ให้สิ่งที่ดีที่สุด *


    ผู้ฟัง อันนี้เป็นคำถาม ที่ผมว่าคนส่วนใหญ่จะคิดอย่างนี้ คำถามมีว่า ถ้าคนที่มีความรู้ธรรม จะไปปฏิบัติธรรมที่สำนักปฏิบัติธรรม จะได้ไหมคะ

    ท่านอาจารย์ ถ้าคนที่มีความรู้ธรรม จะไม่ไปปฏิบัติธรรม

    ผู้ฟัง ข้อที่สองครับ คนส่วนใหญ่ทำบุญกุศล เช่นทำทาน สร้างพระ และอื่นๆ ที่เป็นกุศล เขาเข้าใจว่านั่นคือบุญกุศลที่เขาว่าดีที่สุดสำหรับเขาแล้ว และยังแนะนำให้คนอื่นๆ ไปปฏิบัติที่สำนักปฏิบัติอีก จะถามว่าคนที่แนะนำให้ทำแบบนี้เขาบาปไหมคะ

    อ.อรรณนพ ก็ต้องเข้าใจว่าบาปคืออะไรนะครับ บางคนก็ได้ยินคำว่าบาป ก็จะดูว่ารุนแรง ที่ต้องไปฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ นั่นก็บาปที่หนักๆ เพราะฉะนั้นบาปก็คือ อกุศล สิ่งที่ไม่ดีงาม สกปรก บุญก็เป็นสภาพที่ชำระจิตให้สะอาด เพราะฉะนั้นมีอยู่สองประเด็น ก็คือเขาคิดว่าการไปทำเช่นนั้นแล้วเป็นบุญ แต่เขาก็ไม่รู้จักบุญ แล้วเขาก็ไม่รู้จักบาป ถูกไหม เพราะถ้าเป็นบุญจริงๆ ต้องเป็นกุศล แต่ถ้าคิดไปเองว่าสิ่งนี้เป็นบุญ แต่ละคนคิดไปว่า อย่างนี้เป็นบุญ ตามความคิดของตนเอง ไม่ได้เป็นไปตามความเข้าใจ ตามพระธรรมคำสอน เอาเงินไปให้พระภิกษุ เขาบอกได้บุญเยอะ ได้บุญสองต่อ ต่อหนึ่งก็คือได้ให้กับพระภิกษุ ซึ่งอยู่ในเพศที่สูง ต่อที่สองภิกษุเอาไปทำประโยชน์ ภิกษุเอาไปช่วยเหลือสาธารณประโยชน์ต่างๆ

    เพราะฉะนั้นเขาก็เหมือนว่าทำบุญผ่านพระ เขาคิดว่านี้เป็นบุญ แต่จะเป็นบุญได้อย่างไรเล่า ในเมื่อเอาสิ่งที่ไม่ควรไปให้พระภิกษุ เป็นสิ่งที่ภิกษุไม่ สามารถจะรับได้ รับแล้วก็จะต้องเป็นอาบัติ แล้วก็จะต้องสละคืน ที่ว่าปลงอาบัติ ซึ่งถ้าไม่ได้ศึกษาก็ไม่เข้าใจกัน จะเห็นว่าเวลาที่มีสิ่งที่เขาเรียกว่า ไปวัดทำบุญหรืออะไรอย่างนี้ หรือมีพระภิกษุที่ดูว่าเชื่อถือ ทุกคนจะพยายามที่จะบริจาค มีเท่าไรให้เท่านั้นเลยติดตัว บางคนก็บอกว่ามีเท่านี้ ขอถวายท่านหมดเลย

    สิ่งที่ไม่ควร แล้วก็คิดว่าจะได้บุญ ได้บุญมากๆ ที่ว่าต่อไปถ้าไปเกิดแล้วก็จะได้ไปสวรรค์ จะมีที่อยู่ในสวรรค์อะไร ก็ยังคิดไปได้ถึงอย่างนั้น ก็คือความคิดว่าเป็นบุญ แต่การที่ไม่เข้าใจ แล้วไปทำเช่นนั้น จะเป็นบุญได้อย่างไร ก็ต้องเป็นบาป แล้วถ้าพระภิกษุนั้นเอาเงินไปช่วยเหลือสังคม คนก็รู้สึกปลื้มใจว่า ถวายเงินท่านด้วย แล้วท่านก็เอาไปช่วยเหลือสังคมด้วย ก็เลยดูว่าดี แต่ภิกษุก็อาบัติอีก รับเงินก็อาบัติ แล้วก็ไปทำสิ่งที่ไม่ใช่กิจของพระภิกษุ ก็อาบัติ

    เพราะฉะนั้นคนที่ไปสนับสนุนอย่างนั้นด้วยความไม่รู้ จะเป็นบุญได้อย่างไร เพราะฉะนั้นปัญญาจะเกื้อกูลให้สิ่งต่างๆ เป็นบุญ เป็นทาน และทานนั้นก็จะเป็นทานบารมี เพราะเป็นกุศลที่เป็นไปเพื่อสะสมที่จะดับกิเลส ประกอบกันไปที่จะดับกิเลส ถ้าเราไม่เข้าใจอย่างนี้ ก็อยากได้บุญ อยากได้บารมี ซึ่งตรงนี้เราคิดถึงความเป็นจริงว่า ถ้าไม่ศึกษาจะเป็นบุญได้อย่างไร

    สิ่งที่เป็นบุญ คือสิ่งที่เป็นกุศล แต่ถ้าไม่เข้าใจ ไปเอาสิ่งที่ไม่ควรไปให้ภิกษุ ภิกษุก็เอาสิ่งนั้นไปทำอะไรต่ออะไรต่อไปอีก ซึ่งไม่ใช่กิจของภิกษุเลย คฤหัสถ์เขาก็ทำกันอยู่ ก็เป็นคฤหัสถ์แล้วก็ทำประโยชน์ ไม่ต้องมีความเป็นบรรพชิต มากำกับไว้ สิกขาบทต่างๆ ใช่ไหม ก็ต้องเป็นอกุศล บาป บาปก็มีหลายขั้น แต่บาปที่น่ากลัวก็คือ การร่วมกันที่จะทำให้พระธรรมวินัยเสื่อมลง ทำลายพระธรรมวินัย ด้วยความไม่รู้ จะพูดอย่างไรก็ตาม ความอยากได้บุญมาก เขาจะไม่ฟัง เพราะเขาอยากจะได้บุญเยอะๆ เพราะฉะนั้นไม่เห็นความอยาก ความอยากนั้นก็เป็นอกุศล ใช้คำว่าบาป เพราะไม่ดีงาม สกปรก เพราะขณะนั้นอยาก เพราะฉะนั้นถ้าไม่ศึกษา บุญก็ไม่รู้จัก บาปก็ไม่รู้จัก มีแต่การอยากได้บุญ แต่ไม่เข้าใจก็บาป

    อ.วิชัย ขออนุญาตร่วมสนทนาด้วยนะครับ ขอย้อนไปข้อที่หนึ่ง ไม่ทราบว่าเข้าใจกันหมดทุกท่านหรือเปล่า ที่กล่าวว่า ถ้าบุคคลที่เข้าใจธรรมแล้ว จะไม่คิดไปปฏิบัติธรรมเลย ก็ต้องมีเหตุผล ใช่ไหม ไม่ใช่เพียงกล่าวแค่นี้ แล้วเราจะจำคำอย่างนี้ แล้วก็ทำตามอย่างนี้เลย นั่นไม่ใช่ เพราะเหตุว่าเป็นเรื่องของความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง

    เพราะธรรมทั้งหมดตั้งแต่สนทนาตั้งแต่แรก คือเป็นธรรมทั้งหมด เป็นอนัตตาทั้งหมด ดังนั้นลองพิจารณา ถ้าคิดจะไปปฏิบัติธรรม เป็นใคร เพราะเหตุว่าความรู้ ความเข้าใจธรรมต่างหาก ที่เกิดขึ้นทำกิจเข้าใจถูกในธรรมตามความเป็นจริง แล้วเมื่อไร ไม่ได้กำหนดสถานที่หนึ่งสถานที่ใดเลย ขณะที่ฟังอย่างนี้ แสดง เปิดเผยสิ่งที่มีจริง ตามพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วพิจารณาในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ว่าสภาพธรรมขณะนี้กำลังมีเกิดขึ้น เป็นแต่ละอย่างให้เกิดความเข้าใจถูก ขณะที่เข้าใจถูก ไม่ต้องไปไหนเลยใช่ไหม เพราะเหตุว่าปัญญาเกิดขึ้นทำกิจ รู้ตามความเป็นจริง แต่แน่นอน ปัญญาก็มีหลายระดับขั้น ดังนั้นผู้ที่มีความมั่นคงในความเป็นอนัตตา ก็เข้าใจถูกขณะที่คิดจะไป เข้าใจอะไร ปฏิบัติอะไร ในเมื่อการที่จะเกิดความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ต้องอาศัยการฟังพระธรรมต่างหาก และฟังที่ไหนก็แล้วแต่โอกาส ใช่ไหม ที่บ้านหรือว่าที่ไหนก็แล้วแต่ ที่มีโอกาสได้ยินได้ฟังพระธรรม ขณะนั้นก็มีธรรมฝ่ายดีงาม สามารถที่จะเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ รู้ตามความเป็นจริงได้

    ดังนั้นการกล่าวว่า ถ้าเข้าใจธรรมแล้วไม่คิดไปปฏิบัติ ก็ค่อยๆ เริ่มจะเห็นถูกต้องตามความเป็นจริง เพราะขณะที่คิดจะไป เป็นเราหรือเปล่า และไปปฏิบัติ ปฏิบัติอะไร การที่มีความรู้ ความเข้าใจถูกจากการได้ยินได้ฟังพระธรรมย่อมประเสริฐกว่าแน่นอน

    อ.คำปั่น ขออนุญาตต่ออีกนิดหนึ่งนะครับ ในประเด็นที่สอง ที่ว่า ชวนคนไปสำนักปฏิบัติ ก็เป็นเรื่องของความไม่รู้ความจริง เป็นเรื่องของความเห็นผิด เข้าใจคลาดเคลื่อน และก็เป็นความติดข้องต้องการด้วย ซึ่งก็เป็นธรรมที่เป็นอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไป และผู้ที่ถูกชักชวน แล้วก็มีการคล้อยตามความประพฤติอย่างนั้น มีการเข้าไปทำในสิ่งที่ไม่ตรงตามพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เป็นโทษทั้งหมดเลย ทั้งผู้ที่ชักชวน และผู้ที่ถูกชักชวนให้กระทำอย่างนั้น ก็ลองพิจารณาถึงว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า กว่าที่พระองค์จะได้ทรงตรัสรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง กว่าที่จะมีคำแต่ละคำ ที่จะอนุเคราะห์เกื้อกูลสัตว์โลก ก็ทรงอาศัยกาลเวลาที่ยาวนานทีเดียว แล้วก็พอได้ตรัสรู้แล้ว พระองค์ก็ประกาศพระศาสนา แสดงคำจริงเพื่อประโยชน์แก่ผู้ฟัง จะได้เข้าใจอย่างถูกต้อง ตรงตามความเป็นจริง

    แต่บุคคลคนนั้น ชวนให้บุคคลอื่นออกไปจากพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โทษจะมากสักแค่ไหน เป็นการปิดกั้น เป็นการปิดโอกาสของบุคคลนั้น ที่จะได้ฟังคำจริงของพระสัมมาส้มพุทธเจ้า แต่ก็ไม่ได้ฟัง เป็นโทษ เป็นโทษไม่ใช่เฉพาะในชาตินี้เท่านั้น ผู้นั้นยังสะสมความเห็นผิด สะสมความไม่รู้ สะสมความติดข้องต่อไปอีก เป็นโทษต่อๆ ไปอีก

    เพราะฉะนั้นข้อความจึงมีแสดงไว้ว่า ผู้ที่ชักชวนผู้อื่นในสิ่งที่ไม่ใช่ธรรมวินัย นี้คือบุคคลหนึ่ง แล้วก็อีกบุคคลหนึ่งก็คือผู้ที่ถูกชักชวนแล้ว ประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่ไม่ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง ทั้งสองบุคคล ประสบสิ่งที่มิใช่บุญเป็นอันมาก ก็คือสะสมแต่ความชั่ว สะสมแต่สิ่งที่ไม่ดีต่อไป ซึ่งก็เป็นโทษโดยส่วนเดียว

    อ.อรรณพ ขณะนี้กำลังเกิดสภาพการณ์อย่างนี้กันเยอะไหม เมื่อคิดเอง มีผู้คิดเอง แล้วก็มีผู้เชื่อตามคนที่คิดเอง ไม่ได้สนใจศึกษาพระธรรมวินัย ก็คิดว่าหนึ่ง การสนับสนุนให้พระภิกษุ ได้มีทรัพย์สินเงินทอง เป็นสิ่งที่จำเป็น ควร ก็ทำลายพระวินัย แล้วก็คิดว่า การที่จะปฏิบัติธรรมก็จะต้องไปจดไปจ้อง ต้องไปทำ ปฏิเสธการรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏในขณะนี้ โดยที่ไม่ได้ศึกษาพระธรรมวินัย ก็ทำลายพระธรรม ด้วยเรื่องของการสนับสนุน ทรัพย์สินเงินทองให้ภิกษุรับได้ และการทำลายหนทางปฏิบัติ ซึ่งก็เป็นบาป บาปที่ทำลายพระศาสนา ทั้งพระวินัย โดยเฉพาะเงินทอง แล้วก็พระธรรม โดยเฉพาะหนทางปฏิบัติที่ต้องไปทำ ไปสำนักปฏิบัติ

    ท่านอาจารย์ ก็ฟังเขาว่ามานานแล้ว ทีนี้ควรที่จะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ไปฟังเขาว่าอยู่เรื่อยๆ ก็ขอให้พิจารณา เรื่องมูลนิธิกับสำนักปฏิบัติ เพราะเหตุว่า มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ชื่อก็ชัดเจน พระพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่ควรศึกษาหรือเปล่า หรือว่าควรทอดทิ้งละเลย เมื่อศึกษาแล้วก็ควรที่จะให้คนอื่นได้รู้ความจริง ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง และได้ศึกษาแล้วโดยละเอียด เพราะว่าไม่ใช่คนเดียว แต่ว่าทุกคนที่สนใจที่จะเข้าใจความจริง ไม่สามารถที่จะหาความจริงได้จากที่อื่นเลย นอกจากพระไตรปิฎก ซึ่งเป็นคำสอนที่สืบทอดต่อมาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้นการศึกษาพระธรรม ให้เข้าใจถูกต้องชัดเจน มีประโยชน์หรือเปล่า หรือว่าเป็นโทษ เมื่อศึกษาแล้วก็ยังเผยแพร่สิ่งที่ได้ศึกษาแล้ว ให้คนอื่นได้รับ ได้พิจารณา ได้ไตร่ตรอง เพื่อประโยชน์ของเขา เพราะฉะนั้นผู้ที่ให้สิ่งที่ดีที่สุดคือความเห็นถูก ความเข้าใจถูกในความจริง เป็นมิตรที่ดีหรือเปล่า หรือว่าเป็นผู้ที่ทำร้ายคนอื่น ชักชวนคนอื่นให้หลงผิด

    เพราะฉะนั้นก็ควรที่จะได้เข้าใจ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ไม่ได้ทำอย่างอื่น ก็ศึกษาพระไตรปิฎก อรรถกถา เท่าที่สามารถจะกระทำได้ แล้วก็เผยแพร่ในทุกทาง ที่จะให้เป็นประโยชน์กับผู้ที่จะได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ฟังพระธรรม และได้เข้าใจถูกต้อง แต่สำนักปฏิบัติให้เข้าใจอะไรหรือเปล่า หรือว่าชื่อสำนักปฏิบัติ ก็ต้องปฏิบัติ แต่ว่าไม่ได้เข้าใจอะไรเลย

    อ.คำปั่น สำนักปฏิบัติ ไม่ได้ทำให้เข้าใจอะไรเลย แล้วก็เป็นการทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


    หมายเลข 10987
    13 เม.ย. 2568