในภูมิที่ดี

    ท่านอาจารย์ ถ้ารักจริงๆ ทำอย่างไร

    อ.วิชัย ก็ต้องอบรมปัญญาให้เข้าใจเพิ่มขึ้น


    หมายเลข 10858
    27 ส.ค. 2567