เป็นผู้รู้ธรรม
ผู้รู้ธรรม คือผู้ที่เข้าใจถูกว่าการรู้ธรรมก็คือรู้สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้
อ.อรรณพ การรู้เหตุ รู้ผลในทางพระธรรมคำสอน จริงๆ คืออย่างไร
ท่านอาจารย์ ใครรู้ พระธรรมมีจริง ทรงแสดง ๔๕ พรรษา ให้เฉพาะภิกษุหรือว่าใครก็ตาม ที่ควรแก่การฟังพระธรรม เพราะฉะนั้นพุทธบริษัทจึงมี ๔ และก็เวลากล่าวถึงภิกษุ ก็เพราะเหตุว่าพระภิกษุ เป็นหัวหน้าของพุทธบริษัททั้ง ๔ แต่รวมบุคคลอื่นด้วย เพราะฉะนั้นถ้าจะกล่าวถึงภิกษุ ที่มีคุณสมบัติอย่างนี้ อุบาสก อุบาสิกา หรือแต่ละคนที่ฟังธรรม ก็ต้องเป็นอย่างนี้ด้วย ไม่ใช่หมายความว่า เราฟังอย่างนี้ เพื่อเราจะไปหาดูว่าภิกษุไหน มีคุณสมบัติ เป็นผู้ควรแก่การบูชา ที่จะได้รับประโยชน์จริงๆ เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจให้ถูกต้อง ว่าพระธรรมที่ทรงแสดงทั้ง ๓ ปิฏก แต่ละคำ สำหรับทุกคน ที่ควรแก่การฟัง และประพฤติปฏิบัติตาม ไม่ใช่เพียงแค่ฟัง เพราะฉะนั้นความเข้าใจธรรมละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง เพราะผู้ที่ตรัสแต่ละคำ เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้แต่พระสูตรนี้ เราก็จะไม่ผ่านไปถึงข้อนั้น ข้อนี้ โดยการที่ว่าประโยชน์อยู่ที่ไหน ประโยชน์อยู่ที่เรา ที่ว่าเราเข้าใจธรรมหรือยัง ข้อที่ ๑ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นต้องไม่ลืม พุทธบริษัทต้องรู้ธรรม ถ้าไม่รู้ธรรม จะเป็นพุทธบริษัทได้อย่างไร เป็นไม่ได้เลย แต่ที่ใครจะเป็นพุทธบริษัท ก็คือว่าต้องเป็นผู้ที่รู้ธรรมแม้แต่คำว่าธรรม ก็รู้ว่าคืออะไร ไม่ใช่จะฟังธรรม จะศึกษาธรรม จะปฏิบัติธรรม แต่ธรรมคืออะไร ตอบไม่ได้
เพราะฉะนั้นผู้นั้นก็ไม่ใช่ผู้ที่รู้ธรรม รู้ธรรมก็คือว่า เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง ในแต่ละคำ ขณะนี้เป็นธรรมแน่นอน รู้หรือเปล่า เพราะฉะนั้นพุทธบริษัท ภิกษุ อุบาสก อุบาสิกา ก็คือว่า รู้ว่าขณะนี้เป็นธรรม ใครยังไม่รู้บ้าง ว่าเดี๋ยวนี้ไม่ใช่เรา สิ่งที่มีจริงทั้งหมด มีจริงแน่นอน แล้วก็เป็นธรรม ถ้าไม่รู้อย่างนี้จะชื่อว่าเป็นผู้รู้ธรรม ได้หรือไม่ จะกล่าวธรรมมากมายสักเท่าไรก็ตาม ยกข้อความในพระวินัย พระสูตร พระอภิธรรม แต่ก็ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรม ไม่ใช่เรา
เพราะฉะนั้นการฟังธรรมทั้งหมด ต้องไม่ลืมคำว่า ธรรมไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะฟังเรื่องอะไรทั้งหมด ก็คือว่าเป็นธรรมทั้งหมด ไม่ใช่เรา จึงสามารถที่จะรู้ได้ว่า นี่คือการที่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยากหรือไม่ ไม่ใช่เรา มีจริงๆ แต่ไม่ใช่เรา แค่นี้ ตลอดชีวิตกี่ชาติ จนกว่าจะรู้ว่า ไม่ใช่เรา แต่ว่าเป็นธรรมแต่ละหนึ่งๆ การฟังธรรมขณะนี้ เป็นธรรมทั้งหมด เช่น เห็นเดี๋ยวนี้เป็นธรรม นี้คือผู้ที่รู้จักธรรม หรือรู้ธรรม ได้ยินเดี๋ยวนี้เป็นธรรม ถ้าไม่กล่าวอย่างนี้ ชื่อว่าเป็นผู้รู้ธรรมหรือเปล่า แล้วจะบอกให้ใครรู้ธรรมหรือเปล่า ก็พูดแต่เรื่องราวของธรรม แต่ถ้าจะบอกให้ใครรู้จักธรรม ก็คือเห็นเดี๋ยวนี้เป็นธรรม ได้ยินเดี๋ยวนี้เป็นธรรม คิดเดี๋ยวนี้เป็นธรรม ทุกอย่างที่ปรากฏ มีจริงเป็นธรรมทั้งหมด ถ้าเริ่มต้นอย่างนี้ ก็ชื่อว่าเป็นผู้ที่รู้ธรรม จึงกล่าวถึงธรรมได้ ไม่ว่าจะเมื่อไร เมื่อวานนี้ก็เป็นธรรม เมื่อเช้านี้ก็เป็นธรรม เดี๋ยวนี้ก็เป็นธรรม พรุ่งนี้ก็เป็นธรรม ตายก็เป็นธรรม เกิดอีกก็เป็นธรรม เห็นอีกก็เป็นธรรม จึงเริ่มที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าพระองค์ตรัสรู้ความจริงของธรรมโดยละเอียดยิ่ง โดยประการทั้งปวง ประการแรกก็คือ รู้ว่าอะไร หรือว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่มี ไม่เว้นเลยแม้อย่างเดียว เป็นธรรมทั้งหมด แต่ละหนึ่งๆ ด้วย ไม่ปะปนกัน เข้าใจอย่างนี้มั่นคงหรือยัง จริงหรือเปล่า ระดับไหน สำหรับผู้ที่ฟังธรรม จะได้รู้จักตนเอง ก็ตนเองนั่นแหละเป็นธรรม แม้คนอื่นก็เป็นธรรมด้วย
อ.อรรณพ คือการรู้ธรรม ท่านก็บอกว่าคือรู้เหตุ คือรู้ธรรม รู้ผล ก็คืออรรถอย่างนี้
ท่านอาจารย์ รู้หมดเลย เพราะเหตุว่าเป็นธรรม ที่ละเอียดอย่างยิ่ง ขณะนี้ ถ้าไม่มีเห็น จะมีคิดหรือไม่ ถึงสิ่งที่กำลังปรากฎ
อ.อรรณพ ถ้าไม่มีเห็น ก็ไม่มีการคิดถึงสิ่งที่เห็น
ท่านอาจารย์ แล้วแค่นี้ก็ไม่พอ ถ้าไม่มีธรรม อะไรๆ ก็ไม่มี แต่เมื่อมีธรรมแล้วไม่รู้ ถูกต้องหรือไม่ ก็กำลังไม่รู้ คือทั้งหมดทุกคำ ไม่เว้นเลย ถ้าเป็นผู้ที่ละเอียดก็คือ กล่าวถึงความจริง ให้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ว่าเรื่องของการที่จะเข้าใจธรรม ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ไม่ใช่เรื่องรวดเร็ว แต่เป็นเรื่องลึกซึ้งแต่ละคำ ว่าขณะนี้มีธรรม แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม
อ.อรรณพ ผมเห็นถึงความน่ากลัวของการที่จะเข้าใจผิด ในพระสูตรนี้เพราะว่าถ้าเขาคิดว่า การรู้ธรรม ก็คือย่อมรู้ธรรมคือสุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ เขาก็จะศึกษาเป็นตำรับตำรา เป็นวิชาการเช่นนั้น
ท่านอาจารย์ แล้วธรรมอยู่ไหน ไม่มี หาไม่เจอ แต่ถ้ารู้ว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรม แล้วยังไม่รู้ธรรม เพราะเหตุว่าธรรมแต่ละหนึ่ง เกิดขึ้น และก็ดับไป เร็วสุดที่จะประมาณได้ ใครรู้ เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะพระองค์ทรงตรัสรู้ความจริงอย่างนี้ และเห็นว่ายากแสนยาก ที่ใครจะรู้ตาม แต่ว่าด้วยพระมหากรุณาที่ทรงแสดงความละเอียดอย่างยิ่งของธรรมทั้งหมด ตั้งแต่สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ทั้งหมดเลย แต่ละหนึ่งไม่ปะปนกัน เห็นเป็นเห็น ดับแล้ว เข้าใจหรือยัง เห็นไหม เพียงแค่ฟัง แต่ว่าเห็นขณะนี้ เป็นเห็น และดับแล้ว
ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้ก็จะไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า สิ่งซึ่งคนอื่นไม่รู้ แต่พระองค์ทรงตรัสรู้ เพราะบำเพ็ญพระบารมี ที่จะรู้ความจริงของทุกอย่าง ที่มีจริงถึงที่สุด โดยประการทั้งปวง แม้แต่เห็นขณะนี้ หนึ่งเห็นเกิดขึ้น และดับไป ต้องมีปัจจัยที่ทำให้เห็นนั้นเกิดขึ้น ถ้าไม่มีตา ไม่มีสิ่งที่กระทบตา ไม่มีกรรม ที่ทำให้เกิดขึ้นต้องเห็น เห็นก็เกิดไม่ได้ เพียงหนึ่งขณะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ความจริงถึงที่สุด แม้แต่ว่าจักขุปสาทคือรูปที่มองไม่เห็นเลย แต่มี เป็นรูปหยาบ เพราะแม้ไม่เห็น แต่ก็รู้ว่ามีได้ และทุกครั้งที่มีการเห็น ก็รู้ว่าต้องมีตา
นี่ก็เป็นสิ่งซึ่งค่อยๆ เห็นความละเอียดของธรรม จากการที่ฟัง และก็ค่อยๆ เข้าใจความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า เพราะทรงประจักษ์ความจริงทรงแสดงธรรม เพื่อให้เห็นความเป็นจริง ว่าไม่มีเรา แต่มีธรรม เพราะฉะนั้นอนัตตา ไม่ใช่เรา แต่ต้องเป็นธรรม ถ้าไม่มีธรรม จะเป็นอนัตตาได้อย่างไร เอาอะไรมาเป็นอนัตตา แต่สิ่งที่มีขณะนี้นี่แหละ มีจริงๆ แล้วก็ไม่ใช่เรา
เพราะฉะนั้นหนทางที่จะฟังพระธรรม เข้าใจพระธรรม จนรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งขึ้น ก็คือฟังแต่ละคำ แล้วรู้ว่าแต่ละคำคือเดี๋ยวนี้ทั้งหมด ไม่ใช่ไม่มี แต่กล่าวถึงความจริงของแต่ละหนึ่ง คิดเกิดขึ้นแล้ว หนึ่งคิด เกิดขึ้นดับไป ไม่กลับมาอีกเลย หนึ่งเห็น เกิดเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป ไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้นถ้าฟังอย่างนี้บ่อยๆ ก็จะค่อยๆ เข้าใจสภาพธรรม ซึ่งเคยยึดถือว่าเป็นเรามานานมาก ไม่ใช่เพียงอาศัยคำ ซึ่งกล่าวเรื่องชื่อ แต่ไม่บอกว่าเดี๋ยวนี้เอง ขณะนี้เอง ทั้งหมดทุกคำ กำลังเป็นคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงให้ผู้อื่นได้มีโอกาสเข้าใจถูกต้อง ตามความเป็นจริง จากพระธรรมแต่ละคำที่ทรงแสดง ประโยชน์อย่างนี้หรือเปล่า ที่ฟังธรรมกัน เพื่อรู้ความจริง เพื่อรู้ว่าไม่ใช่เรา
เพราะฉะนั้นไม่ใช่ประโยชน์อื่น แต่ประโยชน์เพื่อรู้ความจริง ของสิ่งที่กำลังมีจริงๆ นี่จึงจะเป็นการตั้งจิตไว้ชอบ ซึ่งไม่ใช่เรา แต่ธรรมทั้งหมดเลย ธรรมอะไร ที่ตั้งจิตไว้ชอบ ไม่ใช่อวิชชา อวิชชาตั้งจิตไว้ชอบไม่ได้เลย ก็ไม่รู้แล้วก็เพียรไปหาความไม่รู้ต่อไปไปเรื่อยๆ ก็เพิ่มความไม่รู้ ในสภาพธรรมที่มีจริง เพียงแต่ได้ยินชื่อ ได้ยินเรื่อง แล้วก็ได้ยินคำ
อ.อรรณพ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า การรู้อรรถหรือว่ารู้ผล ย่อมรู้จักเนื้อความแห่งภาษิตนั้นๆ ว่า นี้เป็นเนื้อความแห่งภาษิตนั้นๆ
ท่านอาจารย์ ฟังแล้วรู้ไหม ว่าจุดประสงค์ของการที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงพระธรรม เพื่อให้ทุกคนเข้าใจถูกต้อง ว่าเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ไม่ใช่เรา