ความสำคัญของบารมี
บารมีคือกุศลต่างๆ แม้เล็กน้อย ที่มีปัญญาเป็นปัจจัย และบารมีต่างๆ ก็จะขัดเกลา กิเลสอกุศลที่มีอยู่มากมาย และเกื้อกูลให้ปัญญาเกิดเพิ่มขึ้นด้วย
ผู้ฟัง ความละเอียดของคำว่า บารมี และเหตุใด บารมีจึงมีความสำคัญมากในชีวิตประจำวัน
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏ รู้ยากไหม
ผู้ฟัง ยาก
ท่านอาจารย์ ยากแค่ไหน
ผู้ฟัง ยากมาก
ท่านอาจารย์ มากแค่ไหน ไม่มีใครสามารถจะกำหนดเวลาได้เลย เพราะอะไร ไม่รู้มานานเท่าไร และก็ต่อไปที่จะต้องอยู่ต่อไป ด้วยความไม่รู้อีกนานเท่าไร สังสารวัฏฏ์นับไม่ได้เลย นี่คือยากจริงๆ ยากที่สุด แล้วจะรู้ได้ไหม แค่นี้ มาแล้วบารมี คือความเห็นที่ถูกต้อง ว่าสิ่งนี้มีจริง และก็สามารถที่จะรู้ได้ไหม ถ้ารู้ไม่ได้ ไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีพระสาวกเลย แต่เพราะเหตุว่าสิ่งที่มีจริง รู้ไม่ได้หรือ ในเมื่อมีจริงก็ต้องสามารถที่จะเข้าใจถูกต้อง แต่ไม่ใช่ด้วยความเป็นตัวตนหรือเป็นเรา
เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรม เราไม่ต้องบำเพ็ญพระบารมีถึง ๔ อสงไขยแสนกัปป์ หลังจากที่ตั้งความปรารถนาหรืออะไรก็ตามแต่ แต่ว่าให้รู้ได้เลยว่า เพียงแค่ฟังคำของผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้แล้ว ในฐานะสาวกท่านพระสารีบุตร บำเพ็ญบารมีนานเท่าไร ไม่ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แสดงให้เห็นว่านี่แหละ คือความยากยิ่งของสิ่งที่เรากำลังฟัง เห็นพระปัญญาคุณ พระมหากรุณาคุณ ว่าถ้าไม่ได้ตรัสความจริงที่ได้ทรงตรัสรู้แล้ว ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้เลย
เพราะฉะนั้นการที่เห็นถูกต้อง ว่าสิ่งนี้ เป็นสิ่งที่มี และรู้ได้ แต่ต้องด้วยการเข้าใจ นั่นคือบารมีแล้ว ไม่ใช่ว่าเราคิดว่า ฟังแล้วเมื่อไรเราจะได้เป็นสักที ไปนั่งปฏิบัติอย่างนั้นอย่างนี้ นั่นจะเป็นบารมี ไม่มีเลย ไม่มีบารมีเลย มีแต่ความเห็นผิด แล้วจะได้ถึงการรู้สภาพธรรมได้อย่างไร ทำไมไม่คิดถึงความจริง อย่างที่คุณจรัญพูดเมื่อเช้านี้ ก็น่าประทับใจมาก ให้รู้ความจริงว่านานเท่าไรแล้ว ที่ถูกปกปิดไว้ด้วยความไม่รู้ แล้วก็จะถูกปกปิดไว้ตลอดไป เมื่อไม่ได้เข้าใจความจริง ของสิ่งที่กำลังมี ไม่ใช่ไม่มี มี แต่ไม่เข้าใจ
เพราะฉะนั้นฟังเพื่อเข้าใจ เป็นบารมี เพราะฉะนั้นเมื่อฟังเข้าใจรู้ว่า สิ่งนี้รู้ยากยิ่ง ขณะใดก็ตามที่กุศลจิตไม่เกิด ขณะนั้นเป็นอกุศล เพราะอะไร โลภะ ความติดข้อง ถ้าไม่มาก เราก็ไม่รู้ โทสะเพียงเล็กน้อย ถ้าไม่มาก ก็ไม่รู้ได้ ว่าแค่ขุ่นใจนิดเดียว แค่เห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจนิดเดียว ก็ไม่ชอบแล้ว มาจากไหน มาจากการไม่รู้ความจริง ทั้งหมดมาจากการไม่รู้
เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้เลยว่า เพราะไม่รู้จึงติดข้อง แล้วไม่สามารถที่จะพ้นจากความไม่รู้ได้ ถ้าไม่มีการฟังธรรมของสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจมั่นคงอย่างนี้ ว่าขณะใดก็ตามที่อกุศลเกิดมากๆ ทั้งวัน ก็ไม่มีทางหรอก ต่อให้ได้ยิน ได้ฟัง แล้วก็รู้ว่ายาก รู้ว่าลึกซึ้ง อีกนานกว่าจะรู้ ก็ไม่ได้มีหนทางที่จะทำให้สามารถรู้ได้ ถ้าจิตใจยังคงมากมายด้วยอกุศล เราสนุกทั้งวัน ลองคิดดูว่าวันนั้น ไม่ได้คิดถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้คิดถึงพระอริยสงฆ์ ที่ท่านศึกษาธรรม ฟังธรรมเลย เป็นอะไรก็ไม่รู้ทั้งวัน แล้วเมื่อไร แต่ไม่ใช่ไปฝืนที่จะไปพยายามด้วยความเป็นตัวตน แต่เพราะปัญญาเห็นว่า ประมาทไม่ได้
เพราะฉะนั้นทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า กิเลสเกิดเพราะเหตุปัจจัยกุศลก็เกิดเพราะเหตุปัจจัย ถ้าไม่มีปัจจัยของกุศล กุศลก็เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าเรามัวเพลิดเพลินก็คือว่า เราประมาทปัจจัย ที่จะทำให้กุศลเกิด เพราะฉะนั้นกุศลก็เกิดไม่ได้ เมื่อกุศลเกิดไม่ได้ ความเป็นอกุศลก็มากมายเพิ่มพูนขึ้น ยากแก่การที่จะรู้ความจริง เพราะฉะนั้นไม่ใช่เรา แต่ปัญญาที่เห็นถูกต้องตามความเป็นจริงว่า แม้กุศลก็ยังต้องอาศัยปัจจัย ก็จะทำให้เป็นผู้ที่ไม่ประมาทเลย ไม่ประมาทคืออะไร เมื่อเป็นโอกาสที่ความดีจะเกิด เกิดทันทีไม่รีรอ แม้เพียงเล็กน้อยสักแค่ไหน เพราะหนึ่งขณะก็มีค่าแล้ว เกลือหนึ่งเม็ด หนึ่งเกล็ดที่จะทำให้น้ำเค็ม ลงไปสู่แม่น้ำทำให้รสชาติเปลี่ยนไปได้ แต่ไม่มีเลย เพราะความประมาท
เพราะฉะนั้นเมื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ทุกสิ่งทุกอย่าง และต้องอาศัยปัจจัย กุศลแม้เล็กน้อยซึ่งไม่เคยเกิดมาก่อน ก็เกิด ก็เห็นหลายคน เดินไป ตอนนี้เจอกระดาษ ก็เก็บไปทิ้ง แต่ก่อนนี้อาจจะผ่านไปไม่ได้คิดถึงอะไรเลยทั้งสิ้น ใช่ไหม แต่ความที่เป็นผู้ละเอียดขึ้น เพราะรู้เหตุปัจจัยมากขึ้น และก็ไม่ประมาท ทั้งหมดนี้คือบารมี ไม่ว่าจะกล่าวถึงบารมีใดทั้งนั้น วิริยบารมี มีหรือไม่ ขณะนั้นมีแล้ว เพราะเหตุว่าไม่เคยคิดที่จะก้มลงไปเก็บของเอาไปทิ้ง ต้องดูก่อนว่าของใคร ใครทิ้ง ทิ้งเมื่อไร ทิ้งที่ไหน ให้เจ้าของมาเก็บ หรืออะไรอย่างนี้ ก็กลายเป็นนิสัยอย่างนั้นก็ค่อยๆ ลดลงใช่ไหม เพราะมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นว่า เป็นธรรมทั้งหมด และก็ไม่ใช่ใครเลย จริงๆ แล้วไม่มีใคร แต่มีธรรม ซึ่งเกิดขึ้นโดยที่ไม่มีใครไปทำได้เลย และห้ามไม่ให้เกิด ก็ไม่ได้
ฟังอย่างนี้แล้วรู้สึกก็น่าจะจบสิ้นการเกิดสักที เพราะไม่มีอะไรเลย เกิดมามี เพื่อไม่รู้ และติดข้อง และก็อยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ สุขบ้าง ทุกข์บ้างในสังสารวัฏฏ์ วนเวียนไปไม่รู้จบ ก็ยังเกิดอยู่ได้ และต้องเป็นอย่างนั้นด้วย ถ้าไม่มีปัญญาที่จะรู้ว่า สามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่มี และเมื่อมีความดีเพิ่มขึ้น การที่จะมีความเข้าใจธรรมก็ไม่ยาก เพราะเหตุว่าขณะนั้นไม่มีอะไรเป็นเครื่องขัดข้อง ไม่มีโลภะอยากรู้มากๆ ไม่มีโทสะ ไม่ชอบเรื่องนี้ อยากฟังเรื่องนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างหมด ไม่รู้เลยว่าทั้งหมดนั่นก็คือ สิ่งซึ่งล้วนแต่เป็นอกุศลที่กั้น ไม่ใช่บารมี แต่ถ้าเป็นบารมี และไม่มีการที่จะขัดข้องเลย โดยเฉพาะการทำประโยชน์ให้แก่คนอื่น จะมีได้ก็ต้องเป็นบารมี ไม่ใช่เพื่อตัวเอง อยากจะเก่ง อยากจะอะไร แต่เขาไม่รู้ และก็ช่วยให้เขาเข้าใจ ดีกว่าไหม ดีกว่าปล่อยเขาไปเลย ที่เราจะรู้คนเดียว พยายามทุกอย่างที่จะหมดกิเลส และคนอื่นอยู่ที่ไหนก็ช่าง อย่างนั้นไม่เข้าใจบารมี มีแต่ความเป็นตัวตน ซึ่งทำให้ยากแก่การที่จะละ เพราะขณะนั้นที่กำลังต้องการอย่างนั้นไม่ได้ละเลย โลภะขณะนั้นก็ไม่รู้ แล้วจะละโลภะได้อย่างไรด้วยความไม่รู้
เพราะฉะนั้นความดีทั้งหมด แต่ต้องประกอบด้วยปัญญา จึงจะเป็นบารมี เป็นศีล แต่ไม่มีปัญญา ก็ไม่ใช้บารมี ทานไม่มีปัญญา ก็ไม่ใช้บารมี ไม่อย่างนั้นทุกคนก็เป็นบารมีหมด แต่ไม่ใช่เลย ทำด้วยความเป็นตัวตนทั้งนั้น เพิ่มความเป็นตัวตน ซึ่งยากต่อการที่จะเข้าใจสภาพธรรม เพราะธรรมต้องเข้าใจถูกต้องว่าไม่ใช่เรา
ผู้ฟัง จะกล่าวได้ว่าบารมีนี้ ก็คือเป็นเครื่องขัดเกลาในชีวิตประจำวัน
ท่านอาจารย์ แน่นอน เพราะว่ากิเลสจะเอาอะไรขัด ถ้าไม่ใช่ความเข้าใจ ไม่มีทางเลย มีความเป็นตัวตน ไม่มีทางละกิเลส ทำความดีเพื่อตัวเอง ก็ไม่ได้ละกิเลส เราอยู่ที่นั่น แล้วจะเอาอะไรไปละเรา แต่เมื่อมีปัญญาแล้ว ก็จะรู้ได้ ว่าทั้งหมดนี้ เราไม่สามารถที่จะถึงการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ โดยมีอกุศลที่สะสมมามากมายมหาศาล และจะไปบอกว่าจะทำอย่างนี้ทุกอย่าง เพื่อที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ก็เป็นตัวตนที่เพิ่มเข้าไป โดยไม่รู้ว่านั่นแหละ ขัดขวาง ทำไปเถอะทุกชาติ ไม่มีทางที่จะรู้ความจริงได้ แต่ว่าถ้าเป็นคุณความดี เพราะรู้ว่าขณะใดก็ตาม ที่กุศลจิตไม่เกิด ขณะนั้นเป็นอกุศล กำลังไม่ชอบฟังเรื่องนี้ อกุศลแล้วใช่ไหม แต่ถ้าเห็นประโยชน์เพื่อคนอื่นด้วย ขณะนั้นเป็นกุศลเป็นบารมีแล้ว เป็นทานบารมี เป็นศีลบารมี เป็นวิริยบารมี เป็นขันติบารมี หลายๆ บารมี ไม่ใช่ว่าต้องไปแยกเป็นแต่ละบารมี