006 พระพุทธศาสนาในประเทศไทย


    สนทนาพิเศษ

    เรื่อง พระพุทธศาสนาในประเทศไทย

    ที่ บ้านคุณทักษพล และคุณจริยา เจียมวิจิตร

    วันศุกร์ที่ ๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๐

    ตอนที่ ๖


    ท่านอาจารย์ ข้อสำคัญที่สุดก็คือ เขาไม่ทราบว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระคุณอย่างไร เพราะฉะนั้นการที่ทรงบัญญัติพระวินัยสำหรับภิกษุ เพื่อที่จะขัดเกลากิเลส ใครก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่า สิ่งที่พ้นจากการประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย เป็นโทษอย่างยิ่งสำหรับพระภิกษุ แสดงความต่างกันของภิกษุกับคฤหัสถ์ มิฉะนั้นจะไม่มีอะไรที่ต่างกันเลย

    คุณสุคิน ภิกษุที่ไม่ดี เทียบกับใครว่าไม่ดี อะไรไม่ดีกว่า

    อ.อรรณพ ต้องภิกษุ เพราะว่าไปปฏิญาณตน

    คุณสุคิน เพราะฉะนั้นไม่มีภิกษุเลยดีกว่า

    อ.อรรณพ ดีกว่ามีภิกษุที่จะทำลายพระธรรมวินัย คนที่จะเห็นด้วยต้องเป็นผู้ที่มีความมั่นคงในพระธรรมวินัยมาก

    ท่านอาจารย์ คนที่เห็นผิดเขาก็จะต้องการสิ่งที่ผิด

    อ.อรรณพ ถูกแล้ว เขาบอกว่าอย่างน้อย อย่าไปอะไรมากเลย ตอนนี้คนที่จะมาบวชก็น้อยลงแล้ว ถ้ามาเคร่งเครียดเข้มงวดทุกอย่าง ใครจะมาบวชกัน เพราะฉะนั้นก็หย่อนไปบ้าง ก็ยังดีกว่าไม่มี

    ท่านอาจารย์ ถ้าบวชโดยไม่เข้าใจพระธรรมวินัย ดีหรือไม่

    อ.อรรณพ แล้วแต่คนที่จะคิด ถ้าคนที่เข้าใจตามพระธรรมวินัย ต้องบอกว่าไม่ดีแน่นอน แต่ถ้าคนที่ไม่ได้เข้าใจธรรมวินัย แต่มองว่า พุทธศาสนาที่คุณสุคินบอกว่าหายาก เขาก็ไม่เห็นด้วย เพราะหาง่ายมาก วัดมีเท่าไร อาจารย์จักรกฤษณ์เคยนับไว้

    อ.จักรกฤษณ์ สามหมื่นกว่าวัด

    อ.อรรณพ สามหมื่นกว่าวัด มีวัด มีกิจกรรม มีอะไร มีการบวชภิกษุสามเณรอะไรมากมาย แล้วจะบอกพุทธศาสนาหายาก เขาก็ไม่เชื่อ เพราะเขาไม่เข้าใจพุทธศาสนาที่แท้จริงคืออะไร ใช่หรือไม่ ก็เช่นเดียวกัน

    ท่านอาจารย์ เพราะไม่รู้

    อ.อรรณพ เพราะไม่มีความรู้ ความเข้าใจอะไรจริงๆ

    อ.จักรกฤษณ์ ฟังคุณสุคินพูดถึงตอนนี้ที่ว่า ก็ยังดีกว่า แล้วก็ไปเทียบกับตอนปีห้าพัน

    อ.อรรณพ ประเด็นนี้ จะเรียนอาจารย์จักรกฤษณ์เลยว่า การที่อ้างว่าความเสื่อมลง ยังดีกว่าความเสื่อมที่มากกว่านี้ แล้วเพื่อจะให้ยอมรับความเสื่อมในขณะนี้ โดยอ้างว่าความเสื่อมในขณะนี้ ยังดีกว่าต่อไปจะเสื่อมอีก ถ้าไม่สามารถรับความเสื่อมในตอนนี้ได้ และจะไปรับความเสื่อมตอนนั้นได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ แต่ว่าความเสื่อมข้างหน้าจะมาจากไหน ถ้าไม่ใช่เพราะความเสื่อมเดี๋ยวนี้

    อ.อรรณพ เพราะฉะนั้นเพื่อความไม่ลบเลือนเสื่อมสูญของพระสัทธรรม อาจารย์จักรกฤษณ์เชิญอีกนิดหนึ่งเรื่องนี้

    อ.จักรกฤษณ์ ลองดูความเสื่อมในสมัยรัชกาลที่หนึ่ง

    อ.อรรณพ ดี เป็นตัวอย่าง

    อ.จักรกฤษณ์ ลองดูสักนิด เพราะว่าท่านออกกฏพระสงฆ์มาตอนนั้น มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องภิกษุ รวมทั้งสามเณรที่ประพฤติไม่ถูกต้อง นั่นก็เริ่มเสื่อม มาตั้งแต่สมัยนั้น แต่ว่ารัชกาลที่ ๑ ท่านมีความเข้าใจพระธรรมวินัยอย่างมาก ท่านถึงได้ออกเป็นกฏมา ที่จะดูแลคณะสงฆ์ให้เรียบร้อย ไม่ให้เกิดปัญหาขึ้น แล้วก็ในกฏพระสงฆ์ซึ่งเป็นกฏที่อยู่ในกฏหมายตราสามดวง เป็นประวัติศาสตร์หนึ่ง เพราะในนั้นจะอธิบายเหตุการณ์ต่างๆ เอาไว้ชัดเจนในเรื่องนี้ และก็ออกเป็นกฏ บังคับใช้ทำให้ถูกตามพระวินัย ซึ่งมีตอนหนึ่งตรงนี้ น่าจะดูว่า ย้อนหลังไปประมาณ เกือบ ๒๐๐ กว่าปีแล้ว ตอนนั้นในสมัยรัชกาลที่ ๑ มีอะไรบ้าง แล้วก็เทียบกับความเสื่อมตอนนี้ และจะต่อๆ ไป มันมีแต่เสื่อมลง ถ้าเราไม่คงไว้ซึ่งพระธรรมวินัย ก็จะเร็วขึ้นและก็เสื่อมไปมากขึ้น เพราะย้อนหลังไปก็เสื่อมอย่างนี้เลย

    ท่านได้กล่าวไว้ในกฏหมายว่า ทุกวันนี้ในสมัยนั้น เห็นฝ่ายพุทธจักรวางมือเสีย ก็คือฝ่ายคณะสงฆ์ ไม่ได้ดูแลให้เรียบร้อย ให้ภิกษุได้ประพฤติตามพระธรรมวินัยให้เรียบร้อย ท่านก็บอกว่าวางมือเสีย ประการหนึ่ง เข้าใจว่าศาสนาถึงเพียงนี้แล้ว หมายความว่าดูแลได้แค่นี้ ก็ไม่สนใจ ก็ปล่อยปละละเลยต่างๆ ฝ่ายพุทธจักรก็คือฝ่ายคณะสงฆ์ที่วัดดูแลได้แค่นี้ เห็นจะบำรุงให้วัฒนาขึ้นได้ คือดูแลได้แค่นี้ ไม่สามารถที่จะบำรุงให้ดีขึ้นได้แล้ว จึงมิได้ระวังระไว ว่ากล่าวกัน ก็ปล่อยปละละเลย ก็ดูเต็มที่แล้ว สุดความสามารถแล้ว ในสมัยนั้น ท่านก็บอกว่าทำให้เกิดมหาโจร ปล้นทำลายพระศาสนา เกิดมหาโจรปล้นทำลายพระศาสนา

    เราไม่ได้พูดขึ้นเอง มหาโจร นี้คือคำในกฏหมายที่รัชกาลที่ ๑ ท่านกล่าว บางคนก็จะบอกว่าคำนี้ไม่เห็นมี ในพระไตรปิฎกก็มีเห็น และในกฏหมายเก่าๆ กฏหมายโบราณนี้ก็มี เขียนว่าเกิดมหาโจรปล้นทำลายพระศาสนา ทั้งสมณะ แลสามเณรมิได้รักษาพระจตุปาริสุทธิศีล การที่สมณะ สามเณรไม่ได้รักษาพระวินัยก็คือ โจรปล้นทำลายพระศาสนา ก็ขีดเส้นใต้ คือท่านว่าไม่ได้ทำลาย ไม่ได้ปล้น ก็ต้องอธิบายความเป็นมาของกฏหมาย แล้วก็เหตุผลกฏหมาย ที่ท่านกล่าวมานี้ให้ได้ เพราะท่านระบุไว้ชัดเจน ไม่ร่ำเรียนธุระสองประการ ก็มีคันถธุระและวิปัสสนาธุระ ที่เป็นกิจสองประเภทของสงฆ์ ที่เป็นหน้าที่เท่านั้น ไม่มีกิจอย่างอื่น ชวนกันเที่ยวเข้าร้านดูสีกา นี่มีมาตั้งแต่สมัยสมัยนู้นแล้ว มีอาการกิริยานุ่งห่มเดินเหินกระด้างอย่างฆราวาส มิได้สำรวมรักษาอินทรีย์ มิเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาแก่ทายก และเที่ยวดูโขนหนังละครฟ้อนคลับ และเล่นหมากรุกสกาพนันทั้งปวง คบคิดกันกับคฤหัสถ์ชายหญิงเล่นเบี้ย

    เหตุการณ์มันเกิดขึ้นมา ย้อนไปนานมาก ก็ปล่อยปละละเลยอย่างนี้ ท่านจึงได้ออกกฎหมายมาบังคับให้คณะสงฆ์ช่วยกันดูแล อย่าให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ขึ้นมา เพราะว่า สิ่งเหล่านี้เป็นการทำลายพระศาสนา เพราะท่านเข้าใจว่า พระศาสนานั้นมีความสำคัญมาก และการทำเช่นนี้ คือการทำลายพระศาสนา จึงจำเป็นที่จะต้องออกกฏมาบังคับให้ถูกต้อง ซึ่งอันนี้เสื่อมมาตั้งแต่สมัยสองร้อยกว่าปีนั้นแล้ว ถ้าท่านไม่ออกกฏเหล่านี้มา ป่านนี้คงจะไม่ต้องพูดแล้วว่า ในคณะสงฆ์เราจะเกิดความปั่นป่วน หรือเกิดปัญหาอะไร มากมาย นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ทำให้เห็นว่าจำเป็น

    อ.อรรณพ แต่เดี๋ยวนี้กาละเล่นอะไร เขาไปจัดกันในวัดเลย ถ้าเป็นสมัยรัชกาลที่ ๑ คงจะต้องถูกลงโทษแล้วตามกฏหมายตราสามดวง

    อ.จักรกฤษณ์ ใช่ คงจะต้องถูกลงโทษหลายประการ

    อ.อรรณพ นี้แค่กฏหมายที่ได้บัญญัติจากพระมหากษัตริย์ อันเป็นประมุข ถ้าไม่ดูแลให้สอดคล้องให้รักษาพระธรรมวินัย เพราะฉะนั้นประเด็นนี้ผมว่าจริงๆ ถ้าผู้ที่มีเหตุมีผล ก็ควรจะเข้าใจได้ว่า ถ้าจะอ้างว่าตอนนี้เสื่อมไปยังดีกว่าที่เสื่อมมากๆ ต่อไป เพื่อจะให้ยอมรับความเสื่อมตอนนี้เสีย อย่างที่ท่านอาจารย์กล่าวคือว่า ที่ในอนาคตจะเสื่อมถึงขั้นนั้น ก็เพราะว่าการเสื่อมที่มากขึ้นมากๆ ๆ นี่เอง ผมก็เลยคิดเอาในขณะที่คุยกันว่า เหมือนเรือสักลำ ที่อยู่ในน้ำ พอมีรอยรั่วคนอยู่ในเรือนั้นก็หลายความคิด คนหนึ่งก็เจาะให้น้ำเข้ามา แล้วบอกว่าไม่ต้องกลัวหรอก เพราะว่าตอนนี้ยังดีกว่าตอนที่เรือจะรั่วมากกว่านี้ ยังดีกว่าตอนที่เรือจะจม ส่วนคนที่เห็นประโยชน์ก็อุดรอยรั่วๆ โดยที่พยายามกล่าวพระธรรมวินัย เพื่อรักษาความถูกต้องเอาไว้

    ท่านอาจารย์ครับ อย่างนี้ก็สุดแล้วแต่ว่าใครจะเจาะ ใครจะอุด คือใครจะทำลายพระธรรมวินัย ใครจะกล่าวแสดงเพื่อรักษาพระธรรมวินัยไว้ ก็เป็นความเป็นไป ว่าอะไรจะมากจะน้อยกว่ากัน

    ท่านอาจารย์ แต่ผู้ที่เห็นประโยชน์ ก็ไม่หยุดที่จะกล่าวถึงพระธรรมวินัยที่ถูกต้อง เพื่อค่อยๆ พยุงคนที่สามารถที่จะเข้าใจได้ ให้มีความเข้าใจที่มั่นคงขึ้น

    อ.อรรณพ หรือใช้คำว่า เพื่อคนที่สะสมมา ก็มีแนวร่วมของความดีที่จะช่วยกัน อีกประเด็นหนึ่งก็ใกล้ต่อเนื่องกัน ในเรื่องของพระวินัย ผมก็ได้ยินมา มีผู้กล่าวว่า สิกขาบทก็มีตั้งแต่หนักจนถึงเบาๆ ทุกกฏ ทุพภาษิต แต่ทุกกฏยังไม่ใช่อาบัติหนักอะไรมากมาย เพราะฉะนั้นการที่เราจะล่วงสิกขาบทเล็กน้อยไปบ้าง แล้วก็เพื่อไปทำสิ่งที่เขาคิดว่าเป็นประโยชน์กว่า

    ท่านอาจารย์ ขอโทษนิดนะคะ สำหรับคนที่ไม่เข้าใจ ก็เข้าใจว่าอาบัติทุกกฏ เป็นอาบัติเล็กน้อย เบา แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเห็นโทษ จึงทรงบัญญัติ ต่างกันแล้ว ใช่หรือไม่ สำหรับเราคิดว่าเล็กๆ น้อยๆ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติ เพราะเห็นโทษ

    อ.อรรณพ ท่านอาจารย์ครับ ผมก็จะขออนุญาต เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ผมคิดว่า ประชาชนถ้าไม่ได้ศึกษาข้อธรรมวินัยละเอียด แล้วไม่รู้ความต่างของเพศบรรพชิต กับเพศคฤหัสถ์จริงๆ เขาจะต้องไม่เข้าใจอยู่ดี ยกตัวอย่างเช่น การที่ภิกษุไปหุงต้ม ก็เป็นอาบัติ ใช่หรือไม่ เป็นอาบัติทุกกฏ ทุกกฏคืออะไร

    อ.วิชัย ก็หมายถึงว่า เป็นการประพฤติชั่ว หรือเป็นความประพฤติไม่เหมาะสม ไม่สมควรแก่เพศสมณะหรือว่าเป็นพระภิกษุ ดังนั้นเมื่อมีความประพฤติอย่างนี้ พระองค์รู้ตามความเป็นจริงว่า ความประพฤตินั้นเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม ไม่สมควรแก่ความเป็นบรรพชิต ก็เลยมีพระบัญญัติอย่างนั้นขึ้นมา เพื่อให้รู้ว่า สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ไม่สมควร ดังนั้นอย่างที่คุณสุคินกล่าวถึง ในช่วงแรกว่า การศึกษาพระวินัย เพื่อจะเห็นว่าความประพฤติเป็นไปในชีวิตประจำวัน เกิดจากจิตที่เป็นประเภทไหน ถ้าเป็นประเภทอกุศลจิต แน่นอนก็เป็นความประพฤติที่ไม่เหมาะสม ที่ไม่สมควรออกมา

    อ.อรรณพ นั่นใช่ แต่ถ้าสมมติว่า ผมเป็นพระภิกษุ แล้วผมเห็นคนที่กำลังลำบากเดือดร้อน ชาวบ้านลำบาก เขาขาดอาหาร ผมก็ด้วยจิตเมตตา ด้วยจิตที่จะอนุเคราะห์เขา มีความกรุณา แล้วก็ช่วยปรุงอาหาร เพื่อประกอบอาหาร แล้วก็เอาไปช่วยคนลำบากตกยาก จิตขณะที่ปรุงอาหาร ก็เป็นจิตที่กรุณา ที่จะช่วยเหลือสงเคราะห์คน ไม่ใช่หรือ และยอมรับว่าเป็นอาบัติทุกกฏ และเป็นอาบัติเล็กน้อย ยอม เดี๋ยวก็ค่อยปลงอาบัติ เพื่อจะได้ทำประโยชน์ที่ใหญ่ คือได้ช่วยคนก่อน อาบัติอย่างนี้เล็กน้อย เดี๋ยวก็ค่อยมาปลง เพราะฉะนั้นจิตที่ทำ ปรุงอาหารเพื่อช่วยคน เขาก็บอกเป็นกุศลช่วยคน

    อ.วิชัย ต้องเข้าใจว่า การล่วงสิกขาบท แม้เป็นความประพฤติที่ไม่สมควร ก็คือมีโทษเป็นอาบัติได้ ไม่ใช่เฉพาะอกุศลจิตอย่างเดียว แต่ความประพฤติใดก็ตามที่ไม่เหมาะสม ที่ไม่สมควรแก่ความเป็นบรรพชิต ก็ต้องเป็นเหตุให้ล่วงสิกขาบทเหมือนกัน อย่างเช่นเรื่องของการสงเคราะห์คฤหัสถ์

    ขอกล่าวในพระสูติหนึ่งก็คือ ในสิงคาลกสูตร ซึ่งพระองค์ตรัสถึงกุลบุตรเมื่อบำรุงสมณพราหมณ์แล้ว เรื่องของการตั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมที่ประกอบด้วยเมตตา แล้วก็การให้อามิสแก่สมณพราหมณ์ และสมณพราหมณ์เมื่อได้การบำรุงจากกุลบุตรแล้ว ก็อนุเคราะห์กุลบุตรด้วย ๖ ประการด้วยกัน หนึ่ง ให้เว้นจากความชั่ว นี่คือประโยชน์ของความเป็นพระภิกษุ ที่จะกล่าวชี้แจงว่า สิ่งใดที่เป็นโทษ สิ่งใดเป็นอกุศลธรรม ก็ควรเว้นจากสิ่งนั้น เพื่อชี้แจงว่าสิ่งนั้นมีโทษจริงๆ เป็นอกุศลธรรมจริงๆ เมื่อบุคคลนั้นเข้าใจ ก็มีการที่จะเห็นประโยชน์ของการที่จะเว้นอกุศลธรรมประเภทนั้นๆ สอง ให้ตั้งอยู่ในความดี ความดีโดยประการต่างๆ เมื่อพระภิกษุมีความรู้ความเข้าใจแล้ว ก็ชี้แจงเปิดเผยให้บุคคล ได้รู้ว่าความดีเป็นอย่างไร สาม อนุเคราะห์เกื้อกูลด้วยจิตอันงาม พระภิกษุหรือสมณพราหมณ์ก็มีจิตเมตตาที่จะอนุเคราะห์บุคคลที่มีศรัทธา มีความเลื่อมใส แล้วก็ให้ฟังในสิ่งที่ยังไม่ได้ฟัง นี้สำคัญมากเลย นี่คือเป็นกิจของพระภิกษุ เพราะภิกษุเมื่อบวชเข้ามาในธรรมวินัยแล้ว เป็นผู้ที่ศึกษาพระธรรมวินัย แล้วก็ประพฤติตาม คือคันถธุระและวิปัสสนาธุระ เมื่อให้ฟังในสิ่งที่ยังไม่เคยฟังแล้ว เมื่อฟังแล้ว สิ่งใดที่ยังมีความสงสัย ยังไม่เข้าใจ ก็ชี้แจงเปิดเผย ขยายความให้เกิดความรู้ ความเข้าใจมากขึ้น นี่คือประการที่ห้า ประการที่หก คือบอกทางสวรรค์ให้ เมื่อแสดงถึงความเป็นจริงว่า กุศลกรรมเท่านั้นที่เป็นเหตุนำไปสู่สุคติ ดังนั้นบุคคลที่เป็นคฤหัสถ์นี้ เมื่อมีความรู้ความเข้าใจแล้ว ถ้าคิดอย่างลึกซึ้ง การที่บุคคลแต่ละบุคคล จะประสบความทุกข์ยากลำบาก แน่นอนด้วยอกุศลกรรมในอดีต แต่ถ้าพระภิกษุนี้ การช่วยเหลืออนุเคราะห์ ถ้าสามารถที่จะกล่าวชี้แจงความดีให้คฤหัสถ์ เขาอนุเคราะห์เกื้อกูลกันโดยความเป็นคฤหัสถ์ แต่บรรพชิตก็ต้องอยู่ในส่วนของพระวินัยบัญญัติว่า สามารถที่จะประพฤติตามได้แค่ไหน

    ดังนั้นเมื่อชี้แจงเข้าใจในส่วนนี้แล้ว คฤหัสถ์ที่มีความรู้ความเข้าใจ เขาก็ช่วยเหลือกัน อย่างเช่นบุคคลที่ประสบภัยต่างๆ คฤหัสถ์ที่มีความรู้ความเข้าใจจากการที่พระภิกษุท่านมีความรู้ความเข้าใจในธรรม แล้วชี้แจงเปิดเผย คฤหัสถ์ก็เกื้อกูลอนุเคราะห์ ช่วยเหลือกันและกัน แต่เมื่อความเป็นภิกษุแล้ว จะมาประพฤติล่วงสิกขาบท พระองค์เห็นตามความเป็นจริงแล้ว จึงบัญญัติอย่างนั้น นี้คือเรากล่าวตามธรรมวินัยเท่านั้น เพราะเหตุว่าโทษของการล่วงสิกขาบท ก็มีโทษจริงๆ ตามพระธรรมที่แสดงเอาไว้

    อ.อรรณพ ที่อาจารย์วิชัยกล่าวมาตามพระธรรมวินัย ไม่ได้ค้าน ก็เห็นด้วยว่าภิกษุ เป็นผู้ที่ ถ้าเป็นภิกษุในธรรมวินัย ก็เข้าใจธรรม ก็กล่าวแสดงธรรม แสดงวินัย เกื้อกูล จนกระทั่งบอกทางสวรรค์ก็คือ สั่งสอน แสดงธรรมที่ถูกต้อง นี่ใช่ การแสดงธรรม สนทนาธรรมอะไรต่ออะไร เห็นด้วยไม่ได้ขัดขวางอะไรเลย แต่ถ้าเกิดตอนนี้ คนกำลังลำบากทุกข์ยาก ช่วยเหลือกันก็จะไม่ทันอยู่แล้ว ไม่ใช่เวลาที่จะมาฟังธรรม ไม่ใช่เวลาที่จะมาช่วยกัน ก็ต้องช่วยชีวิตกันก่อน ช่วยความลำบากกันก่อน เขาก็จะคิดอย่างนี้ ที่พูดมาไม่เถียง ถูกต้อง

    แต่ว่าตอนนี้กำลังประสบภัยอยู่ ก็ต้องช่วยกันคนละไม้คนละมือ ทั้งคฤหัสถ์ทั้งบรรพชิต ช่วยกันอย่างนี้ แล้วก็คิดว่า แต่ยอมรับว่าเป็นอาบัติทุกกฏ แต่อาบัติทุกกฏเป็นอาบัติที่เล็กน้อย ยังไม่ถึงอาบัติหนัก เพราะฉะนั้นเดี๋ยวไปปลงได้ แต่จิตอนุเคราะห์ที่จะช่วยคนตรงนั้น ไม่จำเป็นหรือ แลกกันก่อนได้ไหม แล้วเดี๋ยวค่อยมาปลงอาบัติ

    อ.วิชัย เพราะจริงๆ แล้วก็ชี้แจงให้เห็นความต่างอยู่แล้ว เพราะว่าคฤหัสถ์มีใช่ไหม ที่จะช่วยเหลือเกื้อกูล อนุเคราะห์กัน หุงหาทำอาหาร โดยกิจของคฤหัสถ์ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เป็นสิ่งที่พึงช่วยเหลือกัน ด้วยจิตที่เป็นกุศลที่จะอนุเคราะห์เกื้อกูลกัน แต่ความเป็นบรรพชิต ก็คือทำกิจของบรรพชิตด้วย คือกิจของบรรพชิตเป็นอย่างไร การล่วงละเมิดมีโทษอย่างไร

    ดังนั้นถ้ามีความรู้ว่า มีความเคารพยำเกรงในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระภิกษุในครั้งพุทธกาล ท่านก็จะไม่มีการล่วงสิกขาบทเลย ดังนั้นแล้วแต่ที่จะเคารพยำเกรงในสิกขาบทหรือเปล่า

    อ.อรรณพ ระหว่างความเคารพยำเกรงในสิกขาบท กับกุศลจิต กุศลกรรม ที่จะช่วยเหลือคนที่เขาประสบภัย กลายเป็นว่าถ้าเข้าใจผิด การจะรักษาสิกขาบทเล็กน้อย ก็เลยจะเป็นการกั้น การที่จะไม่ได้ช่วยเหลือเมตตาคนที่ประสบภัย

    ท่านอาจารย์ จริงๆ แล้วก็คือว่า

    อ.อรรณพ อันนี้ละเอียดมาก

    ท่านอาจารย์ คฤหัสถ์ต้องรู้ว่าภิกษุคือใคร แล้วก็สิ่งที่คฤหัสถ์คิดว่า ใครก็ควรจะทำ แต่ว่าเขารู้หรือเปล่า ว่าภิกษุจะต้องสำนึกตนอยู่ตลอดเวลา ว่าเราไม่ใช่คฤหัสถ์ แล้วต้องเห็นจริงๆ แม้แต่สิ่งที่ใครก็คิดไม่ถึง อย่างอาบัติทุกกฏ คิดว่าเล็กน้อยเหลือเกิน อะไรๆ ก็แค่อาบัติทุกกฏ ดูเหมือนว่าทำได้ แต่เขาไม่คิดถึงว่าใครเป็นผู้ทรงบัญญัติ ด้วยการเห็นประโยชน์อย่างยิ่ง ลองคิดดู

    ในสมัยพุทธกาล มีคนที่บวชเข้ามาหลากหลายมาก ต่างๆ ถิ่น ต่างๆ ความคิดเห็น แล้วก็อยู่กันอย่างไร จะอยู่กันอย่างไร ก็อยู่กันตามความพอใจ เหมือนกับว่าไม่ใช่อาบัติ ไม่ได้สำนึกในการที่ว่า เป็นพระภิกษุแล้ว กาย วาจาต้องเป็นไปตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ภิกษุจะต้องไม่ลืมว่าตนเอง จะต้องขัดเกลากิเลส ที่สำคัญที่สุด คือ บวชเพื่อที่จะได้ขัดเกลากิเลส โดยการเข้าใจธรรม เพราะฉะนั้นเพศของบรรพชิต เป็นเพศที่ต่างกับคฤหัสถ์ ไม่ได้ห้ามกัน ไม่ต้องเมตตา ไม่ต้องกรุณา แต่ต้องคำนึงถึงว่าเป็นใคร เราเป็นใคร นี่สำคัญมาก

    เพราะฉะนั้นในครั้งพุทธกาล เนื่องจากภิกษุอยู่ด้วยกัน แล้วต่างคนก็ต่างคิด ต่างคนก็ต่างทำ ต่างคนก็ต่างความเห็น จึงทรงมีพระวินัย โดยการประชุมสงฆ์ ให้เห็นว่าอาบัติ สิ่งที่ไม่ควรสำหรับเพศภิกษุ ซึ่งเป็นเพศที่ต้องตระหนักว่า เพื่อขัดเกลากิเลส ไม่ใช่ว่าเต็มไปด้วยกิเลส ไม่ว่าโลภะหรือโทสะ ยินดีหรือไม่ ที่จะได้ช่วยชาวบ้าน

    อ.อรรณพ ละเอียดมาก

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็ไม่รู้หน้าที่ ไม่รู้กิจ ไม่รู้ความเป็นภิกษุ เพราะเหตุว่าคฤหัสถ์กราบไหว้บูชาพระภิกษุ ไม่ใช่เพราะภิกษุมาทำครัว ทำอาหารเลี้ยงชาวบ้าน ใช่หรือไม่ แต่ต้องเพราะเหตุว่า ศึกษาสิ่งซึ่งยาก และการขัดเกลากิเลสก็ต้องยากในเพศบรรพชิตด้วย เพราะฉะนั้นถ้าภิกษุใดประพฤติตามพระวินัยครบถ้วน คฤหัสถ์ก็กราบไหว้บูชา แล้วคฤหัสถ์นั้นต้องการให้ภิกษุอย่างนั้น มาปรุงอาหารให้ตนหรือเปล่า

    อ.วิชัย เพราะว่าท่านเป็นผู้ที่มีคุณ ในความดีของความเป็นพระภิกษุ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็เห็นได้เลยว่า ถ้าผู้ใดรู้จักพระภิกษุจริงๆ และพระภิกษุนั้นเป็นพระภิกษุจริงๆ ท่านทำกิจของท่าน แล้วคฤหัสถ์ทั้งหลายก็ทำกิจของคฤหัสถ์ และเกื้อกูลกัน

    อ.วิชัย อาจารย์อรรณพครับ คิดถึงในสมัยที่เกิดทุพภิกขภัย ที่เมืองเวสาลี พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมสาวก ก็เสด็จไปประทับที่เมืองนั้น แล้วก็ทรงแสดงรัตนสูตร ดังนั้นสิ่งที่มีค่าที่สุด ความทุกข์กาย ทุกข์ยากลำบาก การที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลอาหาร ความเป็นอยู่ แต่ว่าทุกข์ใจที่เกิดขึ้นจากกิเลส ก็ต้องมีพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะนำสิ่งเหล่านี้ออกได้เท่านั้น

    อ.อรรณพ และอีกอันหนึ่งที่อยากเรียนอาจารย์วิชัยได้สนทนา แม้แต่ในสมัยพุทธกาล บรรพชิตก็ยังให้ทาน สงเคราะห์พวกคฤหัสถ์ได้ อย่างมีข้อความที่ว่า ท่านพระอานนท์ ท่านก็เอาของไปแจกพวกปริพาชก นั้นจะต่างกันอย่างไร

    อ.วิชัย จริงๆ แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพระมหากรุณามาก ดังนั้นในสมัยที่มีคนเลื่อมใสศรัทธาในพุทธศาสนามาก ลาภ สักการะ เลื่อมใส่ในปริพาชกทั้งหลายก็เสื่อมลง ดังนั้นเมื่อปัจจัยที่เกิดขึ้น ก็มีอยู่ เกิดขึ้น และส่วนใดก็ตามที่เหลือแล้ว ก็สามารถที่จะอนุเคราะห์บุคคลอื่นได้ แต่ไม่ใช่เป็นการส่งเสริมลัทธิ แต่อนุเคราะห์ในปัจจัยต่างๆ แต่ไม่ให้ ให้ด้วยมือของตน นี้คือการบัญญัติเอาไว้ คือให้ด้วยมือของตนไม่ได้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ก็คือเกื้อกูลอนุเคราะห์ให้บุคคลอื่น ไปจัดการก็ได้ ให้ไวยาวัจกรไปจัดการ

    อ.อรรณพ มีอาหาร มีขนมอะไรก็ให้กันได้

    ท่านอาจารย์ เล่าตอนที่เกิดทุพภิกขภัยต่อไปสิคะ จะได้ทราบความละเอียด แม้ท่านพระอานนท์ท่านทำอะไร และพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติว่าอย่างไร


    หมายเลข 10998
    3 มี.ค. 2568