เห็นสิ่งที่ไม่ใช่สิ่งที่เห็นแล้ว
ขณะนี้เห็นอะไรกันแน่ เห็นคน เห็นสิ่งของวัตถุต่างๆ หรือ เห็นเพียง สิ่งที่ปรากฏเท่านั้น
ท่านอาจารย์ เห็นสิ่งซึ่ง ไม่ใช่สิ่งที่เห็นแล้ว สิ่งที่เห็นแล้ว คือคน สัตว์ แต่ปัญญาเห็น สิ่งซึ่งไม่ใช่ที่เห็นแล้ว คือตัวธรรมแท้ๆ เลย ขณะนี้มีธรรมที่ปรากฏ แต่ไม่เคยเห็นธรรมตามความเป็นจริง เห็นเป็นคน ตลอดไปเรื่อยมา ตั้งแต่เช้าจนถึงเดี๋ยวนี้ ถ้าเป็นปัญญา เห็นสิ่งที่ไม่ใช่ที่เคยเห็นแล้ว ทุกอย่าง แม้แต่แข็ง แม้แต่จับดอกไม้ หรือเห็นดอกไม้อะไรก็ตามแต่ กระทบเป็นโต๊ะ เวลาที่ปัญญาเกิด ขณะนั้นเห็นสิ่งที่ไม่ใช่ที่เห็นแล้ว ที่เห็นแล้วเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่พอปัญญาเกิด เห็นสิ่งที่ไม่ใช่ที่เห็นแล้ว เมื่อไรจะเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่สิ่งที่เห็นแล้ว แต่เป็นธรรม ที่ปรากฏตามความเป็นจริง
ฟังธรรมทั้งหมด เพื่อเข้าใจถูกต้อง และกว่าจะเข้าใจ จนกระทั่งแม้เพียงคำสั้นๆ ได้ถูกต้องว่า หมายความถึงความเข้าใจระดับไหน ก็ต้องรู้ว่า อดทนหมายความว่าอะไร วิริยะ ความเพียรหมายความว่าอะไร จากสิ่งที่ปรากฎอย่างนี้ อดทน อาตาปี ที่จะเผาความติดข้อง เผาความไม่รู้ เผาการยึดถือสิ่งที่เคยเป็นสิ่งนั้น จนเป็นเพียงธรรมที่ปรากฏ จากที่เคยเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดคือ เป็นสัตว์ บุคคล จนเป็นเพียงธรรมที่ปรากฏ
อ.กุลวิไล ข้อความที่มาจากชราสูตร จากพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาท ผู้มีปัญญา ย่อมไม่สำคัญด้วยรูปที่ได้เห็น เสียงที่ได้ฟัง หรืออารมณ์ที่ได้ทราบ ย่อมไม่ปรารถนาความบริสุทธิ์ ด้วยทางอื่น ผู้มีปัญญานั้น ย่อมไม่ยินดี ย่อมไม่ยินร้าย ฉะนี้แล
ท่านอาจารย์ เวลาที่เห็นธรรม ต้องไม่ใช่เห็นที่ได้เห็นแล้ว แต่ขณะนี้เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นวัตถุ สิ่งต่างๆ ตลอดมา กว่าจะเป็นปัญญาที่เห็น คือเห็นถูกต้องในสิ่งที่ไม่ใช่ที่เห็นแล้ว
อ.อรรณพ สมมติตอนนี้ก็มีหลายอย่าง สมมติเห็นดอกไม้สักดอก
ท่านอาจารย์ เห็นดอกไม้ดอกหนึ่ง ก็ไปแล้ว
อ.อรรณพ ไปแล้ว ไปไหน อย่างไร
ท่านอาจารย์ เป็นดอกไม้
อ.อรรณพ เป็นดอกไม้
ท่านอาจารย์ ต้องเห็นสิ่งที่ไม่ใช่ที่เห็นแล้ว คือเห็นธรรม ซึ่งไม่ใช่ดอกไม้
อ.อรรณพ ไปแล้ว ไปอย่างไร
ท่านอาจารย์ สู่เห็นเหมือนเดิมที่เคยเห็น เห็นดอกไม้ เห็นคน เห็นสัตว์ เห็นโต๊ะ เห็นเก้าอี้ เหมือนเดิม อาตาปี เพียรเผาความไม่รู้ และการยึดถือสิ่งที่ปรากฏ ว่าเที่ยงหรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด หนทางนี้เป็นหนทางที่ประจักษ์ความเป็นอนัตตา เพื่อละความเป็นอัตตา มิฉะนั้นแล้วถ้าผิดนิดเดียวก็เป็นอัตตาแล้ว อย่างแข็ง ปกติเราก็โต๊ะ เก้าอี้ รองเท้า เห็นสิ่งที่ไม่ใช่ที่เห็นแล้ว คือเป็นเพียงธาตุหรือธรรมอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง เท่านั้นเองจนกว่าจะถึงการประจักษ์การเกิดขึ้น และดับไป ยิ่งเห็นความเป็นอนัตตาเพิ่มขึ้น หนทางนี้เป็นหนทางของอนัตตาโดยตลอด ถ้ามีอัตตาเมื่อไรก็เนิ่นช้า เครื่องเนิ่นช้า ไม่สามารถที่จะรู้ว่าเป็นอนัตตา ถ้าผิดจากคำที่ได้ตรัสไว้ดีแล้ว ทุกคำทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อ.อรรณพ แล้วดูจิต สอนให้ดูจิต
ท่านอาจารย์ แล้วจิตเป็นอย่างไร ดูแล้วเป็นอย่างไร ดูแล้วเข้าใจอะไร
อ.อรรณพ เป็นเราที่ดูความคิดนึก จิตใจ ว่าตอนนี้กำลังคิดดี คิดไม่ดีอย่างไร ก็จะได้ตามเท่ารู้ทัน
ท่านอาจารย์ โดยความเป็นเรา เพราะฉะนั้นหนทางนี้ ไม่ใช่หนทางของอนัตตา