ทุ่มเทด้วยตัวตน


    ปัญญาจะอบรมเจริญขึ้นได้ ต้องด้วยความเข้าใจถูกในความไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เพียรด้วยความเป็นตัวตนที่เข้าใจผิด


    ท่านอาจารย์ การศึกษาทางโลกที่สำเร็จในชีวิตนี้ใช่ไหม แล้วก็กิเลสที่สะสมมานานแสนนาน ทุ่มเทอย่างไรจะสำเร็จในชีวิตนี้ คือการศึกษาธรรมแม้แต่คำพูด ก็ต้องพิจารณาว่า คำพูดนั้น ถูกผิดอย่างไร ไม่ใช่ฟังน่าเชื่อ ความเพียรต้องทุ่มเท เหมือนกันว่าต้องขยัน ใครก็สอนได้ แต่มีใครบอกว่าไม่ใช่เรา ละเอียดมากที่ทุกอย่าง ที่ปรากฏจะไม่ใช่เราได้ ต้องอาศัยกาลเวลานานเท่าไร ที่จะไม่ใช่เรา ที่ทำไปขณะนั้น ที่จะรู้ว่าไม่ใช่เรา ด้วยความเป็นเราไม่มีทางสำเร็จ จะได้ยินคำใดก็ตาม ขยัน ขยันทำชั่วก็มี ขยันทำดีก็มี แล้วจะให้ขยันอะไร แล้วชั่วหรือดี เกิดขึ้นได้อย่างไร ถ้าไม่มีปัญญา ความเห็นที่ถูกต้อง ซึ่งท่ามกลางกิเลสทั้งหมด เดี๋ยวนี้ กว่าจะค่อยๆ เจริญขึ้นทีละเล็กทีละน้อย จะทุ่มเทอย่างไร จะทุ่มเทด้วยความเป็นตัวตน ไม่มีทางสำเร็จแน่นอน เพราะเป็นความเห็นผิด ความเข้าใจผิด เพราะจะต้องละความเป็นตัวตน แล้วมีตัวตนไปทุ่มเท จะให้รู้ความไม่ใช่ตัวตน เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะเห็นผิดที่ตัว ที่ทุ่มเท ว่าเป็นเรา ที่กำลังทุ่มเทนั้นเป็นเรา แล้วจะไปสู่ความรู้ว่า ไม่ใช่เราได้อย่างไร

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ นี่คือฟังธรรม แม้เป็นคำที่ดูเหมือนจะถูก ชวนเชื่อ แต่ถ้าพิจารณาละเอียด ธรรมลึกซึ้ง เผินๆ ไม่ได้เลย ไม่ใช่หนทางแน่ ที่ความเป็นตัวตนจะทุ่มเท และความเป็นตัวตนที่มีมาก จะอาศัยค่อยๆ น้อยลงไปอย่างไร ฟังพระธรรม ฟังพระธรรมด้วยความเป็นเรา กับฟังพระธรรมด้วยความเข้าใจถูก ว่าเป็นธรรม ความเข้าใจสบายหรือไม่สบาย ไม่ต้องเดือดร้อนไปเห็นผิด พยายามด้วยความเป็นตัวตน ที่จะทำอย่างนั้น อย่างนี้ ซึ่งซ่อนอยู่ด้วยโลภะ และอวิชชา ไม่รู้เลย

    จะไม่มีใครเห็นผิดเลย ถ้าเขาเป็นผู้ที่ละเอียด เขาจะต้องไม่เห็นผิด แต่ถ้าไม่ละเอียดเผินๆ ปรากฏว่ามีคนที่ไม่เข้าใจธรรมมาก เพราะเขาไม่ละเอียด แม้แต่การฟังเพื่อละความเป็นเรา ฟังหมดเลย จิตเท่าไร เจตสิกเท่าไร รูปเท่าไร พระสูตรก็อ่าน พระไตรปิฎก พระวินัย พระอภิธรรม แล้วเข้าใจแค่ไหน ขณะนี้ที่เห็นเดี๋ยวนี้ จะทุ่มเทอย่างไร ไหนลองทุ่มเทให้รู้ว่า เห็นเป็นธรรม ที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยสิ ทุ่มเทอย่างไร เพราะว่าหนาแน่นเหลือเกิน กว่าจะค่อยๆ คลายลงไป ในขั้นฟัง จนกว่าจะถึงขั้นปฏิปัตติ ซึ่งไม่ได้แปลว่าทำ อย่างที่คนไทยคิด และจนกว่าจะถึงปฏิเวธ ทุ่มเทอย่างไร ทุ่มเทได้ไหม ถ้าได้ตัวตนใช่ไหม แล้วจะไปละความเป็นตัวตนได้อย่างไร นี่คือความลึกซึ้งของธรรมทั้งหมด

    ผู้ฟัง ก็มีตัวอย่างที่ยกมาว่า มีตัวอย่างหลายท่านในพระไตรปิฎก ที่จำนวนไม่น้อย ที่ทิ้งราชสมบัติ ทิ้งตำแหน่งอุปราช ทิ้งตำแหน่งเศรษฐี เพื่อที่จะบำเพ็ญเพียร นี่ยกขึ้นมาเป็นตัวอย่าง

    ท่านอาจารย์ แล้วคนพูดทุ่มเท สละหรือเปล่า พูดอย่างนี้ ทำอย่างนี้อย่างที่พูดหรือเปล่า

    ผู้ฟัง พูดขึ้นมาเฉยๆ

    ท่านอาจารย์ แล้วให้ใครทำ แล้วจะให้ใครทำ

    ผู้ฟัง ไม่มีทางเป็นไปได้

    ท่านอาจารย์ ก็ใช่ แล้วพูดทำไม นี่เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า ว่าให้ทุกคนทุ่มเท มีหรือไม่ ความเพียรไม่ใช่เรา ควรรู้ไหม ว่าไม่ใช่เราอกุศลเกิดก็ไม่ใช่เรา เพียรไปในทางอกุศล ด้วยความเป็นตัวตน ด้วยความอยากก็ไม่ใช่เรา หรือว่ากุศลจิตเกิด ทำความดีสารพัดทุกอย่าง ก็ไม่ใช่เรา ปัญหาไม่ใช่อยู่แค่ดี และชั่ว แต่ปัญหาอยู่ที่ความเข้าใจผิด ความเห็นผิด เพราะไม่รู้ความจริงของสภาพธรรม การที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรม ไม่ใช่ด้วยการไปคิด ไตร่ตรอง หรือทุ่มเท แต่ต้องเป็นการเข้าใจถูกต้องว่า ธรรมลึกซึ้งเพราะอะไร

    แม้พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ แสดงความจริงว่าทุกขณะเกิดขึ้น และดับไป ใครรู้ แล้วจะทุ่มเทอย่างไร ให้รู้กิเลสตั้งมากมายที่อยู่ในจิต เขาไม่รู้ว่ารักษาจิต ถ้าจิตยังไม่สะอาด ปลอดจากอกุศล ไม่สามารถจะรู้ความจริงของธรรมที่ปรากฏ เหมือนทุกวัน ไม่ได้ต่างจากทุกวันเลย แต่ทุกวันไม่รู้ ค่อยๆ รู้ขึ้น ค่อยๆ เข้าใจขึ้น กิเลสมากมายมหาศาล ไม่มีที่จะเก็บ เปรียบก็คือว่า ยิ่งกว่าจักรวาล แล้วปัญญาแค่ไหน ที่จะสามารถเห็นถูกต้องว่าไม่ใช่เรา

    ทุ่มเท ถ้าจะกล่าวถึงสภาพธรรม วิริยเจตสิกก็ได้ เป็นอกุศลก็ได้ มิฉะนั้นจะไม่มีมิจฉามรรค มิจฉามรรค เพราะขาดปัญญา มิจฉามรรคองค์ที่หนึ่ง คือมิจฉาทิฎฐิ จะทุ่มเทหรือไม่ มิจฉาวายามะ เพียรผิด เพียรทุ่มเทโดยไม่เข้าใจธรรม ขณะนี้แสนยากที่จะรู้ได้ ต้องอาศัยความเคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างยิ่ง ว่ามีพระมหากรุณาบำเพ็ญบารมี เพื่อให้คนอื่นเข้าใจ และเราจะมาเผินๆ ทุ่มเทกัน และที่ทรงบำเพ็ญเพียรมานานแสนนาน และเราเข้าใจผิด มีประโยชน์ไหม ในการที่จะไม่พูดตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ลึกซึ้ง ไม่น้อมพระทัย คิดดู แล้วก็จะทุ่มเทกันง่ายๆ มีตัวตนทุ่มเท เพื่อที่จะละความเป็นตัวตน ผิด ต้องปัญญาละอวิชชา ไม่ใช่อวิชชาเพิ่มอวิชชา แล้วบอกว่า อวิชชาละอวิชชา อวิชชาละอวิชชาไม่ได้ ต้องเป็นปกติจึงสามารถที่จะรู้การสะสม ซึ่งเป็นธรรม ไม่ใช่เรา แต่ถ้ามีความเป็นเรา เป็นตัวตน สะสมอะไรมา และก็ต่างคนก็ต่างชีวิตของแต่ละคน ขุชชุตตราอุบาสิกา ทุ่มเทอะไรหรือเปล่า ก็เป็นทาสี ใช่ไหม ไปซื้อดอกมะลิให้นายทุกวัน ยักยอกเงินซะด้วย แอบไม่ซื้อให้เต็มจำนวนเงิน แต่พอได้ฟังพระธรรม ทุ่มเทอะไร หรือว่าความเข้าใจที่ได้สะสมมาทุกชาติ ไม่ว่าจะเกิดเป็นใคร ชีวิตเป็นไปตามปกติของธรรม จึงรู้ว่าเป็นธรรม แต่ถ้าผิดปกติ ไม่รู้ความเป็นปกติของธรรม นั่นคือความเป็นเรา ทับถมเข้าไปอีก การฟังพระธรรมต้องรู้ว่า ธรรมละเอียด ลึกซึ้ง เป็นปกติ

    เป็นปกติเดี๋ยวนี้มีเห็น แล้วอย่างไรที่จะเข้าใจเห็นจริงๆ เห็นเกิดแล้วดับ ในขณะนั้นต้องไม่มีอย่างอื่นเลย ถ้าเป็นทุกสิ่งทุกอย่างเดี๋ยวนี้ เห็นจะเกิดแล้วดับได้อย่างไร ในเมื่อมีอย่างอื่นเกิดสืบต่อทันที ไม่มีระหว่างคั่นเลย การฟังพระธรรม ไม่ใช่ฟังแล้วก็คิดเอง แล้วก็เผิน แล้วก็ทำ แต่ต้องรู้ถึงความลึกซึ้งทุกคำ ฟังรู้ความลึกซึ้ง นั่นคือความถูกต้อง

    ผู้ฟัง ก็จะมีข้อโต้แย้งมาว่า ท่านเหล่านั้น ท่านทุ่มเทมาในชาติก่อนๆ

    ท่านอาจารย์ ทุ่มเทแบบไหน ลองอ่านชีวประวัติของท่านสิ ท่านพระอานนท์กว่าจะได้เงินมาครึ่งมาสก เอาไปฝังแอบไว้ที่ใต้กำแพง ท่านทุ่มเทตอนไหนที่เป็นบารมีของท่าน เป็นปกติหรือไม่ ได้ฟังธรรมไหม ค่อยๆ เข้าใจความเป็นจริงหรือเปล่า จะใช้คำว่าทุ่มเท หมายความว่าอย่างไร เป็นตัวตนทั้งหมด ที่ไม่เข้าใจ ธรรมไม่เผิน คำนี้เป็นการเคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ผู้ฟัง อย่างท่านอาจารย์ ไม่ทุ่มเทเลย แต่ว่าเมื่อคืนนี้ ๕ ทุ่ม ก็ยังไม่เลิก

    ท่านอาจารย์ เป็นปกติใช่ไหม เรามีโอกาสได้สนทนาธรรมกัน และพรุ่งนี้เราก็ไม่มีอีกแล้ว ที่จะได้มีความที่เป็นส่วนตัว แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่งที่สนทนากัน เพื่อประโยชน์อะไร เพื่อเข้าใจความละเอียด ความลึกซึ้งของธรรม เพื่อไม่เข้าใจผิด คิดว่าพระผู้มีพระภาคให้ทำอย่างนั้น ให้ทุ่มเท แม้แต่พระผู้มีพระภาคตรัส ต้องไม่ลืมคำว่า ทรงแสดงไว้ตั้งแต่เบื้องต้น ใช่ไหม ทุกอย่างเป็นธรรม ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปลี่ยนได้ไหม ตรัสแล้วไม่เป็นสอง คือเปลี่ยนเป็นอื่นไม่ได้เลย

    ธรรมเกิดก็เกิดจึงได้มี และเกิดแล้วก็ดับหายไปแล้วไม่ใช่อันเก่าแล้ว เป็นความจริง เพราะว่าเป็นวาจาสัจจะ พระองค์ก็มีชีวิตที่ทรงบำเพ็ญบารมี ที่จะถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งมีพระมหากรุณายิ่งกว่าใคร แม้ว่าตื่นตอนเช้า ตื่นบรรทมก็พิจารณาว่า ใครสมควรที่ฟังแล้วเข้าใจ ไม่ละเลยโอกาส แต่ไม่ใช่อย่างที่ชาวบ้านคิด ด้วยปัญญาที่เห็นประโยชน์ของเขา ประโยชน์จริงๆ ของคนอื่นทั้งนั้น ในขณะนั้นเป็นทั้งประโยชน์ตน และประโยชน์คนอื่น แต่ไม่ได้เพ่งเล็งที่ประโยชน์ตนว่า ฉันอยากได้ ฉันต้องทำอย่างนี้ ฉันต้องไม่ช่วยใคร เดี๋ยวคนอื่นจะมาทำให้ฉันวอกแวก ฉันอยู่ตัวคนเดียว หรืออะไรอย่างนี้ ฉัน ตัวใหญ่ อยู่ที่ไหน อยู่ข้างหลัง ไม่ได้อยู่ข้างหน้าให้เห็น แต่ว่านั่นแหละ คือธรรมที่ลึกซึ้งจริงๆ และต้องรู้ว่าทุ่มเทอย่างไร ที่จะเข้าใจเห็นเดี๋ยวนี้ ไม่มีทาง นอกจากค่อยๆ ฟังพิจารณา ไตร่ตรอง เห็นความลึกซึ้ง และก็ปัญญาก็ค่อยๆ อบรม คือเจริญขึ้นทีละเล็กทีละน้อย

    ทรงอุปมาว่าเหมือนจับด้ามมีด แล้วเห็นใหญ่กว่าด้ามมีดหรือไม่ ที่จะรู้ว่าหนา เหนียวแน่น มหึมา ที่จะหมดไปได้ ว่าไม่ใช่เรา ฟังวันนี้ทั้งวันก็ยังคงเป็นเรา พรุ่งนี้เพิ่มอีกไม่พอ เพราะสะสมมานานกว่านั้น คือแสนโกฏกัปป์ ที่จะไม่รู้ ความไม่รู้ และความติดข้องก็พาไปทุ่มเท แต่ไม่สามารถที่จะละ ความไม่รู้ และความไม่ประจักษ์แจ้งสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับ นอกจากปัญญาจะค่อยๆ เจริญขึ้น ด้วยความเป็นอนัตตา มีความมั่นคงในความเป็นอนัตตายิ่งขึ้น


    หมายเลข 10939
    13 เม.ย. 2567