สะสมบารมีทีละน้อย


    ความดีแม้เล็กน้อยในชีวิตประจำวัน ที่มีความเข้าใจธรรมเป็นปัจจัย ก็เป็นบารมี ที่จะค่อยๆ สะสมเพิ่มขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การดับกิเลสอกุศลต่อไป ไม่ใช่ความหวัง ความต้องการที่จะให้เป็นบารมี


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นบารมี ไม่ใช่หมายความว่า เราไปทำทานใหญ่ เราไปวิรัติทุจริตใหญ่ หรืออะไร แต่ตามความเป็นจริงก็คือว่า ชีวิตประจำวัน อกุศลมาก แล้วก็เป็นอย่างนี้โดยไม่รู้ตัวเลย แต่ว่าขณะใดก็ตาม ที่รู้ว่าถ้าขณะนั้นไม่เป็นอกุศล กุศลก็เกิด ถ้าไม่เป็นกุศล อกุศลก็เกิด บังคับบัญชาไม่ได้เลย ความดีแม้เล็กน้อยในชีวิตประจำวัน นั่นคือบารมี เห็นของคนอื่นตก ไม่ต้องเก็บให้เขาหรอก เดี๋ยวเขามาเก็บเอง เดี๋ยวเขาเสียนิสัย เดียวเขาเป็นอย่างงั้น เดี๋ยวเขาเป็นอย่างนี้ กุศลหรืออกุศล เพียงแค่เก็บมานิดนึง เปลี่ยนเดิมแล้วใช่ไหม เปลี่ยนจากเดิมแล้ว แค่หนึ่งขณะที่เป็นกุศล สะสมไว้ นั่นคือบารมี ต่างกันไหม ท่านพระราหุลกับคนอื่น มีผู้ที่กล่าวว่า ท่านพระราหุลเป็นผู้ที่กวาด และก็ทิ้งไม้กวาดไว้ ท่านไม่พูดสักคำ

    ไม่มีประโยชน์ก็ไม่พูด ใช่ไหม เพราะฉะนั้นก็จะพูดคำที่มีประโยชน์ แค่นี้ก็บารมี ไม่ว่าจะกาย หรือวาจา วาจาซึ่งเคยเสียงแข็ง คนอื่นฟัง ทำไมถึงต้องให้เขาไม่สบายใจด้วย แค่เสียงของคำที่เขาได้ยิน ที่พูดกับเขา เปลี่ยนเสีย มีความเมตตาแล้ว ขณะที่คิด มีความเป็นเพื่อนแล้ว มีการที่จะไม่พูด หรือใช้คำที่คนอื่นจะไม่สบายใจ ขณะนั้นบารมี

    เพราะฉะนั้นชีวิตประจำวันทุกขณะ ที่กำลังขัดเกลา เพราะมีปัญญา รู้ว่ากิเลสมาก กาย วาจาทั้งวันเป็นไปตามอกุศลทั้งนั้น กุศลด้วยความเป็นเราหรือว่ากุศลรู้ว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้นความดีก็มีตั้งหลายขั้นมากเลย กว่าจะค่อยๆ ชำระจิต แล้วอย่างนี้จะไปพูดเรื่องสติปัฎฐานอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นสิ่งซึ่งไม่ถูกต้อง อกุศลเกิดมาก ถ้ามีโอกาสได้ฟังพระธรรมได้เข้าใจ นิดเดียว แต่ว่าถ้าบ่อยๆ มากขึ้น เหมือนน้ำทีละหยด เมื่อเทียบกับมหาสมุทร ก็อดทนที่รู้ว่าวันหนึ่ง ความดีจะค่อยๆ เกิด มากขึ้นๆ แล้วก็สามารถที่จะค่อยๆ รู้ธรรมที่ได้ยิน ได้ฟัง โดยที่ว่า ฟังแล้วก็เป็นเราเห็น ก็แน่นอน ก็ต้องเป็นอย่างนี้เพราะว่าปัจจัยที่จะให้เข้าถึงลักษณะของเห็น ที่ไม่ใช่เรา ยังไม่ถึงเวลา เพราะเหตุว่าความเข้าใจไม่พอ ก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ข้าม ข้ามชีวิตปกติธรรมดาข้ามความเข้าใจว่า ธรรมก็คือว่าเข้าใจสิ่งที่มีจริงได้ โดยความเป็นอนัตตา ไม่ใช่เราสักอย่างเดียว เริ่มเห็นความต่างของขณะที่เป็นเรา กับขณะที่ไม่ใช่เรา

    อ.อรรณพ บุคคลไม่ควรดูหมิ่นบุญแม้เล็กน้อย ถ้าสิ่งนั้นเป็นบุญจริงๆ แต่ถ้าความอยากได้บุญ ที่คิดไปเอง ตอนอยาก เป็นโลภะ ไม่ได้เป็นบุญ แล้วคิดว่าเขาจะรีบไปทำบุญใหญ่ อย่างโน้น อย่างนี้ อย่างนั้น แต่สิ่งที่เป็นบุญจริงๆ ขณะนั้น เขาข้ามไป

    ท่านอาจารย์ นี่คือประโยชน์ ของทุกคำ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บางคนอาจจะพอใจที่จะศึกษาอภิธรรม เป็นเรื่องที่ไม่เคยฟังมาก่อน ละเอียดลึกซึ้งมาก ก่อนจิตเห็น ก็ยังมีจิตที่ไม่เห็น แต่รู้ว่ามีสิ่งที่กระทบ คิดดู แล้วเดี๋ยวนี้จิตนั้นอยู่ไหนก่อนเห็น แล้วเห็นหนึ่งขณะดับ แล้วก็มีจิตที่เกิดต่อ ไม่เห็น แต่รู้สิ่งที่จิตเห็น แล้วเห็น โดยมีวิตกเจตสิกเกิด จึงสามารถที่จะมีอารมณ์นั้นได้

    ทั้งหมดเราเรียนทำไม ไม่ใช่ว่าเราจะเก่ง เป็นพวกที่รอบรู้ แต่เรียนให้รู้ว่า ธรรมไม่มีใคร สามารถที่จะไปดลบันดาลอะไรได้เลยทั้งสิ้น เป็นเรื่องความละเอียด แล้วก็ความลึกซึ้งอย่างยิ่ง ซึ่งปัญญาเท่านั้นที่จะเห็น และปัญญาจะรู้เลย นำไปในกิจทั้งปวง กิจทั้งปวงที่นี่ก็คือ กิจที่เป็นกุศล ที่เป็นบารมี เพราะว่าจริงๆ แล้ว ยิ่งรู้ว่าอกุศลมากเท่าไร เกิดมาเพื่อที่จะขัดเกลากิเลส โดยการที่ว่า ถ้าไม่มีปัญญาก็ไม่สามารถที่จะขัดเกลาได้ และปัญญาเพียงเล็กน้อยก็ไม่สามารถที่จะละอกุศล ซึ่งมีกำลังที่จะเกิดบ่อยมากกว่า ด้วยเหตุนี้จึงเข้าใจคำว่าบารมี แม้เพียงเล็กน้อย นิดหน่อยก็สามารถที่จะลดปริมาณ จำนวนของอกุศล ซึ่งถ้ากุศลไม่เกิด ก็เป็นอกุศลแล้ว

    อ.อรรณพ แต่ว่าโลภะนี่เขาก็หลบไป หลบมา หลายเล่ห์ พอได้ยินอย่างงี้ก็มีความเป็นตัวตน ที่อาจจะคิดว่า ตั้งแต่นี้ไปถ้าใครเขาทำของตก เราต้องรีบเข้าไปเก็บ เพื่อเราจะได้ค่อยสะสม แล้วก็บุญจะได้มากขึ้น ก็หลอกไปได้อีก

    ท่านอาจารย์ จนกว่าปัญญาจะเห็นโลภะ


    หมายเลข 10950
    9 เม.ย. 2567