โรคและยา
อะไรเป็นโรคที่อยู่ในจิตใจ และอะไรคือยาที่จะรักษาโรคของจิตใจนั้นได้จริงๆ
ท่านอาจารย์ ใครมีโรคอะไรมาก จะรู้ได้จากประจำวันตามปกติ ไม่ต้องไปเอาอย่างใคร เกิดแล้วตามปกติ คือโรคประจำตัวของแต่ละคนๆ ๆ ซึ่งหลากหลายมาก ว่าใครจะมีโรคชนิดใดมาก แล้วใครจะมีโรคชนิดใดน้อย
อ.วิชัย ท่านอาจารย์ครับ บางท่านก็อาจจะติดในรส แสวงหาไปรับประทานที่โน้น ที่นี่ ที่อาหารอร่อย บางท่านก็ชอบในเสียงเพลง ที่ไพเราะต่างๆ เหล่านี้
ท่านอาจารย์ โรคติดข้องกับโรคไม่รู้ พอไม่ได้สิ่งที่ต้องการก็เกิดโรคอีก แล้ว โรคโทสะ โรคขุ่นใจ แล้วก็ยังโรคมานะ แล้วก็โรคอิสสา คือริษยา แล้วก็อย่างโรคมัจฉริยะ ตระหนี่ สารพัดโรค แล้วแต่ธรรมที่เกิดขึ้นนั้น จะปรุงแต่ง ใครจะมีโรคน้อย เอายาชนิดนี้ไปรักษาโรคได้ไหม ก็ต้องแล้วแต่ ใครสะสมมาอย่างไร ธรรมก็รักษาทั้งหมด แล้วแต่ว่าขณะนั้น จะมากน้อยอย่างไร
อ.วิชัย ค่อยๆ คลายจากสิ่งเหล่านี้อย่างไร
ท่านอาจารย์ ถ้าหากไม่ใช่เราแล้ว จะริษยาไหม ถ้าไม่ใช่เราแล้วจะตระหนี่ไหม
อ.วิชัย ก็ค่อยๆ คลาย
ท่านอาจารย์ ค่อยๆ คลาย ก่อนที่จะดับต้องคลาย ถ้าไม่มีการคลายแล้วจะดับได้อย่างไร หนาแน่น เหนียวแน่น ปิดสนิทด้วย ทุกอย่าง กว่าจะเปิดออกแกะออก ทิ้งไปทีละนิด ทีละหน่อย ก็ต้องอาศัยกาลเวลา และปัญญาเท่านั้น ความเห็นถูกว่าไม่ใช่เรา ปัญญาทำหน้าที่ของปัญญา สภาพธรรมอื่นไปทำหน้าที่ของปัญญาไม่ได้เลย จากการสะสมมาของแต่ละคน ซึ่งต่างกันจะให้ปัญญา ไปรักษาให้เรียบเหมือนกันหมด ก็เป็นไปไม่ได้ ใช่ไหม ไม่ให้ตระหนี่เลยก็ไม่ได้ ไม่ให้อิสสาเลยก็ไม่ได้ ก็แล้วแต่ เพราะว่าความริษยาหรือความอิจฉา มีตั้งแต่เล็กน้อยจนกระทั่งเป็นอันตรายอย่างยิ่ง
อ.อรรณพ ทรงเปล่งพระอุทานว่า ความไม่มีโรคเป็นลาภอย่างยิ่ง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง บรรดาทางทั้งหลาย อันให้ถึงอมตธรรม ทางมีองค์ ๘ เป็นทางอันเกษม
ท่านอาจารย์ ๘ คืออะไร ก็คือ มีปัญญา
ท่านอาจารย์ ปัญญาก็คือความเข้าใจถูกต้อง ตามที่ได้ฟัง ถ้าไม่เข้าใจแล้วจะไปไหน ก็ไปทางผิด ทางมีเยอะ แต่ทางหนึ่ง ทางเดียว ที่ไปสู่การสงบจากกิเลสก็คือ มีความเข้าใจถูกต้อง ในสิ่งที่มีจริงๆ ที่ปรากฏ
อ.อรรณพ ท่านอาจารย์ช่วยอนุเคราะห์ ที่จะให้รู้จักโรคเพิ่มขึ้น แล้วก็รู้จักยาที่แท้จริง ที่จะรักษาโรคนี้ได้
ท่านอาจารย์ โรคอยู่ที่ไหนก็ต้องรักษาที่นั่น ใช่ไหม ขณะนี้กำลังเห็นก็ไม่รู้ ก็ต้องฟังจนกระทั่งเข้าใจ แน่นอน มั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลงว่า เห็นไม่ใช่เรา ขณะนี้ถ้าเห็นไม่เกิด จะมีเราแต่ไหน และเห็นก็ไม่ได้เกิดขึ้นได้ ตามความต้องการของใคร ใครจะทำให้เห็นเกิดขึ้นไม่ได้ แต่เมื่อมีปัจจัยที่เห็นจะเกิด ใครจะยับยั้งไม่เห็นก็ไม่ได้ นี่คือความเริ่มเข้าใจว่า ไม่มีเรา แล้วก็ไม่ใช่เรา แล้วก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของเรา ไม่ใช่เฉพาะเห็น โกรธ ไม่อยากเลย ก็มีปัจจัยเกิดแล้ว แต่ว่าไม่รู้หนทางที่จะรู้ว่า ตราบใดที่เรายังโกรธ ขณะนั้นก็คือว่า ก็เป็นโรคต่อไป คือโรคไม่รู้ และก็โรคเข้าใจผิด ยึดถือว่าสิ่งนั้นเป็นเรา หรือว่าเป็นของเรา
ทุกอย่างที่เกิด มีเหตุปัจจัยที่จะเกิดทั้งนั้นเลย จะเข้าใจก็มีปัจจัย ถ้าไม่เข้าใจก็มีปัจจัย ถ้าโกรธก็มีปัจจัย ทุกอย่างเกิดเป็นไปตามปัจจัย ให้มีความเข้าใจที่มั่นคงว่า เป็นธรรม แล้วก็ธรรมทั้งหลายนั้น ไม่ใช่เราแน่นอน และก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของเราด้วย ถ้าไม่ว่าสภาพธรรมใด มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วสามารถที่จะเข้าใจถูก ในลักษณะของสภาพธรรมนั้น นั่นคือหนทางเดียวที่จะรู้ว่าขณะนั้นสภาพนั้นไม่ใช่เรา
ใครเอายาอื่นมาให้ จะเอาไหม บอกให้ไปทำอย่างนั้น บอกให้ไปทำอย่างนี้ ก็ยังคงไม่เข้าใจสิ่งที่มี เพราะเหตุว่าไม่ได้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงว่า โรคอยู่ที่ไหน ก็อยู่ในขณะที่เห็น แล้วก็ไม่รู้ว่าไม่ใช่เรา ได้ยินก็เป็นธรรม ก็ไม่รู้ การรักษาโรคก็คือว่า มียาอย่างเดียว เมื่อกินยานั้น เพราะเข้าใจถูกต้อง จึงจะรักษาโรคได้
อ.อรรณพ ยานี้มีคุณค่ามาก เพราะว่าเป็นปัญญา แต่ว่ายานี้ต้องใช้เวลานานมาก ใช่ไหมครับ กว่าจะรักษาได้
ท่านอาจารย์ แล้วก็ยาที่ง่ายมาก ไม่ต้องใช้เวลานานเลย แต่ไม่ถูก เอาไหม
อ.อรรณพ ถ้าไม่รู้ เอา
ท่านอาจารย์ ความเห็นผิด ความเข้าใจผิด แม้ในเรื่องของยารักษาโรค ซึ่งกล่าวว่าให้ทำอย่างนั้น ให้ทำอย่างนี้ แต่ไม่มีความเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏเลย เหมือนการกระจายยาพิษออกไป ไม่ได้รักษาโรคเลย เมื่อไม่รู้จักยา ก็ต้องฟังจนกระทั่งรู้จักยาจริงๆ ว่า อะไรเป็นยาที่จะรักษาโรค ไม่ใช่ไม่ฟังเลย ไม่เข้าใจเลย ใครให้อะไรมาก็กินหมด
อ.อรรณพ โรคยิ่งกำเริบใหญ่ โรคเห็นผิด ถ้ากำเริบจนกระทั่งรักษาไม่ได้อย่างนี้ จะเป็นอย่างไร
ท่านอาจารย์ ใครก็ช่วยไม่ได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ช่วยไม่ได้ ก็หลับแล้วก็ตื่น แล้วก็หลับแล้วก็ตื่นต่อไป ก็โลดเต้นไปตามโรค แล้วแต่ว่าโรคอะไรในขณะนั้น โรคโลภะก็พล่านไป โรคโทสะก็พล่านไป เท่านั้นเลย