007 พระพุทธศาสนาในประเทศไทย
สนทนาพิเศษ
เรื่อง พระพุทธศาสนาในประเทศไทย
ที่ บ้านคุณทักษพล และคุณจริยา เจียมวิจิตร
วันศุกร์ที่ ๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ตอนที่ ๗
ท่านอาจารย์ เล่าตอนที่เกิดทุพภิกขภัยต่อไปสิคะ จะได้ทราบความละเอียด แม้ท่านพระอานนท์ท่านทำอะไร และพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติว่าอย่างไร
อ.วิชัย ที่นครเวสาลี ก็มีคนที่ทูลเชิญ เสด็จไปประทับที่พระนครเวสาลี ซึ่งสมัยนั้นพระเจ้าพิมพิสารก็ส่งเสด็จ แล้วเจ้าลิจฉวีทั้งหลายก็มารับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วพระองค์ก็ทรงแสดงรัตนสูตร และพระอานนท์ได้รับฟังแล้วมีการที่จะสาธยาย แสดงรัตนสูตรให้ชาวเมืองทั้งหมด ได้เกิดความรู้ความเข้าใจในความเป็นจริง ว่าสิ่งนี้มีค่าที่ประเสริฐสูงสุด ก็คือพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะและสังฆรัตนะ
ท่านอาจารย์ แล้วเวลาที่ประเทศประสบภัย ทุพภิกขภัย มีเหตุการณ์อะไรบ้างหรือไม่ที่เกี่ยวกับพระภิกษุ พระผู้มีพระภาคเสด็จบิณฑบาต
อ.วิชัย มีแต่ที่พระองค์ประทับที่เมืองเวรัญชา คือเวรัญชพราหมณ์ก็นิมนต์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๓ เดือน แล้วเวรัญชพราหมณ์ก็ลืมเลยที่ได้นิมนต์ไว้ แต่ไม่ได้มีการบำรุงด้วยปัจจัยเลย ก็ต้องอาศัยข้าวแดงที่ให้ม้ากิน มาถวายแก่พระภิกษุ ๓ เดือน โดยมีพระภิกษุที่จะพลิกแผ่นดินบ้าง หรือไปบิณฑบาตรที่อุตรคุรุทวีปได้ เพราะท่านทั้งหลายเหล่านั้นเป็นผู้ที่ทรงคุณ และก็มีฤทธิ์ด้วย แต่พระองค์ไม่อนุญาต เพราะรู้ว่าอนาคตกาล เมื่อภิกษุได้ศึกษาในสูตรนี้ จะมีความเคารพยำเกรง ไม่มีการที่จะแสวงหาสิ่งที่ไม่เหมาะสม
ท่านอาจารย์ แล้วท่านทำอะไร ที่จะถวายพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อ.วิชัย ท่านพระอานนท์ก็เป็นผู้ที่เตรียม แล้วก็บด แล้วก็ถวายแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จุดประสงค์คือให้เห็นว่า แม้ในครั้งพุทธกาล พระองค์ก็ไม่มีความประสงค์ที่จะให้ภิกษุไปบิณฑบาตที่อื่น ที่อุตรคุรุทวีปหรือว่าจะพลิกแผ่นดินขึ้นมา
อ.อรรณพ เพราะฉะนั้นก็คือ ทรงแสดง สั่งสอน เพื่อให้เห็นโทษของการที่จะล่วงพระวินัย และมีความละเอียดที่จะอยู่ในเพศสมณะที่ถูกต้อง
คุณสุคิน อาจารย์ครับ ฟังเรื่องพระภิกษุที่อยากทำอาหารให้คนที่ประประสบภัย
ท่านอาจารย์ น้ำท่วม
คุณสุคิน ตรงนั้นก็เป็นจุดที่ให้ตัวสมณะ รู้อุปนิสัยตัวเองด้วย คือถ้าเราเห็นค่าของธรรมตามวินัย เราก็ไม่ทำนี่ ถ้าเราอยากจะทำนี่ ก็เท่ากับเราไม่เห็นค่า เพราะฉะนั้นเราต้องสึก เราก็เป็นฆราวาสไปเลย ไปทำกิจฆราวาส
อ.วิชัย กราบท่านอาจารย์ครับ ถ้าพูดถึงการอนุเคราะห์ช่วยเหลือเกื้อกูล เป็นประโยชน์แน่ ถ้าเป็นคฤหัสถ์ที่มีความเข้าใจธรรมจากพระภิกษุ แต่ถ้าเป็นสูตรที่จะไปกระทำสิ่งที่ไม่สมควรของสมณะ ถ้าเป็นคนที่ไม่เข้าใจพระธรรมวินัย ก็ดูเหมือนว่าพระภิกษุก็ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ มีกิจ มีเวลาในการที่จะช่วยเหลือ อยากจะขอคำอธิบายตรงนี้
ท่านอาจารย์ ก็ต้องทราบว่า กิเลสละเอียดมาก เพราะฉะนั้นกิเลสแม้นิดเดียวก็จะนำไปสู่กิเลสอื่นๆ ซึ่งมากขึ้น เพราะไม่เห็นโทษของกิเลสแม้เพียงเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้ การที่จะประพฤติตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร ก็ต้องรู้คุณอย่างยิ่ง ว่าชีวิตทั้งหมดต้องประพฤติปฏิบัติตามด้วยการศึกษาธรรม จึงสามารถที่จะขัดเกลากิเลสได้ เพราะเหตุว่าถ้าไม่เข้าใจธรรม ขัดเกลากิเลสไม่ได้
เพราะฉะนั้นถ้าภิกษุใดไม่มีธรรม ไม่มีความเข้าใจธรรม เป็นภิกษุหรือเปล่า ข้อสำคัญที่สุดต้องพิจารณาละเอียดมาก เพราะการจะเป็นภิกษุก็เพื่อที่จะเข้าใจธรรม เพราะฉะนั้นภิกษุใด ที่อาจจะอุปสมบท ไม่ศึกษาธรรม ไม่เข้าใจธรรม แล้วจะรักษาพระวินัย ดำเนินชีวิตในเพศบรรพชิต ได้หรือไม่
ด้วยเหตุนี้ ต้องเข้าใจว่าภิกษุใดก็ตาม ไม่ว่าใครทั้งนั้น ถ้าไม่มีความเข้าใจพระธรรม เป็นภิกษุหรือเปล่า เพราะฉะนั้นเพียงพระธรรมอย่างนี้ แล้วยังพระวินัยอีก เพราะเหตุว่าไม่เห็นคุณของพระธรรม ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเพื่อตนเอง จะได้สำนึก จะได้ศึกษา เพื่อที่จะได้ขัดเกลากิเลส เมื่อไม่มีจุดประสงค์อย่างนี้ ชีวิตที่เป็นบรรพชิตก็ไม่ได้ขัดเกลากิเลส แล้วไปหลงเข้าใจผิดคิดว่า การที่จะประพฤติผิดพระวินัย เป็นสิ่งที่สามารถจะกระทำได้ ถ้าบุคคลนั้นมีความเข้าใจอย่างถูกต้อง ว่าตนเองเป็นพระภิกษุ ต้องเห็นแม้อาบัติทุกกฏว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ
อย่างที่คุณสุคินว่า ถ้าจะกระทำก็คือ ไม่ใช่ภิกษุ ก็สึกเสีย เเล้วก็ช่วยเหลือชาวบ้านอย่างที่ต้องการก็ได้ จะได้ไม่เป็นพระภิกษุที่กระทำผิด และเข้าใจผิดด้วยว่ากระทำได้
คุณสุคิน ภิกษุเท่าที่ผมเข้าใจ เป็นผู้ที่เห็นโทษของกิเลสระดับลึกๆ ระดับละเอียด และการที่พูดว่า อาบัติแล้วไม่เป็นไร เล็กน้อย ก็เท่ากับไม่เห็นโทษ
อ.อรรณพ ภิกษุไม่พึงพูดหรือกล่าวเช่นนี้เลยว่า สิกขาบทเล็กน้อย ล่วงได้ เขายอมรับว่าผิดสิกขาบท ผิดทุกกฏ ค่อยมาปลง เพราะเห็นว่าประโยชน์ในการที่จะไปช่วยกิจของชาวบ้านสำคัญกว่า ซึ่งคุยมาตรงนี้ ผมเห็นภัยและอันตรายที่จะสืบต่อไปจากตรงนี้อีกมาก เพราะถ้ามีความคิดที่น่ากลัวตรงนี้ว่า สามารถล่วงสิกขาบทที่ใช้คำว่าเล็กน้อย ตรงนี้ก็ไม่เข้าใจแล้ว เพราะแม้ทุกกฏ ก็อย่างที่อาจารย์วิชัยได้กล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติ เพื่ออะไร จะบอกเป็นอาบัติเล็กน้อย ไม่ใช่ปราชิก ใช่ แต่ว่าก็เป็นสิกขาบทของภิกษุ ถ้าไม่เคารพ ก็ไม่ได้เป็นภิกษุในธรรมวินัย พอคิดอ้างอย่างนี้ ก็จะมีการกระทำที่ล่วงสิกขาบทเหล่านี้ โดยอ้างว่าเพื่อประโยชน์ของสังคมอีกมากมาย ไม่ใช่แค่ช่วยเรื่องพิบัติภัยต่างๆ อาจจะไปช่วยก่อสร้างก็ได้ อาจจะไปช่วยเกี่ยวข้าว สอนทำขนมปัง หรือทำอาหารจำหน่าย หรือช่วยคน หรืออะไร หรือจนกระทั่งอย่างอื่น เช่นอาจจะแสดงธรรม ตลกคะนองหรืออะไร แล้วก็อ้างว่านี่ไงประโยชน์ เพราะจะได้ทันยุคทันสมัย เยาวชนก็จะได้มีความสนใจในพระธรรมวินัยยิ่งขึ้น จนถึงขนาดไปแสดงภาพยนตร์ ก็อ้างว่าได้ประโยชน์มากกว่า เพราะอาบัติเหล่านี้ก็ค่อยมาปลง จะกว้างขวางไปอีกมาก
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นประโยชน์จริงๆ ของอาบัติทุกกฏ ก็เพื่อแสดงให้ภิกษุสำนึก ทางกายและวาจา ในวันหนึ่งๆ ว่าสมควรที่จะเป็นเพศภิกษุหรือไม่ ถ้าไม่ทรงอาบัติไว้ มีแต่อาบัติใหญ่ๆ จะรู้ได้อย่างไร ว่าการกระทำของภิกษุเหมือนชาวบ้านเลย ไม่สมควร ถ้าไม่ทรงอาบัติไว้ เพราะฉะนั้นไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม เล็กน้อยสักเท่าไรก็ตาม ทรงอาบัติไว้ไปให้เห็นว่า นี่คือเพศบรรพชิต นี่คือภิกษุในธรรมวินัย ให้สำนึก เพราะเหตุว่าอาบัติเล็กๆ นำไปสู่อาบัติใหญ่ เช่นถ้าจะสงเคราะห์ชาวบ้าน เอาสิ่งของนั้นมาแต่ไหน
อ.อรรณพ เงิน
ท่านอาจารย์ เริ่มมาแล้ว
อ.อรรณพ ก็ต้องอ้างว่าต้องรับเงิน
ท่านอาจารย์ ที่มาของการที่จะทำ เอาอะไรมาทำ และสิ่งต่างๆ เหล่านั้นมาจากไหน เป็นจุดเริ่มต้นที่มองไม่เห็น ใช่หรือไม่ คิดว่าการกระทำที่กระทำอยู่นั้นดี แต่วัตถุเหล่านั้นมาจากไหน ได้มาโดยวิธีใด เป็นอาบัติที่ค่อยๆ ลุกลามจากทุกกฏไปสู่อาบัติใหญ่ๆ โดยที่ต้องคำนึงถึงจริงๆ เอามาแต่ไหน เพราะว่าภิกษุไม่มี ถ้าภิกษุไม่มีแล้ว จะไปหาอะไร วัสดุอะไรที่มาทำกับข้าว อาหาร เพื่อที่จะช่วยชาวบ้าน และถ้าไปหามา ก็ไม่ใช่กิจของภิกษุที่จะไปแสวงหา
อ.วิชัย มีเรื่องของสุภัททวุฑฒบรรพชิต ที่บวชเป็นภิกษุแล้ว ในสมัยนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ก็จะมาจาริกที่เมืองนั้น สุภัททภิกษุก็ให้บุตรของตนไปเที่ยว เขาเป็นช่างตัดผม ก็ไปเที่ยวตัดผม เพื่อที่จะหาวัตถุต่างๆ ข้าวสารบ้าง ในการที่จะมาทำภัต เพื่อถวายแด่ภิกษุ มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประมุข ก็มีการที่จะสั่งตระเตรียมต่างๆ ครุ่นคิดต่างๆ ให้คนชาวเมืองทั้งหลายได้ทำอาหารอะไรต่างๆ จนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมา แล้วสุภัททภิกษุก็เป็นผู้ที่ถือกระบวยจะตักภัต ถวายแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่พระองค์ก็ตำหนิสุภัททะว่า นั่นไม่ใช่กิจของพระภิกษุ และการแสวงหาวัตถุสิ่งของ ก็โดยไม่ชอบธรรม ไปสั่ง ไปตระเตรียม ให้บุตรของตนไปแสวงหา เป็นช่างแสวงหาข้าวของวัตถุต่างๆ มาที่จะให้ถวายแก่ภิกษุทั้งหลาย นี้ก็คือเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม การที่จะกระทำ ถ้าคนทั่วไปก็จะคิดว่า เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ ถวายแก่พระภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย ใช่หรือไม่ แต่พระองค์ตำหนิว่า เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม เป็นการกระทำที่ไม่สมควร
อ.อรรณพ จริงๆ ถ้าเป็นฝ่ายคฤหัสถ์ แล้วมีความเข้าใจพระธรรมวินัย ถ้าผู้ใดไปบวชเป็นบรรพชิต เป็นคนละเพศไปแล้ว เหมือนความเป็นคฤหัสถ์ของคนนั้นไม่มีแล้ว เพราะฉะนั้นแล้วยังจะไปยินดีว่าเขากลับมาประพฤติแบบคฤหัสถ์ และชื่นชมว่า มาช่วยเหลือสังคมอะไรอย่างนี้ สิ่งที่พระภิกษุจะช่วยเหลือสังคมได้สูงสุด เป็นสิ่งที่มีคุณค่ายิ่ง แล้วการที่จะล่วงพระวินัย โดยอ้างว่าเป็นสิกขาบทเล็กน้อย ก็เป็นสิ่งที่ไม่สมควร สำหรับจิตใจของผู้ที่จะเป็นบรรพชิต
แต่ต้องแยกประเด็นกันว่า ในขณะที่เขามีจิตเมตตา สงสาร และใคร่จะช่วยเหลือผู้ประสบภัย แต่ลืมไป จะใช้คำว่า ลืม หรือไม่ได้คิดว่าเป็นภิกษุ หรือคิดว่าเป็นภิกษุอะไรก็ทำได้
ท่านอาจารย์ ที่ทุกคนลืม คือ ลืมภัยในสังสารวัฏฏ์
อ.อรรณพ ใช่
ท่านอาจารย์ คิดแค่ภัยปัจจุบันเล็กๆ น้อยๆ ใช่ไหม แต่ว่าไม่มีวันจบสิ้น ถ้าไม่มีความเข้าใจธรรม ซึ่งใครเล่าจะสามารถที่จะให้ชาวบ้านได้เข้าใจธรรม นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็มีพระสาวก แล้วก็เป็นพระภิกษุที่ได้ศึกษา และก็เข้าใจ ที่สามารถจะอนุเคราะห์ได้ แล้วชาวบ้านก็ต้องรู้จริงๆ ว่าพระไม่มีอะไร แล้วจะไปชื่นชมกับการที่พระทำอาหาร เอาอะไรมาทำ มาจากไหน ได้มาอย่างไร
อ.อรรณพ ต่อๆ กันไป
อ.จริยา ชาวบ้านไม่ทราบ ชาวบ้านก็ยังนึกว่าพระ ที่บ้านก็ชอบเอาเงินไปถวายพระ ไปถวายพระ พระก็สะสมเงินไว้ ยามชาวบ้านเดือดร้อน ก็คิดว่านี่คือการที่ได้ตอบแทนชาวบ้าน ดิฉันคิดว่าสิ่งเหล่านี้ ก็เกิดจากความไม่รู้ของชาวบ้าน ของคฤหัสถ์ประการหนึ่ง แต่ประการสำคัญก็คือ ภิกษุเองไม่สำนึกในเพศของตน แล้วก็ยังคิดว่า การทำอย่างนี้เป็นการที่มีความเมตตาต่อสรรพสัตว์ โดยไม่ได้คำนึงถึงว่า หน้าที่ของภิกษุคืออย่างไร
เมื่อสักครู่นี้ประโยคหนึ่งที่ท่านอาจารย์อรรณพ ได้สนทนากับอาจารย์วิชัยว่า เพราะคนทั้งหลายพูดทำนองว่า รวมทั้งพระที่พูดถึงเรื่องที่ทำอาหารช่วยคนน้ำท่วม ก็เพราะเหตุที่ว่า ด้วยความเมตตา อาบัติเล็กๆ น้อยๆ ก็พอที่จะปลงอาบัติได้ เทียบไม่ได้กับความเมตตาที่เกิดขึ้นมากมายนี้ ดิฉันก็เลยอยากจะเรียนให้ท่านผู้ชม ท่านผู้ฟังท่านทราบว่า แม้อาบัติเล็กน้อยที่บอกว่าอาบัติทุกกฏ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็ต้องให้ปลงอาบัติ ใช่หรือไม่คะ ท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ ต้องปลง
อ.จริยา ไม่ใช่ปลงแล้วปลงเล่า ถ้าปลงแล้วปลงเล่าก็แปลว่าไม่สำนึก ปลงแปลว่าอะไรท่านอาจารย์วิชัย
อ.วิชัย เป็นการเปิดเผย แสดงโทษของการล่วงสิกขาบท ให้ภิกษุ ให้คณะหรือให้สงฆ์ได้รับทราบ แล้วก็มีการที่จะกล่าวว่า จะสำรวมระวังที่จะไม่ประพฤติสิ่งที่ไม่เหมาะสมนั้นอีกต่อไป นี้เป็นความจริงใจ
อ.จริยา แล้วถ้าทำอีก ถ้าทำเรื่องเดียวกันซ้ำอีก ปลงอีก
อ.วิชัย ก็จะเป็นเรื่องที่สงฆ์จะแสดงนิคหกรรม คือการลงโทษให้มีความประพฤติวัตร นี้ก็เป็นรายละเอียดอีกต่อไป ถ้ามีการสะสมอาบัติบ่อยๆ เนืองๆ ก็จะมีนิคหกรรมต่างๆ คือการลงโทษ โดยหมู่ของสงฆ์ที่จะให้กับคนนั้นเกิดความสำนึกในการถ้าสะสมบ่อยๆ ก็จะมีต่อไปอีก
อ.จริยา อย่างนี้จะเรียกว่าเล็กน้อยก็ไม่ได้ เพราะว่าอย่างที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า ความผิดเล็กน้อยเมื่อทำ มันไปสู่ความผิดใหญ่ๆ ได้มากมาย เป็นต้นว่าเมื่อพระทำผิดเช่นนี้ได้ ก็แปลว่าท่านไม่ได้คำนึงถึงเพศของท่าน ท่านสามารถที่จะกระทำสิ่งอื่นๆ ต่อไปได้เรื่อยๆ แล้วต้นเหตุของเรื่องนี้ก็เป็นว่า เพราะว่าพระมีเงินทอง จึงได้ทำสิ่งเหล่านี้ อย่างที่เราเคยสนทนาไปเรื่อง การที่พระไม่สามารถที่จะรับเงินทองได้ แม้ยินดีก็ยังไม่ได้
อ.อรรณพ แต่ญาติโยมเขาชอบ เขาบอกว่าได้บุญสองต่อ ต่อที่หนึ่งก็คือเอาเงินให้พระ ต่อที่สองคือพระเอาเงินไปทำประโยชน์ เงินก็ได้ใช้ประโยชน์ถึงสองต่อ เป็นบุญสองต่อ คิดเอง อาจารย์มีความเห็นอย่างไร
อ.จริยา ถ้ายังไม่ได้ศึกษาพระธรรม ก็คงคิดอย่างนั้น เพราะคิดว่าการที่ได้ทำบุญกับพระ น่าจะเป็นบุญที่ยิ่งใหญ่ เพราะพระมีศีลมาก ก็คิดกันแค่นับศีล ๒๒๗ ข้อ
คุณสุคิน แต่ผมว่ากลับกันเลย เป็นทุศีลต่อๆ ๆ
อ.จริยา ใช่ แต่โดยเหตุที่ว่า เพราะไม่รู้ เพราะไม่รู้ก็กระทำมา แล้วกระทำอยู่อย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
อ.วิชัย ขอกราบอนุญาตเรียนอย่างนี้ ถ้าคิดถึงความประพฤติเป็นไปของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งแต่ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ พระองค์กระทำกิจคือประกาศพระศาสนา นี่คือเป็นกิจที่ยิ่งใหญ่ เพราะการที่จะตรัสรู้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย ไม่ใช่วันเดือนปี แต่เป็น ๔ อสงไขยแสนกัปป์ ยาวนานมาก และสิ่งที่มีค่าที่ประเสริฐอย่างนี้ ที่พระองค์มีการแสดงธรรม แล้วมีบัญญัติพระวินัย ถ้าไม่มีการเปิดเผยแสดง ก็ค่อยๆ อันตรธานไป
ดังนั้นกิจของพระภิกษุ เมื่อมีการเปิดเผยความจริง เมื่อเกิดความทุกข์ยาก ชาวบ้านทั้งหลายหรือคฤหัสถ์ทั้งหลาย ที่มีความรู้ความเข้าใจธรรม สิ่งใดที่เป็นสิ่งที่ดีงามจากการที่เคยศึกษา ฟังจากผู้ที่มีความรู้ ไม่ว่าจะเป็นภิกษุหรืออุบาสก อุบาสิกาก็ตาม ได้เปิดเผยพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ เมื่อบุคคลต่างๆ มีความเดือดร้อน แม้เราเอง ใช่ไหม ก็มีการที่คิดช่วยเหลือบุคคลอื่น เพราะว่าได้มีความเข้าใจในธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้แสดงเอาไว้ นี่คือเป็นกิจหน้าที่ ที่สำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระภิกษุที่ท่านเป็นผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจในธรรมวินัย
อ.อรรณพ สิ่งที่เป็นจริงที่สุด แต่เข้าใจยากที่สุด เพราะต้องศึกษาพระธรรมวินัยก็คือ ช่วยผู้ที่ประสบภัยโดยผิดพระวินัย กับการที่จะรักษาพระธรรมวินัย และทำกิจของสงฆ์คือ การศึกษาพระธรรมวินัยเป็นคันถธุระ และการอบรมเจริญปัญญาเป็นวิปัสสนาธุระ แล้วก็สามารถที่จะพ้นภัยจากสังสารวัฏฏ์ แล้วก็เกื้อกูลบุคคลต่างๆ ให้ได้ยินได้ฟังพระธรรมวินัยที่ถูกต้อง ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นคฤหัสถ์หรือบรรพชิตก็ตามให้เข้าใจพระธรรม
ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้ เขาไม่เห็น สมมติเราเป็นประชาชนที่กำลังลำบาก ใครก็ตามที่มาช่วยผม ไม่ว่าเขาจะเป็นศาสนาอะไรทั้งหลาย บางคนถึงขนาด ยอมเปลี่ยนศาสนาเลย เพราะว่าเขาให้ความช่วยเหลือ เขาหยิบยื่นมาขณะที่ข้าวไม่มีจะกิน ลูกเต้าก็ยังไม่มีจะเรียน พอศาสนานี้เข้าไปช่วย เขาก็ได้มีกิน ได้เรียน ได้อะไร คือเป็นความที่เราไม่รู้ แล้วเราก็ต้องการความสุข ให้ชีวิตมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น พ้นจากความลำบากตรงนั้นไป
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก่อนอื่นทั้งหมดเลย ก็คือการเป็นภิกษุ ยากหรือไม่ เห็นไหม
อ.อรรณพ ยากที่สุด
ท่านอาจารย์ ไม่คิดเลย คิดว่าเป็นภิกษุง่ายๆ เป็นแล้วสบายดี เป็นไปไม่ได้เลย เพราะว่าเป็นเรื่องของการขัดเกลากิเลส ซึ่งจะต้องศึกษาธรรมด้วย เพราะฉะนั้นผู้นั้นต้องรู้ว่า เพราะเหตุว่ายังมีกิเลสอยู่ และจะเป็นเพศบรรพชิต ต้องเคารพอย่างยิ่งในพระวินัย เพราะว่ามีความเข้าใจในธรรม
เพราะฉะนั้นก็ไม่ใช่หมายความว่า เราต้องการให้มีพระภิกษุมากๆ แล้วก็ช่วยเหลือชาวบ้าน โดยผิดพระวินัย เราก็คิดว่านั่นทำลายบุคคลนั้นด้วย เพราะเหตุว่าเป็นผู้ที่ไม่จริงใจ ในการที่จะเป็นพระภิกษุ ด้วยเหตุนี้อาบัติทุกกฏ เป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่า การเป็นภิกษุต้องเป็นภิกษุอย่างแท้จริง เพราะฉะนั้นตัวอย่างคนในสมัยนี้อาจจะคิดว่า แล้วอย่างไร ถ้าคุณวิชัยเป็นพระภิกษุ แล้วเวลานี้มีน้ำท่วมชาวบ้านลำบาก คุณวิชัยจะทำอย่างไร
อ.วิชัย ก็ตามความเป็นจริง ถ้าหนึ่งก็คือไม่มีปัจจัยต่างๆ ไม่มีเงินทองที่จะหยิบยื่นให้เขา
ท่านอาจารย์ เห็นหรือไม่
อ.วิชัย แต่สามารถที่จะกล่าวให้เขาเข้าใจว่า สิ่งที่เกิด ที่เป็นไปอย่างนี้มีเหตุ มีปัจจัยอะไร ให้เกิดความเข้าใจตามความเป็นจริง เพราะว่าบุคคลเดือดร้อน แน่นอนต้องมีความเดือดร้อนคือ ใจที่คิดถึงความเดือดร้อน ความทุกข์ยาก แต่ถ้าสามารถที่จะกล่าวเปิดเผยให้เขาได้มีความเข้าใจ ว่าความจริงที่เกิดเป็นอะไร โดยเฉพาะอย่างถ้าให้เข้าใจด้วยความเป็นธรรม ก็เป็นสิ่งที่มีค่าประเสริฐที่สุด
ท่านอาจารย์ เพราะว่าจริงๆ แล้ว ต่างคนก็ต่างทุกข์ในยามน้ำท่วม คฤหัสถ์ก็ทุกข์ พระภิกษุก็ทุกข์ แล้วใครจะช่วยคิดดู พระไม่มีอะไรเลย คฤหัสถ์ยังแสวงหาได้ เพราะฉะนั้นใครสามารถจะช่วยได้ ต้องไม่ใช่ภิกษุ เพราะเหตุว่าพระภิกษุไม่มีวัตถุ แต่ภิกษุจะช่วย ก็ช่วยอย่างที่คุณวิชัยกล่าวถึง ให้เขาสบายใจ ให้เขาเข้าใจเหตุของทุกข์ ให้เขาสามารถที่จะรักษาจิตใจของเขาได้ว่า ต้องประพฤติเป็นไปในทางที่ชอบ เพราะฉะนั้นก็แสวงหาสิ่งที่ชอบช่วยเหลือกัน โดยไม่รบกวนพระภิกษุ ให้ท่านต้องอาบัติประการใดเลยทั้งสิ้น
อ.อรรณพ ไพเราะมาก แล้วก็เมื่อคฤหัสถ์อื่นที่พอจะช่วยเหลือได้ ได้ยินได้ฟังพระธรรมคำสอน ในเรื่องของความช่วยเหลือ ความเกื้อกูลกัน ที่จะช่วยเหลือกัน สังคหวัตถุต่อกัน ก็สามารถที่จะช่วยเหลือได้อย่างเต็มที่อยู่แล้ว คงไม่มีใครที่จะปล่อยให้ ที่เข้าใจพระธรรม เราจะมานั่งศึกษาธรรมกัน โดยที่ไม่ช่วยสังคม ไม่มีแน่ ช่วยกันเต็มที่ แต่เราก็ไม่จำเป็นต้องประกาศแสดง
ท่านอาจารย์ เพราะว่าน้ำท่วมไม่ใช่ทุกข์แต่คฤหัสถ์ ทุกคนเป็นทุกข์หมด แม้พระภิกษุก็เป็น และพระภิกษุยังไม่มีอะไรด้วย แต่คฤหัสถ์ยังแสวงหาได้ แต่พระภิกษุทำอย่างคฤหัสถ์ไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะผลักภาระไปให้ภิกษุ ท่านมาทำครัว ปรุงอาหาร หรือว่าให้อาหารแก่ชาวบ้าน
อ.อรรณพ อาจารย์วิชัยครับ เพื่อความชัดเจน สมมติอาจารย์วิชัยเป็นพระภิกษุในพระธรรมวินัย ที่มีความมั่นคงในการประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ถ้าสมมติว่า มีบ่อน้ำ สระน้ำ แล้วก็มีผู้หญิงสาวตกลงไปในน้ำ กำลังจะจมน้ำตาย เราจะทำอย่างไร และตรงนั้นก็ไม่มีใครที่จะช่วยเขาได้ แต่ถ้าไปช่วยเขา เช่นกระโดดน้ำลงไป ก็จะสัมผัสกายหญิง จะต้องอาบัติสังฆาทิสเสส หรือบอกว่าไม่มีจิตกำหนัด จะไม่เป็นอาบัติหรืออะไรอย่างไร
อ.วิชัย จริงๆ แล้วเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน เพราะการถูกต้องเนื้อตัว คือด้วยความยินดีในการถูกต้อง สัมผัส