008 พระพุทธศาสนาในประเทศไทย


    สนทนาพิเศษ

    เรื่อง พระพุทธศาสนาในประเทศไทย

    ที่ บ้านคุณทักษพล และคุณจริยา เจียมวิจิตร

    วันศุกร์ที่ ๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๐

    ตอนที่ ๘


    อ.อรรณพ อาจารย์วิชัยครับ เพื่อความชัดเจน สมมติอาจารย์วิชัยเป็นพระภิกษุในพระธรรมวินัย ที่มีความมั่นคงในการประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ถ้าสมมติว่า มีบ่อน้ำ สระน้ำ แล้วก็มีผู้หญิงสาวตกลงไปในน้ำ กำลังจะจมน้ำตาย เราจะทำอย่างไร และตรงนั้นก็ไม่มีใครที่จะช่วยเขาได้ แต่ถ้าไปช่วยเขา เช่นกระโดดน้ำลงไป ก็จะสัมผัสกายหญิง จะต้องอาบัติสังฆาทิสเสส หรือบอกว่าไม่มีจิตกำหนัด จะไม่เป็นอาบัติหรืออะไรอย่างไร

    อ.วิชัย จริงๆ แล้วเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน เพราะการถูกต้องเนื้อตัว คือด้วยความยินดีในการถูกต้อง สัมผัส ดังนั้นถ้าเป็นการที่จะรักษาพระวินัยด้วย ก็คือการที่จะโยนสิ่งของอะไรก็ได้

    อ.อรรณพ ต้องเป็นผู้ฉลาด

    อ.วิชัย แล้วก็สามารถที่จะหยิบได้ จับได้ แล้วภิกษุก็คิดว่า จะดึงหรือว่าสาวบริขารนั้นมา อย่างเช่นไม่มีอย่างอื่นเลย ก็โยนอาจจะเป็นสังฆาฏิไป โยนไป และเมื่อจับแล้วก็กระทำในใจว่า จะสาวบริขารคืนมาเท่านั้น คือเป็นเรื่องของการที่มีปัจจัย จากการที่สะสมความเข้าใจในพระวินัย ก็จะมีปัจจัยของความเคารพยำเกรงในสิกขาบทด้วย แล้วก็จะมีทางที่จะช่วยเหลือบุคคลอื่นด้วย โดยที่ไม่ผิดพระวินัย

    อ.อรรณพ เราสนทนาคราวที่แล้ว ดีมากเลย พระพุทธศาสนาเถรวาท ซึ่งที่พระพุทธศาสนากลายเป็นนิกายต่างๆ ที่ไม่ได้เป็นพุทธศาสนาเถรวาท คือพระพุทธศาสนาที่แท้จริง ก็ด้วยความคิดอย่างนี้ ก็คิดว่าพระวินัยบางอย่างก็เปลี่ยนไป เช่นถ้าเป็นลัทธิมหายาน แต่ก่อนก็เคยศึกษา ได้ยินมาเหมือนกัน ว่าพระอุ้มผู้หญิงได้เลย เพราะช่วย หมายความว่าไปช่วย ถ้าคนนี้คิดอย่างนี้ จะมาคิดถึงศีล คิดถึงอะไร นั่นก็คือสิ่งที่จะแตกเป็นนิกายต่างๆ แล้วตอนนี้ ชาวพุทธกำลังจะยอมรับการจะล่วงพระวินัยอย่างนี้ ก็เท่ากับมีความคิดที่ไม่ได้เป็นเถรวาท แล้วก็เท่ากับการแตกความเห็น เหมือนกับที่เคยแตกมาแล้วที่เคยสนทนามา

    อ.จักรกฤษณ์ ตรงนี้ก็มีประเด็นจะสนทนา อยากจะพูดเรื่องศีลและศีลธรรมให้ชัดเจน เพราะสิ่งต่างๆ ในการช่วยเหลือเกื้อกูล ทำประโยชน์ให้กับประชาชน นี่คือศีลธรรม เป็นจริยธรรม เป็นคุณธรรม ที่ทุกคนก็สรรเสริญ เข้าใจเรื่องศีลธรรม แต่ศีลธรรมไม่ใช่ศีล เดี๋ยวตรงนี้คงต้องคุยละเอียดนิดหนึ่งให้ได้ประเด็น แต่สิ่งที่เราคุยกันเมื่อสักครู่นี้ เป็นเรื่องของพระวินัย ซึ่งเป็นศีลของพระภิกษุ แล้วก็มีความสำคัญมาก ดังนั้นความสำคัญที่มี เราทราบได้จากไหน เราก็ทราบได้จาก พระสูตรหรือพระวินัย แล้วก็คำของพระพุทธองค์ที่ตรัสเอาไว้ในพระไตรปิฎก จะแสดงให้เห็นความสำคัญของพระวินัย คือต้องเข้าใจตรงนี้ว่า พระวินัยสำคัญแค่ไหน ซึ่งอยากจะยกพระสูตรหนึ่ง ที่ท่านกล่าวไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยเปรียบกับมหาสมุทร มี ๘ ประการ ที่น่ามหัศจรรย์

    เพราะตอนนั้นจะมีจอมอสูรไปสนทนากับพระพุทธองค์ แล้วเขาก็เล่าว่าพวกอสูร เหล่าอสูรจะอภิรมย์กับมหาสมุทร เพราะว่ามีสิ่งที่มหัศจรรย์หลายประการ ประมาณ ๘ ประการด้วยกัน พระพุทธองค์ก็ตรัสว่า ภิกษุในธรรมวินัยอภิรมย์กับพระวินัย ๘ ประการเหมือนกัน แต่ที่จะยกขึ้นมาประการหนึ่งก็คือ เรื่องของสิกขาบท ซึ่งตรงนี้พระพุทธองค์ตรัสเอาไว้ชัดเจนว่า มหาสมุทรเต็มเปี่ยมอยู่เสมอ ไม่ล้นฝั่ง ฉันใด การที่มหาสมุทรไม่ล้นฝั่ง คือเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ของจอมอสูร ที่เขาคิดว่าเป็นอย่างนั้น

    ในส่วนของภิกษุซึ่งเป็นสาวกของพระพุทธองค์ ท่านก็ตรัสว่า สาวกทั้งหลายของเราตถาคต ไม่ล่วงสิกขาบทที่เราบัญญัติไว้ แม้เพราะเหตุแห่งชีวิต ดูกร ปหาราทะ ข้อที่สาวกทั้งหลายของเราไม่ล่วงสิกขาบทที่เราบัญญัติไว้ แม้เพราะเหตุแห่งชีวิต นี่เป็นธรรมอันน่าอัศจรรย์ อันไม่เคยมีมาประการหนึ่ง ในธรรมวินัยนี้ ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วจึงอภิรมย์อยู่

    บทนี้มีความสำคัญว่า แม้แต่ชีวิตท่านก็ไม่ร่วงสิกขาบท คือไม่ล่วงพระธรรมวินัย ทำให้เห็นถึงความสำคัญของพระธรรมวินัย มีความสำคัญมาก แล้วก็เป็นสิ่งที่น่าอภิรมย์ เพราะว่าเป็นภิกษุ เพราะท่านรู้ว่าภิกษุท่านเป็นใคร ท่านบวชเป็นภิกษุเพราะอะไร ตรงนี้ก็เป็นคำยืนยันของพระพุทธองค์ที่ตรัสไว้ ว่าแม้แต่เหตุด้วยชีวิต ท่านก็ไม่ล่วงสิกขาบท ดังนั้นไม่ว่าสิกขาบทจะเป็นหนักเบา ท่านก็ไม่ล่วงเลย

    อ.อรรณพ ไม่ล้นฝั่ง

    อ.จักรกฤษณ์ ไม่เคยมีล้นฝั่ง ตรงนี้เป็นสิ่งที่อัศจรรย์ในพระศาสนา

    อ.อรรณพ อัศจรรย์ในคุณธรรม

    อ.จักรกฤษณ์ จะเห็นคุณค่าของพระวินัย ว่าไม่ไม่ใช่ธรรมดา พระวินัยเป็นสิ่งที่มีคุณค่า แล้วก็ต้องประพฤติปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด ถ้าผู้ที่เห็นคุณค่า แม้แต่ชีวิตก็ไม่ล่วง ดังนั้นตรงนี้เป็นเรื่องที่อธิบายให้เห็นว่า ที่พูดกันว่าอาบัติเบา และจะล่วงกัน ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นข้ออ้าง

    อ.อรรณพ ล้นฝั่ง

    อ.จักรกฤษณ์ ใช่ ล้นฝั่ง ในส่วนนี้ก็จะโยงกลับมานิดหนึ่งว่า เหตุเกิดจากการที่เราเข้าใจคำว่า ศีลกับศีลธรรมต่างกัน ต่างกันอย่างไร ศีลธรรม สังคมมนุษย์ เราก็จะรู้จักศีลธรรม

    อ.อรรณพ ศีลธรรมของคนทั่วไป

    อ.จักรกฤษณ์ ใช่ คนทั่วไป ศีลธรรมนี้จะมีหลากหลาย เพราะว่าบางสังคมก็จะมีศีลธรรม จริยธรรมแบบหนึ่ง บางสังคมก็อีกแบบหนึ่ง แต่แบบหนึ่งสิ่งที่กว้างขวางในสังคมชาวโลกปัจจุบันก็คือ เขาเรียกว่าศีลธรรมที่เกื้อกูลประโยชน์ให้กับคนส่วนใหญ่ นี้เป็นสิ่งที่ทุกคนเห็นพ้องว่า เป็นศีลธรรมอันดีทั้งหมด เป็นความหมายหนึ่งของคำว่า ศีลธรรม อะไรก็ตามที่ทำประโยชน์ให้กับทุกคน ถือว่าดี เป็นคนที่มีศีลธรรม มีคุณธรรม มีจริยธรรม อะไรต่างๆ เราถูกสอนมาอย่างนี้

    เวลาเราพูดถึงศีล เนื่องจากความสับสนกันในบ้านเราก็ว่าได้ ก็คือเอาศีลกับศีลธรรมปนกัน ก็คือเวลาไปที่โรงเรียน ในเวลาวิชาศีลธรรมก็เอาศีลไปสอน ศีลในพระพุทธศาสนา มีศีล ๕ เป็นต้น ไปสอนว่า นี่คือศีลธรรมที่ควรจะประพฤติปฏิบัติตาม แต่ศีลในพระพุทธศาสนาจริงๆ ไม่ใช่ข้อห้าม ซึ่งจะต่างจากศีลธรรมออกมาค่อนข้างเยอะ เพราะว่าศีลของท่านก็มีทั้งกุศลศีล อกุศลศีล อัพยากตศีล นี่เริ่มละเอียด ศีลในพระพุทธศาสนาเป็นความจริง ที่เกี่ยวข้องกับความประพฤติทางกาย วาจา แล้วก็จะเกิดผลอย่างไร ให้เข้าใจความจริงนี้ ดังนั้น เมื่อเอาสิ่งเหล่านี้ไปสอนในโรงเรียน หรือสอนในสถาบันต่างๆ ก็จะทำให้เกิดความสับสนว่า เอาศีล ก็คือศีลธรรม ศีลเหมือนกัน

    อ.อรรณพ ศีลธรรมทั่วไป

    อ.จักรกฤษณ์ ใช่ เวลาเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา ก็คิดว่าศีลธรรมที่ทุกคนเข้าใจก็คือ ต้องเกื้อกูล ต้องทำประโยชน์ให้กับสังคมมากที่สุด ไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตาม ถือว่าเป็นศีลธรรม เมื่อเข้าใจอย่างนี้ ทุกคนก็จะเห็นตรงกันว่า ยกตัวอย่างพระ ท่านจะต้องไปช่วยชาวบ้านเวลาน้ำท่วม ถือว่าเป็นศีลธรรม เป็นคุณธรรม ที่จะต้องทำ เพราะเข้าใจว่า ศีลกับศีลธรรมเหมือนกัน แต่พระ ท่านรักษาศีล ซึ่งศีลของท่านก็คือพระวินัย ซึ่งคนละเรื่อง

    อ.อรรณพ ยิ่งละเอียด

    ท่านอาจารย์ เป็นคนละประเด็นเลย เป็นเรื่องที่ท่านจะต้องประพฤติปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เพราะว่าท่านอยู่ในบทบาท ในอีกฐานะหนึ่ง ดังนั้นท่านต้องรักษาพระวินัย ส่วนศีลธรรมเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ศีลธรรมที่จะไปช่วยเหลือใครอะไรก็ตาม ต้องอยู่ในพระวินัย ต้องประพฤติอยู่ในพระวินัยเท่านั้น ดังนั้น เมื่อเราเข้าใจสับสน คนส่วนใหญ่จะเข้าใจว่าเหมือนกัน ศีลกับศีลธรรมหรือวินัย ก็อาจจะคล้ายๆ กับศีลธรรม คือต้องทำความดี ทำประโยชน์ให้กับคนส่วนใหญ่ ดังนั้นก็จะชื่นชมเมื่อเห็นพระภิกษุ

    อ.อรรณพ เพราะเขาชื่นชมกับศีลธรรม

    อ.จักรกฤษณ์ แล้วก็ชื่นใจกับศีลธรรม

    อ.อรรณพ แล้วไม่เข้าใจสิ่งที่เป็นสิกขาบทของภิกษุ

    อ.จักรกฤษณ์ ใช่ จะโยงให้เห็นว่าต่างกัน ไม่เหมือนกัน เพราะเราเข้าใจผิด แล้วเราก็เอาศีลเข้าไปสอนเป็นศีลธรรมทั่วไปหมด ก็จะมีหมู่บ้านศีล ๕ ซึ่งเป็นคนละเรื่องเลย ตรงนั้นก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง มันทำให้คุณค่าของศีลในคำสอน ถูกลดถูกทอน กลายมาเป็นศีลธรรมชาวบ้าน แล้วชาวบ้านก็ไม่รู้ เพราะว่าไม่ได้ศึกษาศีลในพระพุทธศาสนาอย่างละเอียด ก็คิดว่าศีลในพระพุทธศาสนาก็คือศีลธรรม ทำความดี หรือทำประโยชน์อะไรให้กับคนส่วนใหญ่ ถือว่ามีศีลธรรม มีคุณธรรม ไม่จำเป็นจะต้องมีเงื่อนไข อย่างเป็นพระภิกษุ เขาไม่เข้าใจเงื่อนไข ก็เห็นว่าน่าจะทำได้ ประโยชน์ที่ไปทำอาหารให้กับชาวบ้าน ช่วยชาวบ้านที่เขาเดือดร้อน เขาไม่เห็นเงื่อนไขตรงนี้

    ดังนั้นจึงทำให้เกิดความสับสน แล้วก็เข้าใจผิด แล้วส่วนใหญ่ก็ชื่นชม จุดที่สำคัญคือแยกให้เห็นว่าศีล พระพุทธศาสนาเป็นอย่างไร โดยเฉพาะพระภิกษุท่านมีศีลที่สำคัญคือ พระวินัย แม้แต่ชีวิตท่านก็ไม่ล่วง นี่คือความมหัศจรรย์ของภิกษุในธรรมวินัย ถ้าทุกคนเข้าใจตรงนี้ ก็จะไม่มีใครที่จะมาชื่นชมภิกษุ ที่ไปทำกับข้าว ไปทำอะไร ช่วยชาวบ้าน จะไม่มีใครชื่นชมตรงนี้ เพราะว่าท่านทิ้งสิ่งที่มีค่า แล้วก็มาทำสิ่งของชาวบ้าน ศีลธรรมชาวบ้าน ทิ้งของมีค่าแล้วมาทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่มีใครชื่นชม คนที่เข้าใจก็จะไม่มีใครชื่นชม แต่คนไม่เข้าใจ เขาก็จะชื่นชมยกย่อง

    อ.อรรณพ เปรียบเทียบง่ายๆ ผมเคยถูกเตือน ไม่เกี่ยวกับสิกขาบทหรือธรรมอะไร ว่าเราทำงาน แล้วเราก็เห็นงานที่อาจจะมีพวกนักการภารโรง ลูกน้องเราก็ทำ บางทีเราเห็นแล้วอดไปช่วยเขาไม่ได้ แล้วก็มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ท่านพูดเตือนขึ้นมาว่า อาจารย์กำลังเอาเปรียบราชการ อาจารย์ใช้เวลาตรงนี้ ไปทำงานนี้ ในขณะที่งานที่จะต้องทำ ที่มีความสำคัญ ไม่ได้ทำ ถ้าเราไปช่วยเขานอกเวลาก็อีกอย่าง ฉันใดก็ฉันนั้น ขนาดนี้ยังต่างกันเลย เพราะว่าหน้าที่ แต่ผมว่าประชาชนต้องเข้าใจ สิ่งที่อาจารย์จักรกฤษณ์พูด ถ้าจะพูดง่ายๆ การกระทำอย่างเดียวกัน แต่กระทำโดยคฤหัสถ์กับกระทำโดยบรรพชิต จะดีหรือไม่ดีต่างกัน เช่นถ้าเป็นคฤหัสถ์ประกอบอาหาร ลุยน้ำไปช่วยคน อุทกภัย สมควรแก่การชื่นชม เพราะเขาได้ทำตามศีลธรรมที่ดีงาม

    อ.จักรกฤษณ์ ถูกต้องเลย

    อ.อรรณพ ตามฐานะของคฤหัสถ์ที่ทำได้ การกระทำอย่างเดียวกัน ถ้าคฤหัสถ์ทำอย่างนี้ดีตามศีลธรรม เพราะไม่มีสิกขาบท ซึ่งเป็นศีลที่ละเอียดกำกับอยู่ เพราะเขาไม่ได้เป็นบรรพชิต แต่ถ้าเป็นพระภิกษุทิ้งประโยชน์ใหญ่ ทิ้งพระวินัย ซึ่งสูงสุด ควรที่จะปลื้มปิติ ควรที่จะอภิรมย์กับศีลของบรรพชิต ทิ้งสิ่งนั้นแล้วไปทำเช่นนั้น แม้คฤหัสถ์ด้วยกัน อย่างตัวอย่างที่ผมพูดไป เราควรจะทำสิ่งที่มีประโยชน์ต่อหน่วยงาน แต่เรากลับไปทำงานอะไร

    อ.จักรกฤษณ์ ใช่

    อ.อรรณพ ที่ไม่ใช่หน้าที่เราโดยตรง ไม่ใช่สาระประโยชน์เรา คนอื่นก็ทำได้หรืออะไรอย่างนี้ ขณะนี้เป็นคฤหัสถ์ด้วยกันยังต่างกัน หรืออย่างอาจารย์เป็นผู้พิพากษา อาจารย์ใช้เวลาที่ทำหน้าที่ตรงนี้ การที่เราไปช่วยอะไรที่เสมียนเขาทำอะไรในเวลานั้น ก็ดูเหมือนกับเราไม่รู้หน้าที่ นี่ขนาดคฤหัสถ์ แล้วถ้าเป็นบรรพชิตจะทำอย่างไร

    อ.จักรกฤษณ์ ก็ยิ่งละเอียด

    อ.อรรณพ คือประชาชนต้องเข้าใจตรงนี้

    คุณสุคิน ไม่ทราบว่าตรงนี้ ตรงกับที่เมื่อสักครู่อาจารย์พูดถึงว่า วินัยของพระภิกษุ เป็นธรรมที่นำสู่การสิ้นของสังสารวัฏฏ์ เมื่อสักครู่ผมเทียบดูว่า เราเหมือนกับเรียก ศีลธรรม แต่ไม่เข้าใจว่าศีลที่พระพุทธองค์บัญญัติ เพื่อให้ ออกจากสังสารวัฏฏ์ แต่ศีลธรรมนี้ไม่ได้เป็นกิจของพระภิกษุ ส่วนกิจของพระภิกษุซึ่งปฏิบัติก็คือ หนึ่งก็คือต้องปฏิบัติตามพระวินัย นั่นเป็นธรรมที่นำสู่การดับของสังสารวัฏฏ์ นั่นคือหน้าที่ของภิกษุ ต้องเห็นคุณค่าของสิ่งนี้มากกว่าสิ่งนั้น ถูกหรือไม่

    ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่าธรรมต้องเป็นธรรม เพราะฉะนั้นธรรมที่เป็นกุศล จะเป็นอกุศลไม่ได้ เพราะฉะนั้นธรรมที่เป็นกุศลที่ได้เข้าใจพระธรรม ก็สามารถที่จะทำให้เข้าใจความละเอียด และประโยชน์ยิ่งของพระวินัย เพราะฉะนั้นการที่จะดำรงเพศบรรพชิต โดยที่ว่าไม่เข้าใจธรรม แล้วไม่เห็นคุณของพระวินัย ไม่สามารถจะเป็นภิกษุได้ เพราะฉะนั้นแม้อาบัติเพียงเล็กน้อย ที่แสดงความต่างระหว่างคฤหัสถ์กับบรรพชิต พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงแสดงไว้ละเอียดยิ่ง เพื่อให้ภิกษุสำนึก

    เพราะฉะนั้นภิกษุกับคฤหัสถ์ต่างกันตลอดเวลา ไม่ใช่เพียงในบางกาล เวลาที่ทำหน้าที่เทศน์อะไรเท่านั้น แต่กาลอื่นก็เหมือนคฤหัสถ์ทุกอย่าง เป็นไปไม่ได้ เท่ากับว่าท่านตายแล้วจากเพศคฤหัสถ์ และมีกำเนิดใหม่โดยศีลของพระภิกษุ

    เพราะฉะนั้นก็เป็นผู้ที่มีกำเนิด เป็นบุตรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งจะต้องศึกษาและก็ประพฤติตาม มิฉะนั้นแล้วจะบวชทำไม เพราะว่าสามารถที่จะขัดเกลากิเลสในเพศคฤหัสถ์ และก็รู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ เพราะฉะนั้นต้องเห็นว่า พระภิกษุต่างกับคฤหัสถ์ที่ศีล ถ้าผิดจากศีล ไม่รักษาศีล ก็คือเหมือนคฤหัสถ์เลย

    อ.อรรณพ เพราะฉะนั้นไปทำความดีที่เป็นศีลธรรมของคฤหัสถ์โดยผิดพระวินัย ก็คือการผิดศีลของพระภิกษุ ซึ่งก็ไม่เหมาะควร เพราะฐานะของภิกษุนี้ก็สูงยิ่ง แล้วไปไปทำในกิจที่ ถามว่าถ้าเป็นชาวบ้านทำดีไม่ ดีสุด ชื่นชมมากเลยที่ไปทำเช่นนี้ ซึ่งก็ช่วยกันอยู่ ระหว่างคฤหัสถ์ด้วยกัน ใช่หรือไม่ เพราะมีศีลที่ละเอียดกำกับ แล้วมีสิ่งที่มีค่าสูงสุดกำกับไว้ แล้วก็ไปล่วงละเมิดล้นออกมา เหมือนกับล้นฝั่งออกไป ก็เป็นสิ่งที่ไม่น่ายินดี ไม่ใช่ความอภิรมย์หรือความยินดี ชื่นชมกับสิ่งที่มีค่าสูงสุดในฐานะบรรพชิต แล้วผมก็ยังคิดว่า

    ประเด็นของคุณสุคิน เข้าใจได้ง่ายๆ ถ้าเราเป็นภิกษุ แล้วเรามีความคิดว่า เราจะต้องไปช่วย แล้วเราต้องผิดวินัยเล็กวินัยน้อย เราไม่เห็นโทษของการจะล่วงสิ่งนี้ เพราะเราอยากจะไปทำศีลธรรม ไปช่วยเหลือ ถ้ามีจิตใจอย่างนั้น คุณจะดีมาก ถ้าคุณมาเป็นคฤหัสถ์ แล้วก็มีกุศลในฐานะเป็นคฤหัสถ์ ไม่มีพระวินัย ไม่มีสิกขาบทอยู่ ใช่หรือไม่

    เพราะฉะนั้นสะท้อนได้เลยว่า ถ้ามีจิตใจที่จะล่วงสิกขาบท ไม่ละอาย ใช่หรือไม่ ก็ไม่ใช่จิตของผู้ที่จะเป็นบรรพชิต แต่ผู้ที่เป็นคฤหัสถ์ก็ทำดีในเพศของเขา อีกอย่างภิกษุจะเผยแพร่พระธรรมวินัย ไม่ไปช่วยสังคม ไม่ไปทำอาหารอะไรแล้ว จะเผยแพร่พระธรรมวินัย แต่ยุคนี้สมัยนี้ ต้องใช้สื่อที่ทันสมัย พระภิกษุสามารถที่จะเผยแพร่พระธรรม โดยใช้สื่อ อย่างเช่น เฟซบุ๊ก ใช้อินเทอร์เน็ต อะไรต่างๆ ได้หรือไม่ จะอาบัติไหม ถ้าอาบัติเล็กน้อยทุกกฏ แต่ประโยชน์ใหญ่กว่าช่วยคนน้ำท่วมด้วย คือที่เราพูดเองว่า เผยแพร่พระธรรมให้คนพ้นจากสังสารวัฏฏ์ แต่เพื่อให้พระธรรมได้เผยแพร่ไปอย่างกว้างไกล จึงจำเป็นต้องใช้สื่อในยุคนี้ ซึ่งพระพุทธเจ้าก็เหมือนได้ตรัสไว้แล้วว่า สิกขาบทอะไรที่ภิกษุเห็นว่า ควรจะปรับเปลี่ยนไปบ้าง ก็แล้วแต่ความเห็นภิกษุ มติของคณะสงฆ์ ไม่ได้ช่วยทำกับข้าวอะไร จะเผยแพร่พระธรรมวินัย แต่จะใช้สื่อสมัยใหม่

    อ.วิชัย การจะใช้สื่อได้ ต้องมีอะไร จึงจะใช้สื่อเหล่านั้นได้

    อ.อรรณพ มีอุปกรณ์

    อ.วิชัย ก็ต้องมีอุปกรณ์ขึ้นมา และอุปกรณ์ที่ได้มา ได้มาจากไหน

    อ.อรรณพ ญาติโยมถวาย

    อ.วิชัย และเป็นสิ่งที่เหมาะควรแก่บรรพชิตหรือไม่ ดังนั้นการเผยแพร่พระธรรม เป็นประโยชน์แน่นอน แต่ก็ต้องแยกแยะระหว่าง การมีอุปกรณ์ต่างๆ ที่พระองค์ไม่ได้อนุญาตเอาไว้ แต่ถ้าการเผยแพร่ การบอกกล่าวให้คฤหัสถ์มีความรู้ความเข้าใจ ซึ่งคฤหัสถ์นี้ก็มีอุปกรณ์เหล่านี้แน่นอน ตามความยินดีพอใจ ที่จะไม่ใช่เป็นบรรพชิตแต่เป็นคฤหัสถ์ก็มี แต่ก็มีอุปกรณ์ต่างๆ สามารถซื้อหามาได้เองทั้งหมดเลย และเมื่อมีความรู้ความเข้าใจจากบรรพชิตที่เป็นพระภิกษุ ที่มีความเข้าใจในพระธรรมวินัย ก็เผยแพร่เลย ในการที่จะทำสื่อต่างๆ สังคมออนไลน์ต่างๆ ให้คนได้กระจาย ให้เกิดความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง แต่พระภิกษุอย่างที่เราสนทนาตั้งแต่แรก ต้องสำนึกตัวเองเสมอว่า เป็นบรรพชิตไม่ใช่คฤหัสถ์

    ดังนั้นการที่จะมีสิ่งของต่างๆ ซึ่งแน่นอนต้องเนื่องด้วยเงินและทอง การได้ใช้อุปกรณ์ต่างๆ เหล่านั้น ค่าใช้จ่ายจากการที่จะใช้ไฟฟ้า ใช้สื่อต่างๆ ก็ต้องมี แล้วเงินต้องมาจากไหน ก็ต้องพิจารณาว่า เป็นการที่จะสะสมโทษ คือการล่วงสิกขาบทข้ออื่นๆ อีกหรือเปล่า ดังนั้นถ้าเป็นผู้ที่มีความสำนึกจริงๆ ว่าเป็นพระภิกษุ ก็จะไม่ประพฤติอย่างนั้น แต่เป็นผู้ที่มีการที่จะศึกษาพระธรรมวินัย จากหนังสือ ตำราต่างๆ ที่มี แล้วก็ศึกษาให้เกิดความรู้ความเข้าใจ และถ้าจะเป็นการเผยแพร่ตามสื่อออนไลน์ต่างๆ ก็สามารถบอกกล่าวให้คฤหัสถ์ได้เกิดความรู้ความเข้าใจให้ถูกต้อง และคฤหัสถ์เหล่านั้น ก็เป็นผู้ที่จะเผยแพร่ตามสื่อต่างๆ ตามที่คฤหัสถ์เขามีวัตถุต่างๆ

    อ.อรรณพ ในเรื่องที่ท่านอาจารย์เคยกล่าวว่า พระเล่นเฟสบุ๊ค ไม่ใช่ผู้สงบ แต่ถ้าเกิดการเผยแพร่พระธรรมให้กว้างขวาง จะไม่เป็นความสงบอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ใจอยากมี ก็ไม่สงบแล้ว

    อ.อรรณพ ใจอยากมี

    ท่านอาจารย์ แค่คิดจะมีก็ไม่สงบ

    อ.อรรณพ แต่เพื่อที่จะเผยแพร่พระธรรม

    ท่านอาจารย์ ไม่ต้องไปเพื่ออะไรทั้งสิ้น เพราะเหตุว่าศึกษาธรรมเพื่อขัดเกลากิเลส เห็นโทษของสังสารวัฏฏ์ เพราะการที่จะเข้าใจธรรมไม่ง่าย ลึกซึ้งอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นถ้าได้ใช้เวลาทั้งหมดที่มีในชีวิต เพื่อที่จะได้ศึกษาพระธรรม ซึ่งยากที่จะเข้าใจ ซึ่งสามารถที่จะช่วยคนอื่น ได้ค่อยๆ พิจารณาได้เข้าใจถูกต้อง เป็นกิจของพระภิกษุโดยตรง เพราะฉะนั้นอยากมี แค่นี้ก็เห็นชัดแล้ว ว่าอยาก ในเมื่อพระภิกษุมีอะไรได้บ้าง ที่จะดำเนินชีวิตในเพศบรรพชิต ที่ทรงอนุญาตไว้ เท่านั้นพอแล้ว ใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นเกินกว่านั้นคืออยาก

    คุณสุคิน ผมดูจากอีกแง่หนึ่ง ตอนที่ฟังอาจารย์วิชัยกล่าวอยู่ว่า ภิกษุทำตามวินัย ดูภายนอกจะเหมือนพระอรหันต์ แล้วพระอรหันต์จะเปิดเฟซบุ๊กหรือ เพราะว่ามันเห็นๆ อยู่

    อ.อรรณพ เป็นวิสัยของของชาวบ้านโดยแท้

    คุณสุคิน เป็นโลภะ ตัวนำ เป็นโมหะ โลภะ เปิดเฟซบุ๊ก เปิดคอมพิวเตอร์

    อ.อรรณพ ผมเองก็จะสะท้อนว่าจริงๆ แล้ว ลึกๆ ในจิตใจของคน ก็รู้ว่าอะไร


    หมายเลข 11000
    24 ก.พ. 2568