เป็นตัวตนที่ปล่อยวางหรือเป็นปัญญา
เป็นตัวตนที่ปล่อยวางหรือเป็นปัญญาที่ไม่ใช่เราที่เข้าใจจึงปล่อยวาง
ท่านอาจารย์ เมื่อปัญญาเกิด ปัญญารู้ว่าความเห็นถูก ความเข้าใจถูกค่อยๆ ละคลายความไม่รู้ และความติดข้อง ในจิตที่สะสมมา จนกว่าจะค่อยๆ สะอาดขึ้น สะอาดขึ้น ละ ลด ความมืด จนกระทั่งสามารถที่จะเข้าถึงสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับในขณะนี้ได้ โดยความเป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา ก็สามารถที่จะมีความเข้าใจธรรมแต่ละคำ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ธรรมคือไม่ใช่เรา ไม่ต้องอยากก็เกิดแล้ว ใช่หรือไม่ ทุกวันๆ ไม่ต้องอยาก เกิดแล้วทั้งนั้น ไปนั่งอยาก นั่งคิด นั่งทำ ด้วยความเป็นเรา คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่กระจ่าง เพราะว่ากว่าพระองค์ที่จะได้ทรงตรัสรู้ ทรงบำเพ็ญมานานมาก เพราะว่าสิ่งที่มีจริงขณะนี้ รู้ความจริงของสิ่งนั้นได้แน่นอน แต่ไม่ใช่ด้วยอกุศลจิต ไม่ใช่ด้วยความเห็นแก่ตัว แต่ว่าต้องเป็นการที่มีความเข้าใจละเอียดอย่างยิ่ง จนกระทั่งทุกอย่างตั้งแต่เช้ามาจนถึงเดี๋ยวนี้ ไม่มีความสงสัย เพราะสติสัมปชัญญะ สัมปชัญญะคือปัญญา เกิด และเข้าใจสิ่งที่มีในขณะนั้น เพราะสิ่งนั้นเกิดแล้ว เวลานี้แข็งเกิดแล้ว ถ้าแข็งไม่มี ใครก็ไม่สามารถที่จะกระทบได้ แข็งต้องเกิดแล้ว และแข็งที่เกิดก็ดับด้วย เร็วสุดที่จะประมาณ เกินความคิดฝันของใคร เพราะเห็น ไม่ใช่แข็ง ได้ยินไม่ใช่แข็ง
เมื่อมีจริงแล้ว จะรู้ไม่ได้หรือ แล้วจะไปรู้สิ่งที่ไม่จริงหรือ และสิ่งที่ไม่จริงนั้นคืออะไร ไม่มีประโยชน์ใดๆ เลยทั้งสิ้น เพราะไปเข้าใจว่า นั่นคือการศึกษาธรรม นั่นคือการปฏิบัติธรรม แต่ความจริงไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น แต่ขณะที่กำลังฟัง และเข้าใจ ค่อยๆ ละความเป็นเรา แต่ค่อยๆ เข้าถึงสภาพธรรมที่ไม่ใช่เรา ทีละเล็กทีละน้อยมาก ภูเขาทั้งลูกสูงใหญ่มาก เอาเล็บไปขุดได้ไหม เมื่อไรจะหมด มหาสมุทรกว้างใหญ่ ถ้าแห้งเหือดหมด แล้วจะเติมให้เต็ม น้ำที่ละหยดคือปัญญา น้อยมาก ก็เป็นเรื่องของขันติบารมี เรื่องของวิริยบารมี เรื่องของสัจจบารมี เรื่องของอธิษฐานบารมี เรื่องของเนกขัมมบารมี ทั้งหมด บารมีทั้งหลาย แต่ละหนึ่งครั้งที่เกิดขึ้น เพื่อละความเป็นเรา ซึ่งเหนียวแน่นมาก ฟังธรรมเพื่อเข้าใจ และต่อจากนั้นก็เป็นหน้าที่ของปัญญา กว่าจะปล่อยวาง ก็เป็นเราปล่อยวาง ซึ่งความจริงไม่ได้ปล่อยวาง แม้แต่ แต่ละคำต้องเข้าใจ ว่าปล่อยวางไม่ใช่เรา
ทุกอย่างที่ตรัสเป็นสภาพธรรมทั้งหมด ที่มีจริง ซึ่งเกิดได้เมื่อมีปัจจัยเท่านั้น แม้แต่เห็นเกิดไม่ได้ ถ้าไม่มีปัจจัย ธรรมดาๆ อย่างนี้ ปัญญาไม่ใช่ธรรมดาอย่างนี้ แต่อวิชชาเป็นธรรมดาอย่างนี้ เกิดอยู่ตลอดเวลา แต่อวิชชาไม่สามารถจะเห็น ไม่สามารถจะรู้ได้ ว่านั้นคือความไม่รู้ ทั้งหมดจึงเป็นเราที่ต้องฟังพระธรรม มีพระธรรมเป็นที่พึ่ง และรู้ด้วยว่ามีพระธรรมเป็นที่พึ่งคืออะไร คือต้องฟังพระธรรมจนกระทั่งสามารถที่จะเข้าใจได้
ผู้ฟัง เราปล่อยวาง กับเป็นปล่อยวางจริงๆ ที่ปัญญา ความเข้าใจเขาทำกิจ ต่างกันอย่างไร
ท่านอาจารย์ นอนหลับ ปล่อยวาง ไม่เอาแล้ว เลิก ไม่ต้องไปพิจารณาต้องเข้าใจอะไร ก็ตัวตนนั่นแหละ เห็นความลึกซึ้งหรือไม่ หรือปล่อยวางจริงๆ ไม่ใช่เลย ปล่อยวางจริงๆ คือปกติ ปัญญาสามารถที่จะรู้ลักษณะของธรรมแต่ละหนึ่ง ด้วยความเป็นอนัตตา ขณะต่อไปอะไรจะเกิดขึ้นรู้หรือไม่
ผู้ฟัง ไม่ทราบ
ท่านอาจารย์ ขณะต่อไปสติสัมปชัญญะจะเกิดไหม ก็ไม่รู้อีก แต่สติเป็นสภาพที่ระลึก เมื่อมีความเข้าใจแล้ว จึงระลึกได้ ว่าแข็ง แข็งธรรมดาอย่างนี้ เกิดแล้ว ไม่ประจักษ์การดับ แต่แข็งนั้นยังเป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นนิ้วของเรา เป็นเท้าของเรา แต่ว่าแข็งเมื่อไร เป็นแข็ง ซึ่งแค่แข็งปรากฏ ปล่อยวางเป็นไปได้ไหม แต่ไม่ใช่เราปล่อยวาง ปัญญารู้ว่า ถ้ายังคงหวังสักนิดหน่อย แม้ที่นั่น เพียงแค่นิดเดียวที่จะรู้ลักษณะ นั่นก็ไม่ใช่ปล่อยวาง ไม่ใช่ปัญญาที่สามารถที่จะละกิเลสได้เลย ต้องอบรมเจริญปัญญาด้วยการที่ค่อยๆ เข้าใจ ไม่ต้องคิดว่า แล้วเราจะละเมื่อไร เราจะปล่อยว่างเมื่อไร เขาปล่อยวางกันได้ แต่เราปล่อยวางไม่ได้ หรืออะไรอย่างนี้ นั่นเป็นเรื่องเราทั้งหมด ตั้งแต่เกิดจนตายในชาตินี้ และในชาติก่อนๆ รวมด้วย คิดดู เห็นประโยชน์จริงๆ ว่า ปัญญาที่เริ่มเข้าใจธรรม แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น แม้ยังไม่ปล่อยวาง ยังมีความเป็นเราอยู่ แต่ความเข้าใจเพิ่มขึ้นต่างหาก ตัวปัญญาต่างหากที่ปล่อยวางได้ อย่างเดี๋ยวนี้ ปล่อยวางเห็นหรือยัง ไม่มีทาง อวิชชาเกิดก็ไม่รู้ ใครเขาบอกให้เราปล่อยวาง เราก็ทำไปเลย แต่ไม่ใช่ปัญญา
คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมดทุกคำ เป็นปัญญา นำมาซึ่งการที่จะเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นำมาซึ่งการที่จะได้เข้าใจในพระปัญญาคุณ เพราะว่าถ้าไม่เพราะพระปัญญาคุณ ไม่มีใครสามารถที่จะเข้าถึงความหมายของคำว่า ธรรมเป็นอนัตตา และปล่อยวางจริงๆ ไม่ใช่เรา เลิกคิดเรื่องปล่อยวาง แต่คิดก็ห้ามไม่ได้ จนกว่าปัญญาเท่านั้นจะเกิดขึ้นตรงต่อความจริงของสภาพธรรม ว่ายังไม่ถึงกาลที่จะเข้าใจในลักษณะปล่อยวาง จนกว่าปัญญาอบรมเจริญขึ้นตามลำดับขั้น ขั้นนี้เป็นขั้นไหน
ผู้ฟัง ขั้นฟังเข้าใจ
ท่านอาจารย์ ขั้นฟัง ขั้นฟังให้เข้าใจ ไม่ใช่ไปพยายามทำอะไรเลย ปริยัติ รอบรู้ในพระพุทธพจน์ แทงตลอดในพระพุทธพจน์ เช่นธรรมต้องเป็นธรรม ปัญญาต้องละ ไม่ใช่ปัญญาติดข้อง ติดข้องเมื่อไรก็เรา ไม่ใช่ปัญญา เป็นเรื่องที่ละเอียดมาก ที่จะรู้ว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นตามปกติ ปกตูปนิสสยปัจจัย คำนี้ถ้าพูดภาษาบาลี แต่ถ้าเป็นภาษาไทย ก็ชีวิตธรรมดาทุกอย่าง ต้องอาศัยปัจจัยเกิดขึ้นตามสมควร ตามปกติ ตามความเป็นจริง ของสภาพธรรมนั้นๆ
ธรรมไม่ใช่สำหรับท่อง แต่สำหรับเข้าใจสิ่งที่กำลังมี ถ้ามีสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ฟังแล้วเข้าใจว่า พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มี ทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มี ไม่ใช่ให้ไปจำ ไม่ใช่ให้ไปคิดว่า จะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่สิ่งนี้ทรงแสดงทุกคำ สูตรไหน พระวินัย พระอภิธรรม ก็คือให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมี ไม่ต้องไปคำนึงถึงอย่างอื่นเลย นอกจากมีคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ยิน ได้ฟังบ่อยๆ ที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง จนกว่าจะเข้าใจสิ่งที่มีจริงเมื่อไร นั่นก็คือปัญญาอีกระดับหนึ่ง บังคับบัญชาไม่ได้ ทั้งหมดเป็นเรื่องละ
อ.กุลวิไล สภาพธรรมที่เป็นการปล่อยวางในที่นี้ ก็คือขณะที่รู้สภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง
ท่านอาจารย์ จนถึงขั้นที่ไม่ใช่เรา เวลานี้อย่าไปคิดเรื่องปล่อยวาง ใครจะมาบอกให้ปล่อย ให้วาง เป็นไปไม่ได้เลย ถึงเข้าใจธรรมแล้ว ก็ยังปล่อยวางไม่ได้ จนกว่าปัญญาสามารถที่จะถึงการปล่อยวางเมื่อไร ขณะนั้นเท่านั้นเกิดแล้วโดยความเป็นอนัตตา ทั้งหมดต้องแสดงความเป็นอนัตตาให้มั่นคง ชัดเจนขึ้น จนสามารถที่จะละคลายความเป็นเรา จากเบื้องต้นทีละเล็กทีละน้อย ขั้นฟังเข้าใจ จนกระทั่งเข้าใจขึ้น แต่ก็เป็นเราอยู่เสมอ จนกว่าสติสัมปชัญญะอีกขั้นหนึ่ง เกิดเพราะความเข้าใจ อย่างแข็ง ปกติไม่เคยฟังธรรมเลย จะไปรู้แข็งทำไม แต่ว่าแข็งมีจริงหรือไม่ แข็งกำลังปรากฏแข็งเกิดแล้วดับหรือไม่ ขณะที่แข็งปรากฏ เราอยู่ไหน ไม่มีเลย ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ให้เข้าใจให้ถูกต้อง แต่ว่าต้องอดทน
เมื่อเข้าใจธรรมแล้ว ขาดบารมี ๑๐ ไม่ได้เลย เพราะว่าความติดข้องโลภะฉลาดมาก เก่งมากเป็นเตชะด้วย เพราะเหตุว่าอกุศลทั้งหลายที่มีกำลัง สามารถที่จะพาสัตว์ให้หลงไปในสังสารวัฎ แม้ว่าจะได้ฟังคำแล้ว แต่ความลึกซึ้งของความเข้าใจไม่พอ ได้ยินก็มีความเป็นตัวตน มีความเป็นเรา ชักพาให้หลงได้ไปเรื่อยๆ จนกว่าทางฝ่ายเตชะ ธรรมที่เป็นฝ่ายกุศล ที่สามารถจะทำลายเผาอกุศลได้ มิฉะนั้นอกุศลก็ยังมีกำลังอยู่ แม้ปล่อยวางไม่ใช่เราเลยขณะนั้นสามารถที่จะรู้ว่า ทันทีที่สภาพธรรมนั้นปรากฏให้เห็น ปล่อยวาง เพราะเหตุว่าเห็นแล้วตามความเป็นจริง