ธรรมส่วนหยาบและธรรมส่วนละเอียด
ความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับธรรมส่วนหยาบ และส่วนละเอียดก็คือ สิ่งที่มีที่ ปรากฎสามารถจะรู้ได้เป็นธรรมส่วนหยาบ ส่วนสิ่งไม่ปรากฏให้รู้ได้โดยง่าย เป็นธรรมส่วนละเอียด แต่ที่เป็นประโยชน์คือฟังเรื่องสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ เพื่อความเข้าใจธรรมตามความเป็นจริง
อ.อรรณพ ธรรมส่วนละเอียดเป็นอย่างไร
ท่านอาจารย์ ส่วนละเอียดมี แต่ไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้นที่ปรากฏ เป็นสวนหยาบๆ สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา หยาบพอที่จะปรากฏให้เห็นได้ ธาตุดินแข็ง หยาบปรากฏให้รู้ได้ ธาตุไฟ เย็นหรือร้อน ปรากฏให้รู้ได้ ธาตุลมตึงหรือไหวปรากฏให้รู้ได้ แต่ธาตุน้ำไม่ปรากฏ เป็นส่วนละเอียด เข้าใจว่า ผู้ที่ถามก็คงฟังบ้าง ไม่ใช่ฟังทั้งหมดตั้งแต่ต้น ถ้าฟังทั้งหมดก็จะรู้ได้ว่า ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร จะหยาบ จะละเอียดอย่างไร ก็ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนลักษณะของสภาพธรรมนั้นได้ แต่ควรที่จะได้เข้าใจถูกต้อง มิฉะนั้นก็จะมีความเข้าใจผิด แล้วสับสน ซึ่งจะทำให้สิ่งที่ได้รับให้ฟัง คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เช่นมหาภูตรูป ๔ รูปคือ สภาพธรรมที่มีจริง ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจก็รับรู้ต่ออย่างนี้เลย เพราะฉะนั้นการฟังธรรม ไม่ใช่เจาะจงเพียงคำถามเดียว อยากจะรู้ว่าส่วนละเอียดคืออะไร แต่ต้องฟังมาตั้งแต่ต้นเลย ว่าธรรมมี และก็ถึงแม้ว่ากำลังปรากฏ หยาบที่จะปรากฏก็ยังไม่รู้เลย เพราะฉะนั้นส่วนละเอียดคือธรรมที่ประณีต โดยนัยต่างๆ ยิ่งมากกว่านี้ ตามลำดับขั้น
เพราะฉะนั้นการฟังธรรม เพื่อมีความเข้าใจถูก ในสิ่งที่มีจริงๆ และกำลังมี ลืมไม่ได้เลย อย่าไปไขว่คว้าหาคำ หาเรื่อง ที่ไม่มีในขณะนั้น แต่ขณะนั้นมีอะไรที่ปรากฏ แล้วก็มีการได้ยิน ได้ฟังเรื่องใดที่ปรากฏ ก็กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงในขณะนั้น ที่สามารถที่จะรู้ได้ เพราะฉะนั้นค่อยๆ เข้าใจ สิ่งที่กำลังมี จากการที่ได้ฟังธรรม เพื่อวันหนึ่ง จะรู้จริงๆ ว่าไม่มีอะไร ทั้งๆ ที่มีอย่างนี้ วันหนึ่งก็จะรู้ว่าไม่มีอะไร เพราะก่อนมี ไม่มี มีนิดเดียว แล้วก็หมดไป แล้วไม่กลับมาอีก อยู่ที่ไหน ไม่มีอะไรเลย ที่ดับไปแล้วก็หมดแล้ว
อ.ธิดารัตน์ ความหยาบความละเอียด จะเข้าใจจริงๆ ได้อย่างไร
ท่านอาจารย์ ก็เป็นเรื่องราวที่ทำให้เข้าใจว่า ไม่ใช่เรา มีหลากหลายมาก และความลึกซึ้งนี้ก็ตามลำดับ ที่ทรงประจักษ์แจ้ง และทรงเทศนา เพราะฉะนั้นการฟังธรรม ฟังครั้งเดียวไม่พอ แม้แต่คำว่าหยาบ ละเอียด ที่กล่าวในตอนต้น เพียงแค่ว่าธรรมอะไรหยาบ ธรรมอะไรละเอียด ค่อยๆ ฟัง ธรรมที่ปรากฏให้รู้ได้ หยาบกว่าใช่ไหม ส่วนสภาพธรรมที่ไม่ปรากฏให้รู้ได้ ละเอียด แต่ถึงอย่างนั้น พระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้ตรัสอย่างที่ ไม่ถึงที่สุด แต่ถึงที่สุดว่า แม้จักขุปสาท รูปที่มีเดี๋ยวนี้ ที่กำลังกระทบกับสิ่งที่ปรากฏ เป็นปัจจัยให้จิตเห็นเกิดขึ้น รูปนั้นไม่ปรากฏ แต่ก็เป็นรูปหยาบ ฟังธรรมต้องฟังจริงๆ ด้วยความเข้าใจว่า ฟังเพื่ออะไร ไม่ใช่ฟังเพื่อตรงนี้ ค้านกับตรงนั้น แต่ฟังให้รู้ว่าความละเอียดลึกซึ้งของธรรม คำเดียวกล่าวไม่หมด แต่จะต้องมีความเข้าใจตามลำดับจริงๆ แม้แต่คำว่ารูป ส่วนใหญ่ที่ใช้กันถึงสภาวะรูปที่มีจริงๆ ก็คือหมายความถึง สิ่งที่มีแต่ไม่รู้อะไรได้ แต่ก็ยังมีคำอื่น ซึ่งใช้คำว่ารูป แต่ไม่ใช่สิ่งที่ไม่รู้อะไร เป็นสิ่งซึ่งเห็นได้ว่าการศึกษาพระธรรม ไม่ใช่มุ่งไปที่เราจะรู้ว่า คำนี้แปลว่าอะไร อยู่ที่ไหน ละเอียดอย่างไร แต่ว่าเดี๋ยวนี้ ไม่รู้อะไรเลยทั้งนั้น ทั้งๆ ที่กำลังปรากฏ ฟังเพื่อค่อยๆ เข้าใจถูก จนกว่าจะถึงการที่สามารถเข้าใจได้ ว่าเป็นธรรม ซึ่งไม่ใช่เรา อย่างเห็นขณะนี้ ได้ยินอยู่เสมอ เป็นธรรม ไม่ใช่เรา ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม ไม่ใช่เรา
ฟังเป็นความรู้เบื้องต้น ที่จะทำให้มีความเข้าใจขึ้น มั่นคงว่า ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นฟังอะไรแล้ว เกิดเป็นเราขึ้นมา ก็รู้ว่านั่นไม่ได้ฟังด้วยความถูกต้อง แต่ถ้าฟังแล้วมีการระลึกได้ เข้าใจถูกว่าเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ก็เป็นประโยชน์มากกว่าไปจำชื่อ ว่าอะไรละเอียดกว่าอะไร อยู่ทางไหน ปรากฏไม่ปรากฏ แต่ว่าไม่ได้รู้ความจริงขณะนี้เลย แม้แต่เพียงสิ่งที่ปรากฏ ซึ่งเห็นก็ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตา ทุกอย่างที่มีควรเข้าใจขึ้น เพื่อรู้ว่าไม่ใช่เรา จะโดยนัยการฟังพระสูตร พระวินัย พระอภิธรรม หลากหลายอย่างไร ก็เพื่อให้เข้าใจถูก แทนที่จะไปกังวลอยู่ว่า รูปไหนหยาบ รูปไหนละเอียด จะรู้ได้ทางไหน อะไรเป็นต้น เพียงแต่ว่าเริ่มค่อยๆ เข้าใจขึ้น ในสิ่งที่มี ที่กำลังปรากฏ แต่การฟังพระธรรมไม่ว่าจะทรงแสดงเรื่องความหยาบ ความละเอียดของสภาพธรรม ก็เพื่อให้มีความเข้าใจถูกต้องว่า ธรรมทั้งหมดไม่ใช่เรา
เพราะฉะนั้นดีกว่าฟังอย่างอื่น ใช่หรือไม่ เพราะว่าฟังอย่างอื่นไม่ทำให้คิดถึงสภาพที่กำลังมีจริงๆ แต่ฟังอย่างที่เรากำลังได้ยิน ได้ฟัง คือฟังเรื่องสิ่งที่มีจริง ทำให้เข้าใจว่า นี่เป็นธรรมแน่นอน ไม่ต้องไปหาที่ไหนเลย เพราะฉะนั้นเข้าใจธรรมก็คือ เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ
อ.อรรณพ เห็นสิ่งที่ไม่ใช่สิ่งที่เราคิด ว่าเรากำลังเห็นอยู่
ท่านอาจารย์ จะพูดอย่างไรก็ตาม ความหมายก็คือว่า เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น จะใช้คำอะไรก็ได้ แต่ว่าสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เคยเข้าใจ หรือเคยคิดว่าเห็นดอกไม้ เห็นโต๊ะ เห็นเก้าอี้ นั่นคือมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แล้วดับ ก่อนที่จะมีการปรากฏเป็นนิมิต รูปร่าง สัณฐานต่างๆ ต้องมีสิ่งที่เห็น เกิดดับสืบต่อมากมาย แล้วมีจิตอื่นคั่นอยู่ตลอดเวลา นี่คือความลึกซึ้งของพระธรรม ฟังพระธรรมไม่ใช่เพื่อที่จะให้เราไปทำอะไรต่างหาก จากการที่ฟังแล้วเข้าใจว่า สิ่งนี้มียังไม่รู้ แต่ก็สามารถที่จะรู้ได้ และถ้าไม่รู้ก็ต้องยังไม่รู้ และก็สามารถที่จะรู้ได้ แต่ไม่ใช่ด้วยความเป็นเรา
เพราะฉะนั้นด้วยความเข้าใจจริงๆ เท่านั้น ที่เกิดจากการฟัง และพิจารณาไตร่ตรอง และก็ได้ยินบ่อยๆ ด้วย ถ้าเราพูดถึงทางหู เราก็ลืมสิ่งที่ปรากฏทางตา แต่ว่าสิ่งที่ปรากฏทางตา ปรากฏทุกวัน แล้วก็ไม่รู้สักที ว่าแท้ที่จริงแล้วเป็นสิ่งซึ่ง มีชั่วขณะที่ปรากฏ ก่อนที่จะเป็นคนหนึ่งคนใดทั้งสิ้น แล้วก็ดับไป ฟังเพื่อให้รู้จักพระปัญญาคุณ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อจะได้มีความเคารพ ที่จะฟังว่าไม่ใช่ง่ายๆ ที่ใครคิดว่าสามารถที่จะดับกิเลสได้ โดยความไม่รู้ แต่ความเข้าใจ แม้แต่นิดหน่อยทีละเล็กทีละน้อย ก็กำลังสะสมปรุงแต่งเพื่อละ ต้องไม่ลืมว่า เพื่อละความไม่รู้ เพื่อละความติดข้อง เพื่อละความต้องการที่อยากจะรู้ ยิ่งฟัง ยิ่งรู้ว่าไม่รู้ แต่ฟังแล้วรู้ว่าไม่รู้นั้นถูกต้อง จะได้เข้าใจถูกต้องว่า กว่าจะรู้จริงๆ อย่างนี้ได้ ก็ต้องด้วยความเข้าใจจริงๆ แล้วอย่างไรถึงจะรู้ได้ เข้าใจ ฟังเดี๋ยวนี้ เข้าใจเดี๋ยวนี้ แม้ว่าสภาพธรรมยังไม่ได้ปรากฏอย่างที่เข้าใจ แต่ก็รู้ว่าฟังแล้วเข้าใจ แล้วก็มีสิ่งที่กำลังปรากฏ ค่อยๆ เข้าใจ โดยไม่ต้องไปทำอะไรเลย ฟังแล้วเข้าใจ ฟังแล้วเข้าใจ ฟังแล้วเข้าใจขึ้น วันหนึ่งก็สามารถที่จะรู้ว่า สิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏเท่านั้นเอง