ศาสนาเสื่อมเพราะว่ายาก
ว่ายาก คือยึดถือในหนทางปฏิบัติผิด โดยไม่ยอมรับฟังในสิ่งที่ถูกต้อง ตามพระธรรมวินัย จึงเป็นเหตุให้พระศาสนาเสื่อม
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ใครจะรู้ ก็ต่างคนก็ต่างคิด รู้สึกตัวเหมือนกับว่าศีลดีขึ้น แต่ถ้าไปอยู่ที่สำนักปฎิบัติ ศีลจะยิ่งดีขึ้น เข้าใจว่าอย่างนั้น
อ.อรรณพ เข้าใจอย่างนั้น
ท่านอาจารย์ เพราะไม่รู้ว่า ศีลคืออะไร
อ.อรรณพ ศีลคืออะไร อาจารย์โดยสั้นๆ ครับ
ท่านอาจารย์ รูป มีศีลไหม
อ.อรรณพ ไม่ใช่สภาพรู้ ไม่มีศีล โต๊ะ เก้าอี้ ไม่มีศีล
ท่านอาจารย์ เสียงเป็นศีล ได้หรือไม่
อ.อรรณพ เสียงเป็นศีลไม่ได้
ท่านอาจารย์ ศีลคือปกติ ปกติของธาตุรู้ ธาตุรู้คือจิต และเจตสิก เมื่อเกิดขึ้นหลากหลายมาก ถึงอย่างนั้นก็ตาม เกิดร่วมกันแล้วดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกทั้งหมด ทั้งจิต และเจตสิกที่เกิดร่วมกัน จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้ง สิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่มีลักษณะของเจตสิกใดๆ ปรากฏ จิตเป็นปัณฑระ จิตคือธาตุรู้ล้วนๆ เลย เมื่อไม่กล่าวถึงเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย แต่ขณะใดก็ตามเจตสิกที่เป็นฝ่ายไม่ดีงาม คืออกุศลเกิดขึ้น เป็นปกติไหม
อ.อรรณพ ก็เป็นปกติ
ท่านอาจารย์ มีใครไปทำให้เกิดขึ้นหรือเปล่า
อ.อรรณพ ปกติที่ไม่ดี
ท่านอาจารย์ อยากทำให้เกิดขึ้นหรือไม่ ที่ไม่ดี ไม่ดี แต่ก็เกิดแล้ว เพราะมีปัจจัยที่จะให้เกิดขึ้น นี่คือปกติ ถ้าไม่มีจิต และเจตสิก จะมีศีลไหม ศีลก็ได้แก่จิต และเจตสิต ซึ่งเกิดขึ้นเป็นปกติ แล้วแต่ว่า จิตขณะนั้นเป็นอะไร ถ้าเป็นอกุศลก็เป็นอกุศลศีล ถ้าเป็นกุศลก็เป็นกุศลศีล ถ้าไม่ใช่ทั้งกุศล และอกุศล ก็เป็นอัพยากตศีล ก็เป็นเรื่องของจิต เจตสิก ว่าง่ายหรือยัง
อ.อรรณพ ประโยชน์ของการไปปฏิบัติ ไปสำนัก เขาบอกว่าอย่างน้อยก็ทำให้เบื้องต้นเขาดีขึ้น
ท่านอาจารย์ ดีอย่างไร
อ.อรรณพ ก็ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่อะไร ไม่กินเหล้า
ท่านอาจารย์ อยู่ที่บ้านไม่ต้องไป ก็ไม่ฆ่า ไม่ใช่หรือ เพราะว่ายาก ว่ายากนี่ไม่ไกลเลย ขณะไหนที่ไม่เข้าใจ และก็ฝืนที่จะให้ตรงข้ามกับความจริง ขณะนั้นว่ายาก ทั้งๆ ที่ฟังอย่างนี้ว่า ธรรมเป็นธรรม เป็นอนัตตา และก็ศีลคือปกติของจิต และเจตสิก ว่าง่ายหรือยัง เข้าใจหรือยัง ว่าเมื่อไรที่จิต เจตสิกเกิดขึ้น ก็คือความเป็นปกติที่จะเป็นกุศล หรือจะเป็นอกุศล หรือจะเป็นอัพยากต ไม่มีใครสามารถที่จะทำให้ผิดปกติเปลี่ยนแปลงได้เลย อกุศลก็ต้องเป็นอกุศล
อ.อรรณพ ถ้ามีปัญญาก็จะว่าง่าย จากการฟังพระธรรม
ท่านอาจารย์ ปัญญาคือความเห็นถูกต้อง ฟังแล้วเข้าใจถูกหรือไม่ ถ้าเห็นถูก เข้าใจถูก ก็คือไม่เรียกว่าปัญญา ก็คือปัญญา
อ.อรรณพ ว่าง่าย
ท่านอาจารย์ เป็นศีลหรือเปล่า
อ.อรรณพ เป็น
ท่านอาจารย์ ถ้าคิดว่าตัวเองไปมีศีลที่หนึ่งที่ใดมากเลย นอกจาก ๕ ข้อเป็น ๘ ข้อ หรืออาจจะ ๑๐ ข้อ หรืออะไรก็แล้วแต่ ว่ายากไหม เพราะไม่รู้อะไรเลย พระธรรมที่ทรงแสดงไว้โดยละเอียดยิ่ง ก็ไม่สนใจที่จะศึกษาให้เข้าใจ คิดเอง พูดเอง บอกใครๆ เอง ว่าเวลาไปแล้วมีศีลเพิ่มขึ้น เพราะไม่รู้จักศีล ศีลอะไรเพิ่มขึ้น อกุศลที่ประกอบด้วยความเห็นผิด จริงรึเปล่า จริงรึเปล่านี่คือคำตอบว่ายากหรือว่าง่าย ก็เพิ่มศีลพรตปรามาส คือการเข้าใจผิด คิดว่าสิ่งที่ไม่ถูก ถูก
อ.อรรณพ ความเป็นผู้ว่ายาก แล้วก็ธรรมที่ ทำให้ว่ายาก ในอนุมานสูตร มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ แสดงไว้ถึง ๑๖ ข้อ
ท่านอาจารย์ นี่คือประโยชน์ของการฟังธรรม คนที่คิดว่าอย่างนั้นถูก ก็คิดว่าถูก เพราะว่ามีความเห็นผิด การสนทนาธรรม จะทำให้เข้าใจว่า สิ่งใดถูกสิ่งใดผิด
อ.อรรณพ ยกตัวอย่างข้อแรก และข้อสุดท้าย ข้อแรกก็คือ เป็นผู้ที่มีโลภะจัด
ท่านอาจารย์ เป็นผู้ที่ต้องการจะรู้แจ้งอริยสัจจ์ โดยที่ว่าไม่มีปัญญา นั่นก็ว่ายาก
อ.อรรณพ นี่คือด้วยโลภะ แล้วข้อ ๑๖ เห็นชัดข้อสุดท้าย ผมสนทนาไม่ได้ทั้งหมด ข้อที่ ๑๖ ก็คือ ดูกรท่านผู้มีอายุ อีกประการหนึ่ง ภิกษุเป็นคนถือแต่ความเห็นของตน ดื้อรั้น ถอนได้ยากคือจะพูดอย่างไรก็ตาม ท่านก็ยังยึดในความเห็นของท่าน ว่าท่านต้องไปสำนัก
ท่านอาจารย์ แล้วรู้หรือไม่ว่า ไปแล้วจิตขณะนั้นเป็นอะไร
อ.อรรณพ เขาไม่ได้สนใจเลย
ท่านอาจารย์ ไม่ได้สนใจ ก็เป็นคนที่ว่ายาก
อ.อรรณพ บางคนอาจจะบอกไม่ฟัง เพราะว่าไม่ใช่เป็นคำของพระพุทธเจ้า เป็นคำพระสาวก
ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นอย่างนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะ จะฟังคำของท่านพระสารีบุตรหรือไม่
อ.อรรณพ นั่นสิ่ครับ
ท่านอาจารย์ ตอนที่ท่านยังไม่ได้เป็นพระโสดาบัน ท่านฟังใคร พระมหาโมคคัลลานะ ฟังคำของใคร จึงเป็นพระโสดาบัน ท่านพระสารีบุตรจะบอกว่าไม่ใช่พุทธพจน์หรือ แล้วไปสำนักปฏิบัติ รู้อะไร
อ.อรรณพ รู้แบบของเขา
ท่านอาจารย์ รู้อะไรหล่ะ แบบของเขา ก็คือว่าไม่ใช่แบบของพระสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้า
อ.อรรณพ รู้ว่าเป็นโอกาสที่จะได้มีศีลเพิ่มขึ้น จากศีล ๕ เป็นศีล ๘ แล้วก็ได้ฟังธรรม
ท่านอาจารย์ แล้วศีลธรรมดา ไม่ต้องไปที่นั่นก็มีได้ ไม่ใช่หรือ แล้วไปทำไม
อ.อรรณพ ไปเพราะเป็นผู้ที่มีความว่ายาก ประการที่ ๑๖
ท่านอาจารย์ จะอยู่ที่ไหน เห็นก็เป็นเห็น ไม่ว่าจะเรียกว่าสำนักปฏิบัติ หรือนอกสำนักปฏิบัติ หรือที่หนึ่งที่ใด เห็นก็เป็นเห็นทั้งหมด ตั้งแต่เกิดมา ก็เป็นเห็น เห็นเมื่อไรที่สามารถที่จะเริ่มเข้าใจถูกต้อง โดยการฟังพระธรรม ไตร่ตรองจริงๆ ว่า ทุกคำนำมาสู่การที่จะรู้ความจริง ของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ แต่เพราะเหตุว่าความจริงเดี๋ยวนี้ รู้ยากมาก เห็นกันมานาน ไม่ว่าจะอยู่ข้างนอกห้องนี้ หรืออยู่ในนี้ก็ตามแต่ เห็นก็ยังเป็นเห็น ก็ยังไม่รู้ กี่ครั้ง กี่คราก็ยังไม่รู้ แต่รู้ได้เมื่อไร ไม่ใช่เราพยายาม แต่เมื่อค่อยๆ เข้าใจมั่นคงขึ้น ว่ามีจริงๆ แต่ว่ากิเลสที่สะสมมามหาศาล ย่อมมีปัจจัยที่จะเกิดขึ้นมากมาย ไม่รู้ที่เห็นสักที ถูกต้องไหม
เพราะอะไรทำให้ไม่รู้เห็น ที่กำลังเห็น เพราะว่าสะสมความไม่รู้ และกิเลสมากมาย ประมาณไม่ได้เลย ถ้าจะเป็นวัตถุก็เกินกว่าจักรวาลที่จะบรรจุได้ นี่ก็แสดงให้เห็นว่า แล้วทันทีทันใดที่ได้ฟังอย่างนี้ และสามารถที่จะเห็นการเกิดดับของเห็นได้หรือ เมื่อรู้อย่างนี้ว่า ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม เมื่อปัญญาถึงเวลา ที่จะรู้ความจริง ใครก็ยับยั้งไม่ได้ ท่านพระสารีบุตรยับยั้งไม่ได้ ที่จะไม่ให้เมื่อฟังคำของท่านพระอัสสชิแล้ว ประจักษ์การเกิดขึ้น และดับไปของเห็น ซึ่งขณะนี้เป็นอย่างนั้น แต่รู้ไม่ได้ เพราะเหตุว่าปัญญาไม่พอ
เพราะฉะนั้นกว่าปัญญาจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น ละคลายอกุศลซึ่งสะสมมามาก คงไม่ลืมจิตเน่า จิตเหม็น จิตสกปรก จิตเป็นโรค สารพัดอย่างที่ไม่ดี มากมายมหาศาล แล้วก็เมื่อใดที่ปัญญาเกิดขึ้น เมื่อนั้นแหละที่จะค่อยๆ ละ และก็คลายการที่เคยยึดถือสภาพธรรม และมากมายอย่างนั้น แล้วเมื่อไรจะละ ก็ต้องเป็นผู้นั้นเอง ที่รู้ว่า เข้าใจไหม เข้าใจว่าปัญญารู้อะไร ปัญญารู้สิ่งที่มีจริงตามปกติ ถ้าไม่ใช่ปัญญา เป็นอะไรก็ไม่รู้ ที่หลงไว้เป็นปัญญา ไม่ได้เข้าใจความจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ จึงเริ่มเข้าใจคำที่ว่า ในบรรดาสิ่งที่เกิดขึ้น ปัญญาประเสริฐสุด แม้ว่าอกุศลที่สะสมมามาก แต่ปัญญาที่เริ่มค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพิ่มขึ้น ก็มีกำลังจนสามารถดับอกุศลได้
แต่ต้องเป็นผู้ที่ว่าง่าย ว่าไม่มีหนทางอื่น นอกจากความเข้าใจจากการฟัง กิเลสมาก เดี๋ยวก็คิดถึงเรื่องนั้น เดี๋ยวก็คิดถึงเรื่องนี้ ในขณะที่กำลังฟัง ฟังจบแล้วก็ยิ่งคิดถึงเรื่องอื่น ที่ตาเห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นลิ้มรสเรื่องราวต่างๆ มากมาย จึงอาศัยพระธรรม ๔๕ พรรษาทั้งหมด โดยประการทั้งปวง เพื่อค่อยๆ น้อมจิตมาสู่การที่จะรู้ว่า ความจริงก็คือว่า ขณะนี้ไม่มีอะไรเลย จากไม่มี แล้วมี แล้วก็ดับไป ไม่กลับมาอีก โลกว่างเปล่า เข้าใจว่ามีใครอยู่ที่นี่ ความจริงไม่มี มีแต่ธรรม ซึ่งเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป เเล้วก็ไม่กลับมาอีก นี่คือปัญญา ซึ่งถ้ายังไม่รู้จริงอย่างนี้ ไม่สามารถที่จะ ถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมเพียงหนึ่ง ทีละหนึ่ง จึงสามารถที่จะรู้จริง รู้ชัดได้ เพราะว่าขณะนี้สภาพธรรมเกิดดับ นับไม่ถ้วนจริงๆ อยู่ในความมืดหมด
พูดถึงผัสสเจตสิก เข้าใจใช่ไหม อยู่ไหนเวลานี้ อยู่ในความมืด ไม่ได้มีสติสัมปชัญญะ ที่จะถึงเฉพาะลักษณะของธรรม ที่กล่าวถึงทั้งหมด ที่เป็นปริยัติ แต่รู้ว่ามีแน่ๆ ชอบก็มี ไม่ชอบก็มี ริษยาก็มี มานะความสำคัญตนก็มี กุศลก็มี ฉันทะก็มี มีทุกอย่าง เเต่ไม่รู้จริงซักอย่าง เพราะว่าเกิดแล้วดับไป เร็วสุดที่จะประมาณได้ อาศัยความอดทน ซึ่งเป็นบารมี ขันติบารมี สัจจบารมี ความจริงใจต่อการที่จะเข้าใจสิ่งที่มี สิ่งที่ไม่มีจะไปรู้ได้อย่างไร แล้วจะไปรู้ทำไม แต่สิ่งนี้กำลังมี ใช่หรือไม่ เห็นก็กำลังเห็น คิดก็กำลังคิด หลังจากที่เห็น และรู้ว่าเป็นอะไรก็จริง ทั้งหมดเป็นธรรม ซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป นี่เป็นการที่จะฟังพระธรรม ด้วยความเป็นผู้ที่ว่าง่าย
อ.อรรณพ สรุปก็คือ พระศาสนาเสื่อม เพราะว่ายาก ที่คิดจะไปสำนัก