เรือนของใจ
ในภูมิที่มีทั้งนามธรรม และรูปธรรม จิต และเจตสิกแต่ละขณะ ต้องอาศัยรูป ซึ่งเป็นที่เกิดเป็นที่อยู่ชั่วขณะที่จิตเกิดขึ้น เช่น จิตเห็นมีตาเป็นเรือน คือ เป็นที่อาศัยเกิด เป็นต้น
ท่านอาจารย์ ทุกคนก็มีบ้านใช่หรือไม่ เป็นที่อยู่ แต่เรือนอยู่ไหน หรือว่าเรือนเก่านั้นแหล่ะ บ้านเรือนของเรา หรืออย่างไร แต่เรือนของเห็น อยู่ที่ไหน เรือนของได้ยินอยู่ที่ไหน เรือนของคิดนึกอยู่ที่ไหน เวลาพูดถึงบ้าน เราก็เข้าใจ บ้านของเรา แต่เป็นเราทั้งหมด แต่ถ้าพูดถึงสภาพธรรม เรือนของจิตต้องมี คือร่างกาย ซึ่งได้เกิดมาเพราะกรรมเป็นปัจจัย ทำให้มีจักขุปสาท สำหรับเป็นทางที่จะทำให้เห็นสิ่งที่กำลังปรากฏ ถ้าปราศจากเรือน จิตก็เกิดไม่ได้ ไม่มีที่จะเกิด รูปทั้งหมดซึ่งเป็นที่อาศัยเกิดของจิต ก็เป็นเรือนที่เกิดของจิต ชั่วขณะที่เกิดขึ้นปรากฏแล้วก็หมดไป ที่ทรงอุปมาว่าเป็นเรือน ก็ต้องเข้าถึงว่า เรือนของจิต ต้องไม่ใช่เรือนที่เราอยู่ทุกวันๆ แต่เป็นร่างกายซึ่งเรายึดถือว่าเป็นเรานี่แหละ ถ้าไม่มี จิตก็เกิดไม่ได้ ไม่มีจักขุปสาท จิตก็เกิดไม่ได้
ถ้ามีความเข้าใจว่าจิตเห็นขณะนี้ต้องอาศัยอะไร พอได้ยินพระสูตรนี้ ก็สามารถที่จะเข้าใจได้ ว่าเรือนจริงๆ ของสังสารวัฏฏ์ ก็คือสภาพธรรมซึ่งเป็นที่อาศัยเกิด ของธรรมที่กำลังปรากฏ มีเรือนคนละหลังหรือไม่ ไปไหนไปด้วย แต่เรือนที่บ้าน ไม่ได้ไปด้วยใช่ไหม แต่เรือนนี้ไม่เคยขาดเลย อยู่ด้วยกันตลอดเวลา พระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแค่ไหน ทำให้ได้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ จากคำที่ได้ทรงแสดงทุกคำ เพื่ออนุเคราะห์ให้เราค่อยๆ พิจารณา แม้เกิดมาแล้วก็มีเรือน อยู่ที่ถนนมีเรือนไหม ไม่ได้อยู่ที่บ้าน ก็ยังมีเรือน ซึ่งเป็นที่เกิดของจิต และเจตสิก
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์กล่าวว่าเรือนของจิต อยากกราบเรียนในความเข้าใจยิ่งขึ้น
ท่านอาจารย์ ก็ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจ เพราะเหตุว่าการศึกษาธรรม ต้องไตร่ตรองตามลำดับ ถ้าพูดถึงบ้าน บ้านเรือนของเรา ที่อยู่ของเรา บ้านคือที่อยู่ ที่อาศัย ถูกต้องไหม แล้วเวลานี้เราไม่ได้อยู่บ้าน แล้วจะมีที่อยู่ ที่อาศัยของจิตเห็น จิตได้ยินไหม ถ้าไม่มีเรือน ที่อาศัยให้เกิดขึ้น เหมือนเป็นที่อยู่ชั่วคราว ชั่วขณะที่เกิดขึ้น ขณะนั้นก็เกิดไม่ได้ ก็ธรรมดาๆ อย่างนี้ เพียงแต่เป็นคำอุปมา เปรียบเทียบความลึกซึ้งของธรรม จากเข้าใจว่ามีเรา มีบ้าน บ้านก็คือที่อยู่ ที่อาศัย เวลาที่เราอาศัยอยู่ที่นั่นฉันใด แต่เวลานี้ แต่ละขณะจิตเช่นจิตเห็นเกิดขึ้น ถ้าไม่มีเรือน ไม่มีที่อยู่ ไม่มีที่อาศัย ที่จะเกิด จิตก็เกิดไม่ได้ แต่ว่าละเอียดกว่านั้นอีก คือไม่ใช่กาย ตั้งแต่ศีรษะจดเท้า ยังแตกย่อยไปเป็นเฉพาะรูปที่สามารถที่จะกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา
ธรรมต้องละเอียดขึ้นๆ แต่ให้รู้ว่าคำอุปมา เป็นคำอุปมา เพียงให้รู้เค้า ที่จะเข้าใจ แต่ตัวสภาพธรรมนั้น ละเอียดลึกซึ้งยิ่งกว่านั้นมาก ก็สะสมความเข้าใจ โดยความไม่ประมาทว่า สิ่งที่มีจริง มีจริง แต่ต้องเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย เเล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่เหลือเลยสักชาติเดียว ทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญในขณะหนึ่ง ล่วงพ้นขณะนั้นแล้ว ไม่มีแล้ว สิ่งนั้นก็หาความสำคัญอะไรไม่ได้เลย
ทรัพย์สมบัติมีมาก ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ เพื่อนฝูงมิตรสหายมีมาก สิ่งที่ติดข้องพอใจ มีมาก จากโลกนี้ไปแล้ว ไม่เหลือความติดข้องในโลกนี้อีกเลย แต่ติดข้องใหม่ เหมือนจากโลกก่อนมา เราเคยติดข้องอะไรไว้มากมาย พอถึงโลกนี้ไม่รู้จักเลยสักอย่างเดียว แล้วก็ติดข้องใหม่ในโลกนี้ แต่ละหนึ่งขณะเกิดขึ้น ถ้าไม่รู้ความจริงก็ติดข้องในสิ่งนั้น จนกว่าเมื่อไรจะไม่เกิดอีกเลย ก็คือเมื่อรู้ความจริง แล้วละความติดข้อง เพราะรู้ แต่ถ้าไม่รู้ก็ยังคงเป็นอย่างนี้ไปตลอดเวลา