แสงสว่างคือปัญญา *
อ.คำปั่น กราบท่านอาจารย์ครับ ในช่วงนี้ได้ฟังในเรื่องของ สิ่งที่ควรทำกับสิ่งที่ไม่ควรทำ ก็เหมือนกับถ้าหากว่าไม่ฟังด้วยความละเอียดจริงๆ ก็จะเข้าใจไม่ถูกต้อง ทางที่จะรู้ว่า อะไรเป็นสิ่งที่ควรทำ กับอะไรเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ คืออย่างไร เพราะถ้าหากว่าไม่เข้าใจอย่างถูกต้อง ก็จะเข้าใจผิด สำคัญผิดในสิ่งที่ไม่ควรทำ ว่าเป็นสิ่งที่ควรทำ
ท่านอาจารย์ ก็มีบางท่าน ท่านไม่รับประทานอาหารเย็น อาหารกลางวัน รับประทานแต่อาหารเช้า เพราะได้ยินว่ารักษาศีลอย่างนี้ดี เหมือนฤาษีชีไพรไหม จะมีประโยชน์อะไร การทำสิ่งที่เป็นไปด้วยความต้องการ ด้วยความไม่รู้ ไม่เป็นเหตุเป็นผล เพราะฉะนั้นไม่ใช่คำสอนของสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ต้องไม่ลืมคำสอนทุกคำ ที่ได้ตรัสไว้ดีแล้ว ต้องสอดคล้องกันทั้งหมด
ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เป็นเราทำหรือเปล่า แต่กิจที่ควรทำ กิจของอะไร เห็นไหม ต้องสอดคล้องกันด้วย ไม่ใช่ให้เราทำกิจนี้ ไปร่ำไปเรียน ไปพยายาม ไปขวนขวาย ด้วยความเป็นเรา เพราะฉะนั้นกิจที่ควรทำ กิจของธรรมอะไร ก็ต้องเป็นธรรมที่เป็นปัญญา
เพราะฉะนั้นกิจที่ควรทำ ไม่ใช่ไปทำให้ไม่รู้ แต่ว่ากิจที่ควรทำก็คือว่า มีความไม่รู้อยู่แล้ว และยังคงไม่รู้ต่อไป ถ้าไม่รู้ว่าอะไรขณะนั้นทำกิจ อกุศลก็ทำกิจของอกุศล กุศลก็ทำกิจของกุศล แลกกันไม่ได้เลย ปรองดองกันก็ไม่ได้ ใช่ไหม เวลาอกุศลเกิด จะให้มีกุศลมาร่วมด้วย ทำกิจการงานในขณะนั้นด้วย ก็เป็นไปไม่ได้
เพราะฉะนั้นให้เข้าใจคำแรกอย่างมั่นคง ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ตราบใดที่ยังไม่เป็นธรรม ก็แสดงให้เห็นว่า ปัญญายังไม่สามารถรู้ความจริงของสิ่งที่มี เมื่อสักครู่นี้พูดถึงอวิชชา เดี๋ยวนี้มีไหม เยอะไหม เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่าอวิชชาคือ ขณะที่ไม่สามารถที่จะรู้ความจริง ของสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วก็ไม่รู้ทั้งวัน ไม่รู้มานานแสนนาน
เพราะฉะนั้นปัญญาต่างกับอวิชชา เพราะเหตุว่าปัญญาเข้าใจถูกตามความเป็นจริง แต่ปัญญาเกิดเองไม่ได้แน่นอน เพราะฉะนั้นกิจที่ควรทำ ไม่ใช่ไปทำอย่างอื่น นอกจากปัญญาทำ ไม่ใช่เราทำ ให้รู้ว่าคือเข้าใจจากการฟัง แล้วกิจของปัญญาก็คือ สามารถเข้าถึงคำแต่ละคำ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว เช่นอวิชชา ขณะนี้ไม่เห็นจิตเกิดดับเลย อะไรก็ไม่เกิดดับสักอย่าง เหมือนเดิมทุกอย่าง แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา เข้าใจหรือไม่ นั่นคือปัญญา ไม่ใช่เรา ฟังต่อไป เข้าใจขึ้นอีกว่า อวิชชามืดมากแค่ไหนวันนี้ ตั้งแต่ลืมตาก็มืดแล้ว ใช่ไหม แล้วก็มืดมาเรื่อยๆ จนกว่าเมื่อไรที่เข้าใจธรรม เมื่อนั้น ขณะนั้นก็ไม่มืด แต่ขณะนั้นจะมากหรือจะน้อย และจะมาจากไหน
เพราะฉะนั้นกิจของปัญญาก็คือว่า เข้าใจถูกต้อง จากการที่ไตร่ตรอง และเข้าใจถูกตามความเป็นจริง จนกระทั่งเรากล่าวว่า ปัญญาเป็นแสงสว่าง ถ้าไม่มีความเข้าใจเกิดขึ้นเลย พูดอย่างนี้ได้ไหม ว่าปัญญาคือแสงสว่าง ก็ยังมืดๆ อยู่อย่างนี้ แล้วจะบอกว่าปัญญาคือแสงสว่าง แต่เมื่อมีความเข้าใจเกิดขึ้น ขณะนั้นก็คือว่ามีแสงสว่าง จะมากจะน้อย จะสลัวสักเท่าไร ก็ยังต่างกับอวิชชา
เพราะฉะนั้น เวลาที่ปัญญาสะสมเพิ่มพูนขึ้น ทำกิจของปัญญา จนกระทั่งสามารถรู้ความจริง ของสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ได้ คิดดู เห็นขณะนี้เกิดดับ อวิชชารู้ไม่ได้ ฟังไปเท่าไรก็เพียงแค่เริ่มเข้าใจๆ ๆ ขั้นปริยัติ จนกว่าสามารถที่จะถึงขณะที่ ปัญญาคือแสงสว่าง ซึ่งนำมาสู่การประจักษ์แจ้งความจริง ของสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ที่เกิดดับ ถ้าไม่สว่างระดับนั้น ไม่สามารถที่จะประจักษ์ได้ ว่าขณะนี้สภาพธรรมหนึ่งเกิด และดับทีละหนึ่ง เพราะฉะนั้นปัญญาคือแสงสว่าง นำทางจากขั้นฟัง และเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ มาสู่การถึงการเข้าใจ สิ่งที่กำลังปรากฏที่กำลังเกิดดับ อริยสัจธรรม
อ.วิชัย กราบท่านอาจารย์ครับ ในเบื้องต้นของการเข้าใจพระธรรม ก็ทราบตามความเป็นจริง ตามที่พระองค์แสดงว่า สภาพแต่ละประเภท อย่างเช่นนามธรรมแต่ละประเภทเกิดขึ้น ก็กระทำกิจของตน อย่างเช่นเมื่อสักครู่ที่ท่านอาจารย์กล่าวถึงอวิชชา ก็ต้องมีกิจของอวิชชาคือ ปกปิด ไม่ให้สามารถเข้าใจถูกตามความเป็นจริงได้ ซึ่งตรงกันข้ามกับปัญญา ซึ่งเหมือนแสงสว่างที่แสดงให้เห็นตามความเป็นจริง
แต่ท่านอาจารย์ครับการที่จะมั่นคง ที่จะเข้าใจอย่างนี้ว่า อวิชชาก็ต้องเกิดแน่เป็นปกติ แต่ความมั่นคงที่จะเข้าใจตามความจริงว่า ไม่มีเราจริงๆ ที่จะเห็นถูกต้อง ซึ่งก็เป็นกิจของปัญญาอีกที่จะเข้าใจ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นธรรมมีจริง ไม่มีใครสามารถที่จะทำให้เกิดขึ้นได้ แต่เกิดขึ้นเมื่อมีปัจจัย ต้องมั่นคงไปจนกระทั่งไม่เหลือความสงสัย ไม่ว่าอะไรขณะนั้นเกิดขึ้นเป็นปกติ ไม่ใช่มีตัวเรา พยายามไปรู้ แต่ว่าการสะสมความเห็นถูกต้อง ตามความเป็นจริงทีละเล็กทีละน้อย ก็สามารถที่จะถึงเฉพาะลักษณะนั้น ด้วยแสงสว่างที่เห็นความจริงว่า ขณะนั้นเกิดขึ้น และดับไป
อ.วิชัย จากที่มืดอย่างนี้
ท่านอาจารย์ อวิชชาก็มืดอย่างนี้ เพราะฉะนั้นรู้จักอวิชชาคือ มืดอย่างนี้แหละ ไม่รู้ความจริงอย่างนี้แหละ และก็รู้จักปัญญาว่า เริ่มเข้าใจว่าไม่มีเราแต่เป็นธรรม
อ.คำปั่น ตราบใดที่ยังอยู่ในความมืดของอวิชชา ก็กระทำในสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควร อย่างมีเหตุการณ์หนึ่งในสมัยพุทธกาล มีครอบครัวหนึ่ง สามีไปสนิทสนมกับหญิงรับใช้ ผู้ที่เป็นภรรยาไม่พอใจอย่างยิ่ง ถูกความโกรธครอบงำ อกุศลครอบงำความไม่รู้ นำไปในกิจที่เป็นอกุศล ตัดหูตัดจมูกหญิงรับใช้ ขังไว้ แล้วก็เพื่อจะปกปิดความผิดของตนเอง ก็ชวนสามีว่า เราจะไปฟังธรรมที่พระวิหารเชตวัน เพื่อจะปกปิดความผิดของตนเอง แต่ว่าญาติๆ เดินทางมาที่บ้าน ก็ช่วยเหลือหญิงรับใช้นี้ไว้ แล้วก็นำไปกราบทูลพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เรื่องของสิ่งที่ไม่ควรทำ ก็คือความชั่วทั้งหลายทั้งปวง เพราะว่าเป็นสิ่งที่ตามเผาผลาญในภายหลัง ผลแห่งการฟังธรรม สองสามีภรรยาบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน แล้วก็ช่วยให้หญิงรับใช้ พ้นจากอันตรายต่างๆ ดูแลอย่างดี แล้วก็ให้เป็นหญิงที่ประพฤติธรรม นี่ก็แสดงถึงความชัดเจนว่า แม้ตัวอย่างในอดีต แสดงถึงความเป็นไปของธรรม ไม่ว่าจะเป็นยุคใดสมัยใดก็ตาม ความเป็นจริงก็ไม่เปลี่ยน ตราบใดที่ยังไม่พบแสงสว่างของพระธรรม ก็ยังมีการกระทำอะไรที่ผิด แต่เมื่อใดก็ตามที่พบแสงสว่างคือ พระธรรม แล้วก็มีความเข้าใจไปตามลำดับ ก็จะอุปการะเกื้อกูลให้มีความประพฤติเป็นไปในทางที่ดี ที่ถูกที่ควรได้
ก็เป็นช่วงเวลาที่มีค่าอย่างยิ่งเลย ได้สะสมปัญญาจากการได้ฟังพระธรรม ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง พระธรรมเป็นแสงสว่างนำทางชีวิตไปสู่คุณความดีทั้งปวง