หุงข้าวต้มเพื่อข้าวต้ม


    อ.วิชัย เกี่ยวกับเรื่องของอวิชชา ถ้ากล่าวถึงขณะนี้โดยสภาพของอวิชชาก็ยังไม่ปรากฏ แต่ก็ทราบว่าขณะที่กำลังเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องสัมผัส ก็ไม่รู้ความจริง ก็เป็นเพียงแค่ขั้นคิดหรือว่าอนุมานว่าเป็นอวิชชาอย่างนี้ถูกไหมครับ

    สุ. ด้วยเหตุนี้การศึกษาธรรมจึงมี ๓ ระดับ ขั้นฟัง ก่อนนั้นไม่เคยสนใจอวิชชา ไม่รู้ว่าอวิชชาเกิดเมื่อไหร่ แต่พอฟังก็รู้ว่าอวิชชาเป็นขณะที่เป็นอกุศลประเภทหนึ่งประเภทใดจึงมีอวิชชาเกิดร่วมด้วย แต่ถึงแม้เดี๋ยวนี้จะบอกได้ไหมว่าขณะไหนเป็นกุศลจิต ขณะไหนเป็นอกุศลจิตโดยตำราบอกได้ แต่ว่าโดยสภาพธรรมที่เกิดดับเร็วมาก จะบอกได้ไหมว่าขณะไหนเป็น เพราะฉะนั้นก็ต้องอาศัยตำราว่าอกุศลจิตก็มี ๓ ประเภทที่เป็นโมหมูลจิตที่ไม่มีโลภเจตสิก ไม่มีโทสเจตสิกเกิดร่วมด้วยก็มี แล้วก็อกุศลจิตที่มีโลภเจตสิกเกิดกับโมหเจตสิกก็มี แล้วอกุศลจิตที่มีโทสเจตสิกเกิดกับโมหเจตสิกก็มี นี่คือขั้นฟัง ขั้นรู้ แต่ว่าขณะนี้จะบอกได้ไหม ถ้าบอกคือคิด แต่ว่าสภาพธรรมนั้นดับแล้ว ไม่ใช่การรู้จริงๆ ในลักษณะของสภาพธรรมนั้น เพราะฉะนั้นเราก็จะทราบได้ว่าแม้ขณะที่กำลังฟังเป็นปัญญาระดับไหน ขั้นฟังพิจารณาว่าสิ่งที่ได้ยินได้ฟังถูก มีสภาพธรรมกำลังปรากฏ แต่ก็เป็นผู้ตรงที่จะรู้ว่ายังไม่ได้รู้ลักษณะที่เป็นธรรมของสภาพที่กำลังปรากฏ อย่างเห็นอย่างนี้แน่นอนเลย ถ้าสติสัมปชัญญะไม่เกิดจะรู้ไหมว่าเป็นธาตุที่เห็น กำลังเห็น เพราะฉะนั้นจุดประสงค์ของการฟังธรรม ลืมไม่ได้ เปลี่ยนไม่ได้ หันเหไปไม่ได้ว่าฟังธรรมเพื่อเข้าใจในสิ่งที่ได้ยินได้ฟังคือธรรมนั่นเอง เพราะฉะนั้นสิ่งใดก็ตามที่เราจะรู้ได้ว่ามีแค่ไหน อย่างไรก็ต่อเมื่อสิ่งนั้นเกิดแล้ว ขณะนี้ทุกคนจะไม่รู้จักตัวเองเลย มีอกุศลอะไรมามากมายสักเท่าไหร่ มีริษยาบ้างไหม มีความสำคัญตนหรือเปล่า มีความเป็นเราที่เก่งหรือว่าสารพัดอย่างที่สะสมมา ไม่สามารถที่จะหยั่งรู้ถึงการสะสมของจิตนานแสนนานมาแล้วทุกขณะที่เป็นโลภะ โทสะ โมหะ ที่เป็นกุศล ไม่ได้หายไปไหนเลย สะสมสืบต่อในจิตแต่ละขณะนานแสนนานจนถึงบัดนี้ เพราะฉะนั้นขณะต่อไปจะคิดอะไรไม่มีทางที่จะรู้ได้เลย จะเห็นหรือจะได้ยินก็ไม่รู้ ต่อเมื่อไหร่เกิด เมื่อนั้นรู้เลย แม้แต่ความคิดถูกแสนยากที่จะเข้าใจได้ถูกต้องจริงๆ ว่าจริงๆ แล้วขณะนี้เป็นธรรม แล้วก็ไม่มีเรา เพราะฉะนั้นจะไปพยายามทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ ขณะนั้นเข้าใจคำว่าธรรมหรือเปล่า ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง เข้าใจยากแต่อย่าหลงที่จะเอาธรรมมาเพื่อประโยชน์ตน แม้เพียงขณะที่เจ็บป่วยหรือขณะที่ยืนแล้วเมื่อย ก็จะหาทางแก้โดยการคิดว่าจะเอาธรรมนั้นมาใช้ แต่ว่าตามความเป็นจริงก็คือว่าเรามีความไม่รู้ว่าเป็นธรรม ยังต้องมีเราอยู่ตลอดไปจนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้นจุดประสงค์นี่ไม่ใช่อย่างอื่นเลย หุงข้าวต้มเพื่อข้าวต้ม ขณะที่กำลังปิ้งขนมอย่างเดียวไม่ได้ทำอย่างอื่นก็เพื่อขนม เพราะฉะนั้นการฟังธรรมก็เพื่อเข้าใจธรรม และก็ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะสะสมสืบต่อ อย่างสัญญา เราพูดบ่อยๆ สัญญาเจตสิกเป็นสัญญาขันธ์แต่เราก็ลืม แม้แต่ขณะนี้สัญญาทำหน้าที่ของสัญญา แต่ว่าหน้าที่นี้ที่จะจำความเข้าใจของธรรมน้อยมาก เพราะฉะนั้นจากนี้ไปสัญญาอื่นที่สะสมมาก็ทำหน้าที่ของสัญญาที่จำเรื่องนั้นๆ แต่ต้องเข้าใจจนกว่าจะถึงวันที่ทุกอย่างเป็นธรรมตรงกับคำแรกที่ได้ยิน เมื่อคำแรกที่ได้ยินว่า “ธรรมเป็นธรรม ไม่ใช่เรา” ก็จะต้องมีการอบรมจนกระทั่งเป็นความจริงที่ปัญญาเกิดขึ้นรู้ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา เห็นอะไร มีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นแม้เราจะได้ยินคำว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาบ่อยๆ ภาษาบาลีเป็นรูปารมณ์ บางครั้งก็จะใช้คำว่า “รูปายตนะ” ก็ได้ ก็กล่าวไปรูปขันธ์ อะไรก็แล้วแต่ ก็ได้ยินมากมาย ก็สัญญาก็จำๆ ชื่อเหล่านั้น แต่ว่าขณะใดก็ตามที่สติสัมปชัญญะเกิดพร้อมสัญญาเจตสิกที่กำลังรู้ลักษณะของสภาพธรรมก็จะเริ่มสัญญานั้น มีลักษณะนั้นปรากฏกับสัญญา กับสติ กับเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย ขณะนั้นก็จะเข้าใจได้ว่าเป็นอีกระดับหนึ่งซึ่งมีธรรมจริงๆ กำลังปรากฏกับสติ ไม่ใช่ปรากฏกับจิตที่เพียงได้ยินแล้วก็ไตร่ตรองเท่านั้น


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 214


    หมายเลข 10892
    31 ส.ค. 2567