ปัจจยาการ
สิ่งใดเกิดขึ้น ต้องเพราะมีปัจจัยเป็นไป ซึ่งก็เป็นแต่ละขณะเดี๋ยวนี้เอง
อ.วิชัย ก่อนตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ พระองค์ก็ทรงพิจารณาปัจจยาการ ความเป็นปัจจยาการขณะนี้คืออย่างไร
ท่านอาจารย์ เหมือนไม่ใช่เดี๋ยวนี้ แต่ความจริงคือเดี๋ยวนี้ ถูกไหม ธรรมทั้งหมดที่ทรงแสดง ต้องกล่าวถึงสิ่งที่กำลังมีจริง เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ทุกคนเห็น ไม่รู้อะไรเลย เห็นก็เห็นไป ใช่ไหม กำลังนั่งอย่างนี้ เห็นก็เห็นไป และก็ฟังก็ฟังไป คิดก็คิดไป เห็นก็เห็นไป แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า คิดถึงปัญญาที่ได้อบรมมาแล้ว แค่เห็น เห็นอะไร ชั่วหนึ่งขณะเห็น เห็นไหม ต่างกันแล้วใช่ไหม
ของเราก็เห็นมาตลอดเวลาที่นั่งอยู่ที่นี่ เห็นไปเรื่อยๆ ไม่รู้อะไร ไม่คิดอะไร แต่ปัจจยาการของพระองค์ คือการที่จะรู้ว่า สิ่งนั้นเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็เกิดมาได้ เดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็น พระองค์รู้ว่าสิ่งที่ปรากฏ ต้องมี ถ้าไม่มี เห็นมีไม่ได้ แค่นี้ เหมือนคำพูดธรรมดา แสนสั้น แต่ทุกขณะที่เห็น คิดดู ทุกขณะที่เห็น ไม่เคยผ่านไป โดยการที่ไม่ไตร่ตรอง ให้รู้ว่าเห็นนี่ แม้แต่เกิดเห็นชั่วหนึ่งขณะนี้ ก็ต้องอาศัยปัจจัยแล้ว และเราก็ฟังมาตั้งนาน เห็นถ้าไม่มีตา ก็เห็นไม่ได้ แต่ปัญญาของพระโพธิสัตว์ หนึ่งขณะที่เกิดเห็น พอเห็นแล้ว ดับแล้ว ใครรู้บ้าง ว่าเกิดความยึดมั่น ความติดข้องทันที หลังจากที่ได้ทรงตรัสรู้แล้ว ก็ทรงแสดงว่า เพียง ๓ ขณะจิต ต่อจากจิตเห็น ความติดข้องเกิดแล้ว ขณะนี้เลย ความเป็นปัจจัยของสภาพธรรม ก็คือว่าทันทีที่เห็นดับไปแล้ว เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น รู้สิ่งเดียวกัน แต่ไม่เห็น
กว่าสภาพธรรมจะปรากฏให้เข้าใจได้ ต้องละเอียดอย่างยิ่ง ทีละหนึ่งขณะจิต เมื่อจิต ๓ ขณะ ซึ่งเป็นผลของกรรมที่ทำให้จิตเกิดขึ้น รู้อารมณ์ต่อจากเห็น รับไว้ด้วยดี เป็นสัมปฏิจฉันนจิตดับไปแล้ว เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไป ก็รู้อารมณ์นั้น แต่ไม่ใช่เพียงรับไว้ด้วยดี แต่มีความที่จะรู้ในสิ่งนั้น โดยความฐานะที่เป็นสันติรณจิตดับไป แล้วก็จะต้องมีจิตอีกหนึ่งขณะเกิด แล้วต่อจากนั้น อวิชชาโลภะก็เกิดแล้ว
เวลานี้เป็นอย่างนั้น แต่ก่อนที่จะรู้ความจริงอย่างนั้นได้ พระปัญญาที่สะสมมา ก่อนที่จะถึงวาระของการตรัสรู้ สภาพธรรมอย่างนี้แหล่ะ ปรากฏกับพระปัญญาของพระองค์ ที่แม้แต่เพียงว่า เห็นขณะนี้ ถ้าไม่มีสิ่งที่ปรากฏ ก็เห็นไม่ได้ ก็เป็นปัจจัยแล้ว หรือแม้แต่เมื่อจิตมีที่เห็นดับไปแล้ว จิตต่อไปเกิดขึ้นไม่เห็น ก็เป็นปัจจัยแล้ว คือจิตที่ดับไปนั่นแหละ เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิด จนกระทั่งถึงขณะที่มีความติดข้อง เพราะไม่รู้ ๗ ขณะ ขณะแรกเป็นตัณหา เป็นโลภะ เมื่อมีโลภะ ติดข้อง ก็มีอุปาทาน การยึดมั่น
ซึ่งเราจะเห็นได้แต่เพียงว่า เพราะเราเห็น เราชอบทันที แต่ที่ชอบทันที จิตเกิดดับหลายขณะมากเลย และชอบของเราระดับไหน เห็นดอกไม้ ทุกคนบอกว่าสวย และก็ชอบแค่ระดับนี้ ยังไม่ขวนขวาย ยังไม่แสวงหา ยังไม่ติดข้อง จนกระทั่งอยู่ไกลแสนไกล ก็ไปเอามาให้ได้ กุ้ง ปู ปลาในทะเล หรือว่าดอกไม้ในป่า บนยอดเขาหรืออะไรก็ตามแต่ ทุกสิ่งทุกอย่าง เราเห็นอย่างนั้นว่า เพิ่มความติดข้อง จากระดับซึ่งสวยก็สวย ชอบก็ชอบ ก็ผ่านไป กลายเป็นความต้องการอย่างยึดมั่น แต่ว่าของพระองค์ท่านรู้เลย หนึ่งขณะจิตแรกที่เป็นโลภะ ไม่ใช่ขณะจิตที่สอง
ถ้าจะกล่าวโดยละเอียดหนึ่งขณะแรกเป็นตัณหา ขณะที่สองเป็นอุปทาน เพิ่มความยึดมั่นทีละเล็กละน้อย กว่าจะถึงการที่ทุกคนต่างแสวงหาสิ่งที่พอใจตั้งแต่เกิดจนตาย จะมากมายสักแค่ไหน ก็เทียบไม่ได้เลย เราได้ยินแต่ละคำ เราเข้าใจเผินมาก ข้ามเลย จากจิตเห็นไปถึงจิตที่พอใจ ที่ต้องการทันที แต่ไม่รู้ว่าสิ่งที่ปรากฏยังไม่ทันดับเลย ความติดข้องก็เกิดแล้ว แต่ว่าเป็นระดับที่ไม่ใช่การแสวงหา ที่ยึดมั่น ก็เป็นนัยที่ทรงแสดงความหลากหลายของธรรมโดยละเอียด
อ.วิชัย แต่ว่าถ้าพูดถึงบุคคลที่เริ่มอบรม การที่จะเริ่มรู้ เข้าใจขึ้น ที่จะเห็นสิ่งที่เป็นจริงปรากฏตามความจริงอย่างไร
ท่านอาจารย์ ฟังด้วยความไม่ประมาท ไม่ประมาทจริงๆ ในแต่ละคำ แม้แต่ธรรม ก็มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ ทุกสิ่งทุกอย่าง ฟังแล้วก็ลืม ฟังแล้วก็ลืม ฟังไปๆ จนกว่าจะมั่นคง ก็เรียกว่ามีความเข้าใจเพิ่มขึ้น และไม่ใช่เพียงแค่ ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง ยังแต่ละธรรมที่มีจริงในแต่ละวัน ในแต่ละขณะ
อ.วิชัย ดูเหมือนธรรมเป็นเรื่องที่คิดเองไม่ได้เลย
ท่านอาจารย์ คิดเองจะคิดอย่างไรดี
อ.วิชัย แค่เห็นแล้ว เพราะมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ก็ไม่เคยคิดอย่างนี้มาเลย
ท่านอาจารย์ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่รวดเร็วมาก ปรากฏพร้อมนิมิต แล้วจะรู้ความจริงอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างไร เพราะว่าไม่ได้บำเพ็ญบารมีมาถึงระดับนั้น