009 พระพุทธศาสนาในประเทศไทย


    สนทนาพิเศษ

    เรื่อง พระพุทธศาสนาในประเทศไทย

    ที่ บ้านคุณทักษพล และคุณจริยา เจียมวิจิตร

    วันศุกร์ที่ ๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๐

    ตอนที่ ๙


    อ.อรรณพ คือผมเองก็จะสะท้อนว่าจริงๆ แล้ว ลึกๆ ในจิตใจของคนก็รู้นะว่าอะไร ที่งานเกษตรแฟร์เมื่อปีที่แล้ว งานเกษตรแฟร์ของมหาวิทยาลัยเกษตรก็เป็นที่รู้จักกัน ก็มีผู้มาเดินเที่ยวงาน มีทั้งงานวิชาการ มีทั้งการแสดงผลผลิตทางการเกษตร เครื่องมืออุปกรณ์ แล้วก็ตลาดนัดอะไรทุกอย่าง เพื่อบริการผู้ที่มาเที่ยวงาน ก็มีภิกษุเดินอยู่ เดินแล้วก็เล่นไลน์บ้าง ถ่ายรูปบ้าง อะไรบ้าง ไม่ได้ต่างกันกับคฤหัสถ์เลย ผมก็เห็นนะ เลยนึกถึงว่า ในพระไตรปิฎกท่านถึงกล่าวว่า ชาวบ้านเห็นอย่างนี้ ก็จะเพ่งโทษ ติเตียนโพนทะนาว่า เหมือนคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม นี่สำนวนท่าน ก็คือเห็นเหมือนกับชาวบ้านนี่แหล่ะ เหมือนพวกเรานี่แหล่ะ แต่พวกเรานี่เขาก็ทำงานหากินกันไป ซื้อกันด้วยเงินตัวเอง ก็ไม่ได้เป็นภิกษุอะไร

    แล้วคนที่เขามา ผมก็ได้ยินคนเขาพูดว่า เอ๊ะทำไมพระทำแบบนี้ นี่ชาวบ้านเขาก็เพ่งโทษติเตียนโพนทะนา แม้เขายังไม่เข้าใจพระธรรมวินัยละเอียด แต่เขาก็เห็นว่า สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เหมือนกับผู้ที่ไม่ได้บวชเขาทำกัน เป็นอย่างนี้

    คุณสุคิน ใกล้ๆ ที่ทำงานของผม มีเซเว่นที่ผมไปซื้อของบ่อยๆ ก็มีพระไปซื้อของด้วย ผมศึกษาธรรม ก็รู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร มีอยู่วันหนึ่งมี ผู้หญิงคนหนึ่งอยู่กับลูก เห็นภิกษุมาซื้อกาแฟ เขาไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ เขายังถามเลย ภิกษุทำแบบนี้ได้หรือ

    อ.อรรณพ ชาวบ้านเพ่งโทษติเตียนโพนทะนา ว่าเหมือนกับคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม คำนี้เป็นจริง ในทุกยุคที่มีภิกษุผู้ทุศีล

    อ.จักรกฤษณ์ คำนี้ถ้าเป็นสมัยรัชกาลที่หนึ่ง ท่านว่าไว้เมื่อสักครู่ โจรปล้นทำลายพระศาสนา ที่ไปเดินตลาด ดูสีกา ไปทำอะไรที่ไม่สำรวมอินทรีย์ ท่าน กล่าวไว้เลยว่า เป็นโจรปล้นทำลายพระศาสนา

    อ.อรรณพ ทำให้คนเสื่อมความนับถือ

    อ.จักรกฤษณ์ ไม่เหลือความเป็นภิกษุเลย แล้วก็ทำให้พระศาสนาเสื่อมด้วย ตรงนี้สำคัญมาก เพราะว่าตัวของท่านเองก็คงจะไม่ได้ทำประโยชน์อะไรกับตัวเองอยู่แล้ว แต่ยังทำให้พระศาสนาเสื่อม เพราะว่าสิ่งที่จะมีคุณค่าให้กับชาวบ้าน ให้กับชาวพุทธคงไม่มี เพราะว่าประพฤติปฏิบัติทำให้เขาก็มองว่า นี่หรือพระพุทธศาสนา มีพระภิกษุอย่างนี้ ก็ไม่ทำให้เกิดความศรัทธา ไม่ทำให้เกิดความเลื่อมใส ทำลายพระศาสนา เพราะว่ามีสิบประการที่ท่านตรัสถึงประโยชน์ของพระศาสนา ข้อสุดท้ายก็คือ ทำให้พระวินัยมั่นคง อย่างนี้ทำลายพระวินัย แล้วพระธรรมวินัยคืออะไร พระธรรมวินัยก็คือพระศาสดาแทนพระพุทธองค์ ทำลายพระศาสนา ทำลายพระศาสดา ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เห็นอย่างนี้ นึกว่าเป็นตามยุคตามสมัย มีมือถือมีอะไรต่างๆ ถ้าผิดพระวินัยเมื่อไร นั่นคือทำลายพระศาสนา ทำลายพระศาสดา

    อ.อรรณพ ลองคิดดู อย่างที่คุณสุคิน เล่าเรื่องซื้อของในร้านสะดวกซื้อ ขนาดคนที่เขาไม่ได้นับถือพุทธศาสนา เขายังเห็นเลยว่า ไม่เหมาะควร ผมว่าน่าสะกิดใจ น่าที่จะเป็นปัจจัยให้เกิดความละอาย ที่จะไม่ประพฤติล่วงพระวินัย แล้วจะอ้างว่าสิกขาบทเล็กน้อย หรืออะไรก็ไม่สมควรอย่างยิ่ง ไม่ใช่เป็นการกระทำของภิกษุในพระธรรมวินัยนี้จริงๆ

    เพราะฉะนั้นที่เราสนทนา เรื่องพระวินัย ก็เป็นคำตอบหนึ่งว่า พระพุทธศาสนาในประเทศไทย ในส่วนของการประพฤติปฏิบัติ หรือไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย เป็นอย่างไร นี่ก็เพียงแค่บางส่วนที่เป็นส่วนของพระวินัย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นแทนที่จะยินดีในพฤติกรรมอย่างคฤหัสถ์ คือทำทุกอย่าง ช่วยชาวบ้าน ทำครัวด้วย เกี่ยวข้าวหรืออะไรก็ตามแต่ คฤหัสถ์น่าจะอนุโมทนายินดี เมื่อภิกษุไม่กระทำสิ่งนั้น และประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย แต่เพราะเหตุว่าไม่เข้าใจคุณค่าของการเป็นพระภิกษุในธรรมวินัย ก็คิดว่า ภิกษุสมควรอย่างยิ่งที่จะทำกิจอย่างคฤหัสถ์ ไม่ว่าจะเรื่องของเครื่องอุปกรณ์สมัยใหม่ในการเผยแพร่ หรือว่าในการที่จะทำสิ่งต่างๆ ซึ่งคิดว่าทำได้ แต่ความจริงทำไม่ได้ เพราะเหตุว่าได้สละการติดข้องจากเพศคฤหัสถ์สู่เพศบรรพชิต

    เพราะฉะนั้นก็มีแค่ศึกษาธรรม ซึ่งชาวบ้านก็อนุโมทนาอย่างยิ่ง ที่ว่าท่านสามารถที่จะศึกษาธรรมได้ และก็ประพฤติปฏิบัติตามพระวินัยได้ แต่ไม่ใช่มาทำกิจอย่างคฤหัสถ์

    อ.อรรณพ ดังนั้นการกระทำ ที่ดีของคฤหัสถ์ อาจจะไม่ใช่เป็นการกระทำที่ถูกต้องตามพระวินัยของบรรพชิต เพราะว่าของคฤหัสถ์คือ ศีลธรรมอันดี ไม่ได้มีพระวินัยกำกับ ต้องเข้าใจให้ได้ มิฉะนั้นจะเห็นว่าการที่มูลนิธิมากล่าวแสดงเช่นนี้ เหมือนกับเป็นการไม่เอื้อเฟื้อ ไม่ช่วยเหลือผู้ประสบความยากไร้ ภิกษุก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคมก็ต้องช่วย ภิกษุต้องช่วยเหลือ ผมว่าเข้าใจได้นะ ถ้าท่านฟังดีๆ ถ้าเราฟังไม่เข้าใจก็จะรู้ว่า ความถูกต้องคืออะไร ที่เหมาะกับเพศ ก็เป็นบรรพชิตหรือเป็นคฤหัสถ์ ไม่ใช่ว่า

    อย่างที่อาจารย์จักรกฤษพูดชัดแล้ว คิดว่าเราไปเอาความดีศีลธรรมทั่วไป แล้วก็ภิกษุก็ต้องทำอย่างนี้เหมือนกัน ภิกษุดียิ่งกว่านั้น คือมีศีลที่ขัดเกลามาก ที่จะทำให้ไม่ใช่แค่ว่าพ้นภัย หรือว่าบรรเทาสาธารณภัย น้ำท่วม อะไรอย่างนี้ไปเท่านั้น แต่จะพ้นภัยคือ พ้นภัยจากการที่จะต้องมาเกิด แล้วก็ไม่ต้องมาพบกับพิบัติภัยอะไร ไฟไหม้ น้ำท่วม ทุพภิกขภัย ไม่ต้องแล้ว สูงที่สุด ใครๆ ที่ไม่ได้เข้าใจธรรม ก็ไม่สามารถที่จะแสดงได้ แต่แม้จะคิดว่า จะอ้างว่าจะแสดงธรรมวินัย แล้วก็ใช้สื่อสมัยใหม่ อย่างเฟสบุ๊ค อะไรอย่างนั้นก็เป็นที่ชัดเจน แต่อยากจะถามอาจารย์วิชัยสักนิดหนึ่ง ถ้าเขาอ้างว่า พระพุทธเจ้าก็แสดงไว้ว่า สิ่งที่เข้ากับสิ่งสมควรก็สมควร เรื่องอุปกรณ์เหล่านี้ ที่เราจะมาใช้ในการเผยแพร่พระธรรม จะมีโอกาสสงเคราะห์เข้าในสิ่งที่ควรหรือไม่

    อ.วิชัย ต้องแยกกัน ระหว่างการแสดงธรรม คือการประกาศเผยแพร่ กับการมีวัตถุที่เหมาะสม สมควรหรือเปล่า เพราะฉะนั้นถ้าจะมีคนมาฟังธรรม มีการแสดงธรรมเหมือนสมัยครั้งพุทธกาล ที่พระวิหารเชตวัน ก็มีการแสดงธรรม แต่ไม่มีวัตถุอย่างคฤหัสถ์อย่างนี้ ไม่มีมือถือ ไม่มีแท็บเล็ตอะไรต่างๆ ที่จะนำมาซึ่งการต้องมีเงินทอง ในการที่ต้องมาใช้จ่ายในอุปกรณ์เหล่านี้ด้วย

    อ.อรรณพ แม้แต่ตัวอุปกรณ์ ถ้าจะบอกว่า เอามาเผยแพร่พระธรรมเท่านั้น ไม่ดูหนังฟังเพลง ไม่ดูอะไร ข่าวก็ไม่ดู จะมาเผยแพร่พระธรรมเท่านั้น อุปกรณ์นั้นจะสงเคราะห์เข้ามาสิ่งที่สมควร ได้หรือไม่

    อ.วิชัย ถ้าคิดถึงว่า การที่เป็นภิกษุคือเป็นเพศที่สละ ดังนั้นถ้าเป็นวัตถุต่างๆ ที่ไม่ได้เกื้อกูลต่อการที่จะดำรงชีพที่เป็นอยู่ อย่างเป็นผู้ที่สละแล้ว สิ่งนั้นก็ไม่สมควร

    อ.อรรณพ มีเสียงสะท้อนจากคฤหัสถ์ ที่เขาอยากให้ภิกษุใช้สื่อเหล่านี้ได้เพราะเขาบอกว่า เห็นด้วยที่จะให้พระใช้สื่อเหล่านี้ได้ เขาจะได้ฟังธรรมได้สะดวก ผ่านสื่อเหล่านี้ได้ ชาวบ้านบางส่วนเข้าใจอย่างนั้น จะให้ความเข้าใจที่ถูกต้องเขาให้ชัดเจนอย่างไร นี่คือในส่วนของคฤหัสถ์ ที่อยากจะฟังธรรมผ่านสิ่งต่างๆ จากภิกษุ

    อ.วิชัย ก็ต้องพิจารณา ว่าสิ่งนั้นเมื่อมีแล้ว หมายถึงว่ามีการที่จะเข้ากัน อย่างที่อาจารย์กล่าว จากสิ่งที่พระองค์ไม่ได้บัญญัติว่าควร แต่ว่าถ้าเข้ากับสิ่งที่ควร ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร สิ่งนั้นจึงควรได้ แต่ถ้าพิจารณาถึงสิ่งเหล่านี้ คือเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ของคฤหัสถ์ เป็นสิ่งที่เมื่อมีแล้ว ก็ต้องมีการที่จะมีเงินทอง ในการที่ต้องมาใช้ตรงนี้ด้วย

    อ.อรรณพ บางคนก็อ้างดื้อๆ ว่าไปเอาข้อความในพระไตรปิฎกมา ว่า ใช้คอมพิวเตอร์ไม่ได้ ใช้เฟสบุ๊คไม่ได้ ใช้อะไรไม่ได้ ไม่เห็นมีข้อความเหล่านี้ เขาก็เลยเหมือนกับเป็นช่อง ให้อ้างได้ว่า สมควรที่จะมีสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้ เอามาใช้ในการเผยแพร่พระศาสนา

    อ.วิชัย ดังนั้นเรื่องของกิเลส ความยินดี ความติดข้อง พอใจ ถ้าไม่เข้าใจทั้งธรรมและวินัย จะไม่เห็นอกุศลเหล่านั้นเลย ความยินดีพอใจที่มีสิ่งเหล่านี้ มันก็จะค่อยๆ พอกพูนขึ้น แล้วอำนาจของความโลภ ความติดข้อง จะไม่พอแค่นี้จะไม่มีข้ออ้างที่กล่าวถึงการเผยแพร่ธรรม จริงๆ แล้ว การเผยแพร่ การประกาศธรรมโดยไม่ต้องมีสื่อเหล่านี้ ก็สามารถประกาศเผยแพร่ได้ ที่จะให้คฤหัสถ์ เป็นผู้มีหน้าที่ในการเผยแพร่ต่อๆ ไป ดังนั้นการที่จะกล่าวอ้างว่า เพื่อเผยแพร่โดยเพื่อจะมีสิ่งเหล่านี้ เหมาะสมหรือเปล่า เป็นใคร เห็นหรือไม่ ที่สำคัญคือเป็นใคร เป็นคฤหัสถ์หรือว่าเป็นพระภิกษุ

    อ.อรรณพ กราบท่านอาจารย์ครับ ที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า แค่อยากจะมี อุปกรณ์ อยากจะทำเฟซบุ๊ก อยากทำอะไร ขณะนั้นก็ไม่สงบแล้ว เป็นความละเอียดมาก เพราะถ้าไม่ได้เข้าใจธรรมว่า จิตขณะนั้นเป็นไปด้วยความติดข้องต้องการ เป็นอกุศลก็จะต้องมีสภาพที่ไม่สงบ เพราะฉะนั้นเขาก็จะไม่เห็นเลย คือจะกราบเรียนท่านอาจารย์ว่า ถ้าไม่เข้าใจความเป็นธรรม ยากที่จะมีความเห็นประโยชน์ ที่จะรักษาพระวินัย

    ท่านอาจารย์ และต้องเข้าใจความลึกซึ้งด้วย ภิกษุคือใคร ผู้สละ คำนี้คำเดียวตลอดชีวิต ไม่ใช่ว่าสละเพศคฤหัสถ์แล้ว ยังอยากมีอุปกรณ์ต่างๆ นี่ก็แสดงให้เห็นเลยว่า ไม่ตรงกับการที่บวชเป็นพระภิกษุ เพราะว่าต้องการ เพื่ออะไร เพียงแค่อยากคำเดียว อยากมี ขัดเกลาหรือเปล่า เพราะว่าชีวิตของบรรพชิตดำรงอยู่ได้ ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรู้ว่า กิเลสของคนก่อนจะบวชมากแค่ไหน

    เพราะฉะนั้นการที่จะขัดเกลา ก็ต้องศึกษาให้เข้าใจธรรม และความเข้าใจธรรมต่างหาก ที่สามารถจะทำให้เห็นคุณค่าของการที่เป็นเพศบรรพชิต ที่มีชีวิตที่สะอาดดุจสังฆะ สังก็ขาวอยู่แล้ว และยังต้องขัดละออง ที่อาจจะมาเปื้อนในแต่ละวัน ซึ่งละเอียดมาก ด้วยเหตุนี้ชีวิตของพระภิกษุ เหมือนกับว่าเห็นภัยจริงๆ ในการที่จะมีกิเลส ซึ่งนำมา เพราะความไม่รู้ และความติดข้อง

    เพราะฉะนั้นถ้าภิกษุใด ไม่เห็นความไม่รู้กับความติดข้อง ก็ไม่สามารถที่จะละได้ ด้วยเหตุนี้สละคือสละ มีชีวิตอย่างพระภิกษุได้หรือไม่ ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ ว่าต้องมีอะไรบ้างที่จะสามารถดำเนินชีวิตไปได้ แค่นั้นพอไหม ถ้าไม่พอก็ไม่ใช่บรรพชิต เพราะฉะนั้นจะมีโน่น มีนี่ มีนั่น อีกเท่าไร แสดงว่าไม่พอ ใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วก็คือว่า ไม่ใช่ผู้ที่เป็นพระภิกษุ ที่จะสละชีวิตคฤหัสถ์

    อ.อรรณพ เพราะฉะนั้นฟังไป ข้อสรุปแก่นหลักเลยก็คือ มีความเข้าใจธรรมถูกต้อง ละเอียดลึกซึ้งหรือไม่ เพราะถ้ามีความเข้าใจถูกต้อง ละเอียดลึกซึ้งในธรรม ในข้อปฏิบัติ ที่ไม่ใช่ไปทำ ไปจดจ้อง แล้วเข้าใจความละเอียดของพระวินัย ผู้ที่เข้าใจอย่างนั้นแล้ว ก็จะมีสองส่วน คือส่วนหนึ่งรู้อัธยาศัยของตัวเอง จึงไม่บวช และเป็นคฤหัสถ์ที่อบรมเจริญกุศลต่างๆ

    ท่านอาจารย์ ต้องเห็นความต่างกันชัดเจน ระหว่างภิกษุกับคฤหัสถ์ มิฉะนั้นไม่มีความต่างเลย เพราะฉะนั้นเมื่อเห็นความต่างอย่างชัดเจน พระภิกษุดำเนินชีวิตอย่างบรรพชิต คฤหัสถ์อนุเคราะห์โดยการถวายปัจจัย ที่จะให้ท่านสามารถที่จะดำรงอยู่ในเพศบรรพชิต ในขณะเดียวกัน ภิกษุก็ต้องสำนึก เราไม่ใช่คฤหัสถ์

    เพราะฉะนั้นคฤหัสถ์มีอะไร ท่านสละแล้ว ท่านสละความบันเทิง หรือสละการที่จะต้องมีวัตถุสำหรับเผยแพร่ต่างๆ เพราะเหตุว่าคนอื่นคือ คฤหัสถ์สามารถที่จะรับภาระทำสิ่งนั้นได้ เพียงแต่ว่าเขาไม่มีความเข้าใจธรรม ซึ่งเขาเองก็ไม่มีเวลาที่จะศึกษาอย่างภิกษุ อย่างตั้งแต่เช้าจนค่ำ ตั้งแต่ตื่นจนหลับได้ กิจธุระของภิกษุคือ ศึกษาธรรม คันถธุระ เมื่อมีความเข้าใจธรรมแล้ว ก็สามารถนำไปสู่วิปัสสนาธุระ

    เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีความเข้าใจอย่างนี้ คฤหัสถ์ก็ไม่เข้าใจเลย ต่างคนก็ต่างทำอะไร ซึ่งไม่ใช่ตามธรรมวินัย แล้วก็ไปชื่นชมกับชีวิต ซึ่งเป็นบรรพชิต แต่ทำกิจของคฤหัสถ์ ซึ่งถ้าเป็นคนที่รู้พระวินัยจริงๆ และรู้จักพระภิกษุจริงๆ ชื่นชมในพระภิกษุที่กระทำกิจของพระภิกษุ แล้วก็ถ้าคฤหัสถ์เข้าใจธรรม คฤหัสถ์นั้นก็มีคุณความดีที่จะเกื้อกูล ช่วยเหลือกัน ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ดี ที่คฤหัสถ์สามารถจะทำได้

    ด้วยเหตุนี้ ความเข้าใจธรรม นำไปสู่กุศลทุกประการ ซึ่งในเพศของคฤหัสถ์ ทำทุกอย่างเพิ่มขึ้นที่เป็นกุศล ที่จะอนุเคราะห์พระศาสนา ในขณะเดียวกันฝ่ายภิกษุที่เข้าใจ ก็ทำกิจของพระภิกษุเพิ่มขึ้น ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นจึงมีพุทธบริษัทคือ ภิกษุและอุบาสก อุบาสิกา

    คุณสุคิน ผมเข้าใจถ้ามีอุบาสก อุบาสิกา ที่มีศรัทธาต่อภิกษุ ผู้สอนธรรมที่เข้าใจว่าสอนถูก แล้วก็อยากจะเอาไปเผยแพร่ให้คนอื่น พวกเขาอาจจะรับหน้าที่อัดเทป แล้วก็ไปให้ แต่คงไม่ได้เป็นความคิดของภิกษุว่า จะให้เขามาอัดเพื่อที่จะไปให้คนอื่น ใช่หรือไม่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นภิกษุมีหน้าที่ละ ไม่ได้ต้องการอะไรเลยทั้งสิ้น แม้แต่การที่ให้คนอื่นได้เข้าใจธรรม ก็คือการละความติดข้อง ไม่ได้หวังอะไรเป็นเครื่องตอบแทนเลยทั้งสิ้น เขาจะทำอะไรหรือไม่ทำอะไร ก็เป็นภาระของเขา แต่กิจของภิกษุคือให้สิ่งที่เป็นประโยชน์ นั่นคือการละความเห็นแก่ตัว หรือว่าจะไม่กระทำกิจของพระศาสนา

    อ.วิชัย จริงๆ แล้วครับ อุบาสก อุบาสิกาก็ตาม ถ้าเห็นคุณของพระธรรม ก็ยิ่งกระทำกิจในการเผยแพร่ โดยการที่คฤหัสถ์สามารถที่จะมีสื่อต่างๆ ที่จะเผยแพร่ให้กว้างขวางยิ่งขึ้นได้

    ท่านอาจารย์ ภิกษุไม่ต้องทำอะไรเลย นอกจากรักษาพระวินัยอย่างมั่นคง

    อ.อรรณพ นั่นคือการกระทำที่สูงสุด ที่ว่าไม่ได้ทำอะไรเลย คือการกระทำที่สูงสุด

    ท่านอาจารย์ ไม่ต้องทำกิจของคฤหัสถ์อีกเลย

    อ.จักรกฤษณ์ ตรงนี้ประเด็นสำคัญว่า เราคุยกันกว้างๆ แต่ถ้ารู้ว่าตัวเฟซบุ๊ก ทำอะไรได้บ้าง เราจะรู้ว่า ไม่ใช่แค่เผยแพร่อะไรธรรมดา เพราะว่ามันคือการติดต่อสื่อสาร ที่ชาวบ้าน นักเทคโนโลยีเขาคิดตัวนี้ขึ้นมา เพื่อจะให้มีการสื่อสารออกไปเยอะๆ ติดต่อพูดคุย เห็นภาพ เห็นอะไรหมด นี่มันไม่ใช่ระบบธรรมดา คือมีเรื่องราวต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นจากตัวนี้เยอะ ซึ่งเฟซบุ๊กนี้เป็นหนึ่งในประมาณห้าอย่างของโซเชียลมีเดีย มีเฟสบุ๊ค มีไลน์ ทวิตเตอร์ อินสตาแกรม พวกนี้เป็นเครื่องมือสื่อสารที่เขาคิดมา ให้สื่อสารกัน

    ถ้าเทียบดูพระวินัย เวลาติดต่อสื่อสารก็มีพระวินัย ที่บัญญัติในเรื่องที่พระสงฆ์จะมีปฏิสัมพันธ์กับ ไม่ว่าจะเป็นอุบาสก อุบาสิกา สมัยก่อนมีภิกษุณีก็มี พระวินัย เพื่อที่จะขัดเกลาการติดต่อสื่อสารปฏิสัมพันธ์อย่างละเอียด และเครื่องมือสื่อสารปัจจุบัน มีวิวัฒนาการที่ไปไกลมาก เพราะจะติดต่อได้ง่ายมากกว่าสมัยก่อน

    การที่จะทำให้เกิดกิเลสอกุศลอะไรต่างๆ มากทีเดียว ในเรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าจะได้คุยกันโดยละเอียด แต่ว่าอย่างไรก็ตาม แม้ในเมื่อ ๑๐ ปีที่แล้ว ยังไม่มีพวกเครื่องมือสื่อสารพวกนี้ แต่ก็จะมีการจัดรายการวิทยุ ใช่หรือไม่ ก็มีภิกษุที่ท่านจัดรายการวิทยุต่างๆ มหาเถรสมาคมก็ยังออกกฏมา เพราะว่าการจัดรายการ ตั้งใจว่าจะเผยแพร่พระศาสนา แต่ไปๆ มาๆ กลับเป็นการเรี่ยไรเพื่อที่จะทำบุญ และก็มีกรณีหนึ่ง ซึ่งมหาเถรสมาคมได้ออกมติ เรื่องการจัดรายการวิทยุโทรทัศน์เผยแพร่พระพุทธศาสนาไว้ว่า ส่วนใหญ่ตั้งใจที่จะมาเผยแพร่พระธรรม แต่กลับเป็นการเรี่ยไรมากกว่าการสอนหลักธรรม

    นอกจากนั้นบางรายการยังเปิดโอกาสให้มี ผู้ที่โทรศัพท์เข้าไปปรึกษาปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะมีสุภาพสตรีโทรศัพท์เข้าไปปรึกษาปัญหาหัวใจด้วย นี่ปี ๔๓ ท่านต้องออกเป็นมตินี้มา ขณะนั้นการติดต่อสื่อสาร ก็ได้เพียงแค่การโทรศัพท์พูดคุยกัน ตอนนี้ถ้าเป็นเฟซบุ๊ก เป็นไลน์ ทำได้ ๒๔ ชั่วโมง ทำเมื่อไรก็ได้ ไม่มีใครรู้ สองต่อสอง กับอีกฝ่ายหนึ่งก็ได้ เรื่องนี้จะเกิดความสงบขึ้นมาได้อย่างไร แล้วก็สุ่มเสี่ยงต่อการละเมิดพระวินัยเป็นอย่างมาก ดังนั้นตรงนี้ เป็นอะไรที่ชัดเจนว่า ไม่ใช่เลย อย่างที่คุณสุคินว่า ถ้าเป็นพระอรหันต์ ท่านจะมีพวกนี้หรือไม่

    อ.อรรณพ ประดุจพระอรหันต์ ท่านจะใช้อุปกรณ์หรือไม่

    อ.จักรกฤษณ์ ใช่ ท่านจะใช้พวกนี้หรือไม่ ก็น่าคิด ซึ่งตรงนี้น่าจะเป็นเรื่องที่คุยในรายละเอียดต่อไป

    ท่านอาจารย์ ถ้าอะไรก็ตามที่เป็นไป ไม่ใช่เป็นความสงบ และก็ไม่สละจากเพศคฤหัสถ์ อย่างนั้นก็คือว่าไม่ใช่บรรพชิต ไม่ว่าอะไรก็ตามแต่ แม้แต่ความยินดีที่เกิดขึ้น ขณะนั้นต้องเป็นผู้ที่รู้ และรู้วิธีว่า จะขัดเกลากิเลสนั้นได้อย่างไร ไม่ใช่ยิ่งไปเพิ่มพูนกิเลส และคิดว่าเป็นสิ่งที่สมควรที่จะเผยแพร่ไป โดยทางที่ไม่สมควร แต่เข้าใจว่าสมควร

    อ.อรรณพ เพราะฉะนั้นที่เราคุยกันเรื่องพระพุทธศาสนาในประเทศไทยแล้วคือทั่วโลก ในส่วนของพระธรรม หลักก็คือหนทางข้อปฏิบัติ ก็สนทนากันมาพอสมควร เรื่องพระวินัยอีก ก็เยอะแยะมากมาย สรุปก็คือไม่เป็นไปตามพระธรรมวินัย

    ท่านอาจารย์ เพียงเข้าใจว่า สละคำเดียว ตอบปัญหาได้ทุกปัญหา

    อ.อรรณพ ถ้าเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่สละก็คือว่า ไม่ใช่บรรพชิต ไม่ใช่สมณะ

    อ.วิชัย ขออนุญาตสักนิดที่อาจารย์จักรกฤษกล่าวถึง เรื่องของการใช้สื่อต่างๆ ก็เป็นการที่สื่อสาร มันจะเป็นเรื่องของความคลุกคลี พระผู้มีภูมิภาคที่จะแสดงธรรม เพื่อให้เว้นจากการคลุกคลี

    ท่านอาจารย์ ไม่สละ คลุกคลีคือไม่สละ

    อ.วิชัย พอใจที่จะเกี่ยวข้อง

    ท่านอาจารย์ สละวงศาคณาญาติ รวมทั้งมิตรสหายด้วยหรือเปล่า เครื่องบันเทิงทุกชนิด ทุกอย่างที่เคยเป็นที่พอใจ สู่เพศบรรพชิต เพื่อขัดเกลากิเลส เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่ตรงกันข้าม ที่ไม่ได้สละ ก็คือเพศคฤหัสถ์

    อ.อรรณพ เป็นคำตอบสุดท้ายจริงๆ ที่จะหมดปัญหาทั้งหลาย ถ้ามีความเข้าใจว่า สละคืออะไร แล้วสละในเพศที่ต่างกันด้วย เพราะฉะนั้นสละในเพศบรรพชิต จะมีความละเอียดกว่า การสละของในเพศคฤหัสถ์อย่างไร ในเมื่อคฤหัสถ์ก็ต้องสละกิเลส บรรชิตก็ต้องสละกิเลส

    ท่านอาจารย์ สละกิเลส ใหญ่หรือไม่

    อ.อรรณพ ใหญ่

    ท่านอาจารย์ นั่นคือจุดประสงค์ของการที่จะเป็นบรรพชิต เป็นพระภิกษุในพระธรรมวินัย เพื่อขัดเกลากิเลส จนกว่าจะดับกิเลสได้ นี่เป็นไปตามกิเลส เพราะฉะนั้นก็ไม่ได้สละกิเลส

    อ.วิชัย ก็เป็นสิ่งที่ละเอียด ถ้าไม่มีความรู้ในพระวินัย และพระธรรมเพียงพอ จะไม่เห็นโทษของความไม่รู้ เพราะว่าอกุศลย่อมไม่เห็นโทษของความเป็นอกุศล ดังนั้นการกล่าว ก็เพื่อประโยชน์ให้ได้มีความเข้าใจให้ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นบรรพชิตก็ตาม หรือว่าคฤหัสถ์ก็ตาม

    ท่านอาจารย์ ถ้าจะสำนึกว่าเป็นบรรพชิต คือต้องประพฤติตามพระวินัยทุกข้อ เห็นอาบัติเล็กน้อยว่าเป็นโทษ ซึ่งจะนำมาซึ่งอาบัติใหญ่ การบวช เพราะไม่รู้ ใช่หรือไม่ จึงบวชเพื่อรู้ เพราะฉะนั้นก็ต้องมีผู้รู้ที่จะให้ความรู้ เพราะฉะนั้นการศึกษาก็คือ ศึกษาจากผู้รู้ ซึ่งให้ความรู้ ไม่ใช่ต้องไปทำอย่างอื่น ไม่ใช่ต้องไปเพิ่มความอยาก แล้วคนนั้นเอง เป็นคนที่รู้ว่ามีความต้องการหรือเปล่า ขัดเกลาหรือเปล่า


    หมายเลข 11001
    24 ก.พ. 2568