เป็นชาวพุทธจริงๆ หรือไม่ *
อ.กุลวิไล ในวันนี้ดิฉันก็มีประเด็นที่จะขอกราบเรียนท่านอาจารย์ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง ตามความเป็นจริงแล้วก็ทั้งหมดก็ต้องมาจากคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีในพระไตรปิฎก นั่นคือความเป็นชาวพุทธ กราบเรียนท่านอาจารย์ค่ะ
ท่านอาจารย์ อยากรู้จักชาวพุทธไหมคะ หรือว่ารู้จักแล้ว เป็นสิ่งซึ่งละเอียด เพราะไม่ใช่เราคิดว่า เราเป็นชาวพุทธ แต่ถ้ามีคนถามว่า ชาวพุทธรู้อะไร จะตอบว่าอย่างไร ทุกคนเป็นชาวพุทธแล้วใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นถ้ามีคนถาม ซึ่งเขาไม่รู้จักชาวพุทธ และเขาก็ถามว่า ชาวพุทธรู้อะไร คนที่เป็นชาวพุทธจะตอบว่าอย่างไร ทุกคนเป็นชาวพุทธ เพราะฉะนั้นต่างคนก็ต่างตอบได้ ตามที่เป็นว่า เป็นชาวพุทธรู้อะไร
แค่คำว่า ชาวพุทธ แค่คำว่า ชาวพุทธ ลึกซึ้งไหม เพราะเหตุว่าชาวพุทธคือใคร คือผู้ที่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง นี่ก็คือทั่วทั่วไป ใครๆ ก็ตอบอย่างนี้ ใช่ไหม ชาวพุทธคือผู้ที่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง แต่แค่คำว่า รัตนตรัย พอไหมที่จะตอบคนอื่นว่า ชาวพุทธมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ถ้าเขาถามต่อไปว่า พระรัตนตรัยคืออะไร ก็จะต้องตอบให้เขาเข้าใจได้ถูกต้อง ให้รู้จักจริงๆ ว่า ควรค่าแก่การที่จะนับถือ และเป็นชาวพุทธ มิฉะนั้นแล้วเป็นชาวพุทธโดยไม่รู้สิ่งที่ควรค่าแก่การที่ทำให้เป็นชาวพุทธ ก็ไม่ใช่ชาวพุทธที่แท้จริง
ด้วยเหตุนี้แต่ละคำลึกซึ้งมาก คำของใครที่จะได้ฟังและสนทนากัน ก็เป็นคำของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่คำของคนอื่นเลย ไม่ใช่คำของคนโน้น คำของคนนี้ เพราะเขาไม่ได้ตรัสรู้ เขาไม่ได้รู้ความจริง อย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพราะฉะนั้นคำที่เรามีโอกาสจะได้ฟังสืบๆ ต่อกันมา โดยที่เราไม่มีโอกาสได้เข้าเฝ้าฟังธรรมจากพระโอษฐ์ แต่ว่ามีโอกาสจะได้ยินคำ ซึ่งคนที่ได้เฝ้าฟังธรรมจากพระโอษฐ์ มีความเข้าใจสืบทอดมา จนกระทั่งถึงเรา จนกระทั่งสามารถที่จะกล่าวได้ว่า เราเป็นชาวพุทธ เพราะเราเข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเป็นชาวพุทธแต่ว่าไม่เข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ชาวพุทธ
เพราะฉะนั้นถ้ามีคำถามว่า ชาวพุทธรู้อะไร ตอบว่าอย่างไร หรือตอบว่าชาวพุทธไม่รู้อะไร จริงหรือไม่ ชาวพุทธไม่รู้อะไร พระรัตนตรัย พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นรัตนะสูงสุดในสากลจักรวาล ไม่ใช่เฉพาะในประเทศหนึ่ง ถิ่นฐานใด ที่พระองค์ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน แต่ไม่ว่าที่ไหนในโลก ในสากลจักรวาลทั้งหมด ไม่มีใครที่จะมีปัญญาเสมอด้วยพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้นไม่ใช่เพียงชื่อที่เราจำ แต่ต้องรู้ว่า พระอรหันต์คือใคร พระอรหันต์คือผู้ที่ไม่มีกิเลสเลย แล้วเราเป็นใคร ต่างกันมากมายหรือไม่ เราเป็นผู้ที่มีกิเลส เพราะไม่รู้อะไรที่จะดับกิเลส ไม่ใช่ว่าใครมาบอกเราให้ละ ไม่ให้มีกิเลส เป็นไปไม่ได้เลย เพราะเขาไม่รู้จักกิเลส เพราะฉะนั้นการที่จะจากผู้ที่เต็มไปด้วยกิเลสทั้งวันตลอดชีวิต เป็นผู้ที่ไม่มีกิเลสอีกต่อไป แต่ต้องดับกิเลสตามลำดับขั้น เพราะเหตุว่ากิเลสมีมากมาย ประมาณไม่ได้เลย คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อนันตะ ไม่สามารถที่จะกล่าวให้หมดได้เลย ฉันใด กิเลสของแต่ละคนที่สะสมมานานแสนนานในสังสารวัฏฏ์ก็อย่างนั้น แล้วก็จะดับให้หมดได้เลยทันที เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย
ด้วยเหตุนี้ชาวพุทธรู้คุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์เป็นผู้ที่ทรงดับกิเลส ไม่เหลือเลย ไม่มีกิเลสใดๆ เลยทั้งสิ้น เเล้วก็ตรัสรู้ธรรมที่จะทำให้ดับกิเลสด้วยพระองค์เอง ในพระชาติที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาแล้ว พร้อมที่จะได้รู้ความจริง ถึงความเป็นผู้ที่สูงสุดเหนือบุคคลใดทั้งสิ้น คือเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ด้วยตนเอง รู้เองนี่ยากหรือไม่ ไม่มีการฟังพระธรรม ไม่รู้แน่นอน ฟังคำของคนอื่นก็ไม่รู้ แต่ว่าฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละคำ ต้องฟังด้วยความเคารพอย่างยิ่ง เพราะเหตุว่าแต่ละคำลึกซึ้ง แต่เป็นประโยชน์ มีค่ามหาศาลนับไม่ได้เลย เพราะอะไร เพราะก่อนที่จะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น เกิดมาก็ไม่รู้ ต่างกันไปตั้งแต่เกิดแต่ละคน เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง สุขบ้าง ทุกข์บ้าง สิ้นชีวิตไปตั้งแต่อายุน้อยบ้าง มากบ้าง เหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตก็หลากหลาย ก็ไม่รู้อะไรทั้งสิ้น แต่จากคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่เคยไม่รู้มาทั้งหมด ค่อยๆ รู้ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งซึ่งถูกปิดบังมานานในสังสารวัฏฏ์ แสนโกฏกัปป์มาแล้ว ก็ค่อยๆ เปิดเผยให้เข้าใจถูกต้อง ค่อยๆ ละความไม่รู้ ละความติดข้อง จนกระทั่งสามารถที่จะดับกิเลสได้ เป็นสาวก คือแม้ว่าไม่มีบารมีที่จะถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะรู้ธรรมด้วยตัวเอง แต่ก็ยังเป็นผู้ฟัง ผู้มีโอกาสที่จะได้ยินได้ฟังคำของผู้ที่ได้ตรัสรู้ และก็ไตร่ตรอง จนกระทั่งเป็นปัญญาของตนเอง
เพราะฉะนั้นพระรัตนตรัยคือพระพุทธรัตน ได้แก่ พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรม ซึ่งสามารถที่จะนำไปสู่การดับกิเลส คนมีกิเลสกับคนไม่มีกิเลส หรือคนมีกิเลสน้อย ทุกคนก็ต้องรู้ความต่างใช่ไหม คนกิเลสมากเป็นอย่างไร พฤติกรรมทางกาย ทางวาจา เกิดจากใจ ซึ่งเต็มไปด้วยกิเลสมากเท่าไร การกระทำทางกาย วาจา ก็เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นถ้ากิเลสน้อยลง ความดีก็เพิ่มขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะค่อยๆ ดับกิเลสตามลำดับขั้น จนกระทั่งจากความเป็นพระโสดาบันบุคคล ดับความเห็นผิด ความสงสัยในสิ่งที่กำลังมี ที่กำลังปรากฏ ในโลก ในอะไรทุกอย่าง เพราะไม่รู้จึงสงสัย และจะไปเอาคำตอบมาได้อย่างไร ทั้งๆ ที่สิ่งนั้นก็มีตามความเป็นจริงว่า ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่ก็ไม่รู้ นี่ก็แสดงถึงความลึกซึ้งอย่างยิ่งของธรรม
ด้วยเหตุนี้ผู้ที่มีโอกาสได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็รู้ว่าธรรมรัตน คือสิ่งที่สามารถจะนำไปสู่การรู้ความจริง ซึ่งก็คือปัญญา เพราะฉะนั้นก่อนฟังธรรมมีปัญญาหรือเปล่า มีปัญญาตามสมุดพก หรือว่ารายงานของครูบาอาจารย์ ท่านผู้นี้มีปัญญามาก รู้นั่น รู้นี่ สอบได้ปริญญาตรี โท เอก หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ว่าไม่รู้อย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้
เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจจริงๆ ว่า ชีวิตที่เกิดมาต่อให้มีทุกสิ่งทุกอย่างครบถ้วน รูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ ชื่อเสียงเกียรติยศต่างๆ ก็ต้องจากโลกนี้ไป แต่ไปไหนก็ไม่รู้ เหมือนกับเดี๋ยวนี้ที่อยู่ตรงนี้ เกิดมาเป็นคนนี้ มาจากไหนก็ไม่รู้ และเวลาที่จะสิ้นสุดความเป็นคนนี้อีกไม่นาน เพราะเราไม่สามารถที่จะรู้ได้ล่วงหน้าเลย ว่าใครจะจากโลกนี้ไปเร็วหรือช้าแค่ไหน อาจจะเป็นวันนี้ พรุ่งนี้ ปีหน้า หรืออีกสิบปี ยี่สิบปีก็ได้ แต่อยู่ไม่ได้แน่ ต้องไป ต้องจากไป จากไปแล้วก็ลืมหมด ไม่มีใครสามารถจะจำได้ ไม่เหลืออะไรอีกเลย
เพราะฉะนั้นก่อนที่จะจากโลกนี้ไป ควรมีสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ที่ได้เกิดมาแล้ว ไม่ได้จากไปเปล่าๆ หรือจากไปด้วยการไม่รู้ความจริง สะสมความไม่รู้ สะสมกิเลสไปมากมาย ก็ค่อยๆ สามารถที่จะเห็นว่า สิ่งที่มีค่าสำหรับผู้ที่เกิดเป็นมนุษย์ สามารถได้ฟังคำที่จะทำให้เกิดปัญญา และรู้จักบุคคลที่ประเสริฐสุด คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แสดงหนทางที่จะทำให้กิเลส ซึ่งมีมากในใจของทุกคนลดน้อยลง จนกระทั่งสามารถที่จะดับได้ เมื่อไรรู้แจ้งความจริงถึงความเป็นผู้ที่ดับกิเลส เป็นพระอริยบุคคล เป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี จนถึงพระอรหันต์ดับกิเลสหมด ผู้นั้นเป็นรัตนะ ซึ่งเป็นสังฆรัตนะ
เพราะฉะนั้นพระรัตนตรัย คือพระพุทธรัตนะ ได้แก่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมรัตนะ ธรรมที่เป็นปัญญา ที่นำไปสู่การรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ดับกิเลสได้ ทำให้ผู้ที่รู้ความจริงนั้น เป็นผู้ที่เป็นรัตนะ เป็นหมู่คณะของผู้ที่ดับกิเลส เพราะฉะนั้นเราอยู่ในหมู่คณะของผู้ที่ไม่ได้ดับกิเลส แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้เข้าใจทีละเล็กทีละน้อย จะนำไปสู่สังฆรัตนะ คือในหมู่ของผู้ที่ประเสริฐ โดยการเป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้น ชาวพุทธรู้อะไร เริ่มคิดหรือยัง สำหรับชาวพุทธ รู้อะไร หรือยังไม่เคยมีใครถาม แต่ถ้าเขาถาม จะตอบได้ไหม ว่าชาวพุทธรู้อะไร ถ้าไม่ศึกษา ไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้ได้ไหม รู้ก็ไม่ใช่ชาวพุทธ เพราะไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้ารู้คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และก็เห็นประโยชน์จริงๆ ว่า ไม่มีใครคนใดสักคน ที่สามารถจะทำให้เกิดความรู้ ความเข้าใจนั้นได้ นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียว ที่ได้ทรงตรัสรู้และทรงแสดงพระธรรม ก็จะมีความนอบน้อมเคารพอย่างยิ่ง เป็นชาวพุทธที่เห็นคุณของพระรัตนตรัย ก็ตอบคนอื่นได้ ชาวพุทธคือผู้ที่รู้จักพระรัตนตรัย รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยการฟังคำของพระองค์ และก็อบรมเจริญปัญญา ที่จะรู้ตามพระองค์ด้วย แต่ถ้าไม่เป็นอย่างนี้ เป็นชาวพุทธหรือเปล่า