ให้เงินแก่พระภิกษุ เท่ากับให้บัตรโดยสารพระภิกษุไปนรก *
อ.คำปั่น ชีวิตของผู้ที่เป็นเพศบรรพชิต เป็นเพศที่สูงยิ่ง อาศัยก้อนข้าวของชาวแว่นแคว้น อาศัยศรัทธาของชาวบ้าน ท่านต้องมีความสำนึกอยู่ตลอดเวลาว่าข้าว รวมถึงสิ่งที่เหมาะควรต่างๆ ที่ชาวบ้านถวาย มุ่งถวายแก่ผู้ที่มีศีลมีคุณธรรม ท่านยิ่งจะต้องมีความสำนึกว่า จะต้องกระทำตนให้เหมาะควรกับการได้รับสิ่งเหล่านี้ จึงเห็นประโยชน์ในการที่จะได้ศึกษาธรรม อบรมเจริญปัญญา ซึ่งข้อความในอรรถกถาในบางพระสูตร ก็จะแสดงถึงความชัดเจน ว่า การที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอนุญาต อย่างเช่น อาหารบิณฑบาต ไม่ได้อนุญาต เพื่อที่จะให้ภิกษุบริโภคแล้ว เพื่อที่จะให้มีกำลัง แต่ว่าอนุญาตเพื่อที่จะให้พระภิกษุ ได้บริโภคแล้วมีชีวิตเป็นไป เพื่อที่จะศึกษาธรรม อบรมเจริญปัญญา ขัดเกลากิเลสของตนเองเท่านั้น เป็นผู้ที่เห็นคุณของอาหารบิณฑบาต แล้วก็ตรงกับคุณธรรม คุณลักษณะของความเป็นภิกษุ ก็คือเป็นผู้ที่ประพฤติคุณความดีในเพราะการขอ เพราะว่าเป็นการขอที่ประเสริฐ ไม่ได้แสดงถึงการเอ่ยปากขอ แต่ว่าเป็นผู้ที่มีคุณธรรม เป็นผู้ที่มีความประพฤติที่ดีงาม ที่เหมาะควรจะได้รับสิ่งเหล่านี้ เมื่อได้รับแล้ว ก็ยิ่งจะต้องประพฤติตามพระธรรมวินัยยิ่งขึ้น
ซึ่งเมื่อวานก็ได้ฟังข้อความตอนหนึ่ง ที่ท่านอาจารย์ได้สนทนาว่า พระภิกษุครองจีวร ซึ่งนับเนื่องในศากยบุตรก็คือ ผู้ที่เป็นบุตรที่เกิดจากพระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะประพฤติตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วมาประพฤติในสิ่งที่ไม่ดี ได้อย่างไร ท่านอาจารย์ก็ยกตัวอย่างความประพฤติที่มีโทษเบา อย่างเช่นการพูดล้อเล่น ท่านอาจารย์ได้กล่าวให้พิจารณาตามความเป็นจริงว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพูดล้อเล่นหรือ คือไม่มี ใช่ไหม
ในเมื่อว่าจะประพฤติปฏิบัติตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ต้องมีความประพฤติที่คล้อยตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกประการ เพราะฉะนั้นก็จะต้องสำนึกตนเองอยู่ตลอดเวลาว่า เป็นพระภิกษุที่จะต้องมีความประพฤติที่คล้อยตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกประการ ถ้าไม่เป็นอย่างนี้ ไปไหน ไปอบายภูมิ เพราะว่าหลอกลวงคนอื่น หลอกลวงว่าจะประพฤติตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไม่ได้ประพฤติตาม ก็เป็นเรื่องที่ต้องย้อนกลับมาที่จุดเริ่มต้นจริงๆ ว่า บวชเพื่ออะไร ถ้าไม่รู้ว่า บวชเพื่ออะไร ไม่รู้จุดประสงค์ที่ถูกต้อง ไม่รู้อัธยาศัยของตนเอง ก็มีแต่โทษเท่านั้นจริงๆ เพราะถ้าบวชไม่ใช่เพื่อศึกษาธรรม อบรมเจริญปัญญา ขัดเกลากิเลส ในเพศบรรพชิต เป็นโทษเท่านั้น
อ.อรรณพ ซึ่งต้องเป็นความเข้าใจ เป็นปัญญาของแต่ละคน โดยเฉพาะผู้ที่เป็นผู้ชาย เพราะแค่คิดว่าเป็นผู้ชายแล้วก็ต้องบวช ตัวเองก็คิดเองอย่างนั้นก็มี หรือว่ามีสังคมกระตุ้น มีการขึ้นป้ายโฆษณาว่า บวช ฟรีด้วย ไม่ดีหรือ มีคนสรรเสริญ คนขอร้องให้บวช แล้วก็บวชให้ฟรีด้วย ดีไหม
ถ้าไม่รู้ก็ดูว่าดี แต่ถ้าเข้าใจถึงว่า ชีวิตบรรพชิตเป็นอย่างไร อย่างใน ชีวิตสูตร ชีวิตที่จะพร้อมที่จะบริโภคก้อนข้าวของชาวแว่นแคว้นหรือยัง เป็นผู้ที่มีความคิดอย่างนั้นหรือยัง ที่จะเห็นโทษของการเกิดมา แล้วจะบวชเพื่อกระทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ มีความละเอียดลึกซึ้งอย่างนั้นไหม ถึงแม้มีแต่ระดับไหน ที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวตั้งแต่ต้นการสนทนา ผู้ที่ศึกษาธรรมก็เห็นโทษอยู่ แต่ลึกซึ้งที่จะถึงขั้นสละความเป็นฆราวาส แล้วบวชเป็นบรรชิตหรือไม่ ก็ต้องตรงกับตัวเอง
อาจารย์ธีรพันธ์กล่าวว่า ถ้าจะให้ไปบวชนี่ไม่เอาแล้ว เพราะเป็นความเสี่ยง อาจารย์คำปั่นก็ตอบว่าจะไม่กลับไปอยู่อย่างนั้นอีกแล้ว แต่ว่าจะอบรมเจริญกุศลในเพศที่เป็นคฤหัสถ์ อาจารย์วิชัยก็คุยก่อนหน้านี้ว่า ก่อนที่จะได้ฟังธรรมก็คิดที่จะบวช แต่เมื่อเข้าใจแล้ว ก็รู้ว่ายังไม่ใช่อัธยาศัยที่จะอบรมเจริญปัญญาในเพศบรรพชิต ไม่ได้หมายความว่าเอาวิทยากรมาเป็นตัวอย่าง และให้คนอื่นทำตามหรืออะไรทั้งสิ้น แต่ว่าเพื่อได้ยินได้ฟังเหตุผลที่ผ่านๆ มา เมื่อได้เข้าใจพระธรรมแล้ว คืออย่างไร ก็ได้เรียนถามพี่กุลด้วยว่า ถ้าเข้าใจธรรม อย่างนี้แล้ว ถ้าเป็นผู้ชายจะบวชไหม ก็บอกว่าไม่บวช แต่ยังไม่ได้ถามอาจารย์ธิดารัตน์ว่า เข้าใจธรรมแล้วอย่างนี้ ถ้าเกิดเป็นผู้ชายจะบวชไหม เพราะไม่อย่างนั้นก็ถามแต่วิทยากรผู้ชาย ถ้าสมมติเป็นผู้ชาย จะบวชไหม
อ.ธิดารัตน์ ก่อนที่จะมาฟังธรรม ก็อยากเป็นผู้ชาย แล้วก็อยากบวช คือตามการสะสมเดิมเลย แล้วก็มาฟังธรรม เข้าใจแล้วว่า เป็นภิกษุโดยไม่ต้องบวช เป็นผู้เห็นภัยได้ แล้วก็สะดวกด้วย ทำกิจการงานก็ศึกษาธรรมได้
อ.อรรณพ ก็คือ เป็นผู้เห็นภัยเพิ่มขึ้นจากการศึกษาธรรม
อ.วิชัย กราบท่านอาจารย์ครับ ก็เป็นอัธยาศัยของแต่ละบุคคลจริงๆ เพราะว่า บุคคลที่มีอัธยาศัยที่จะขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต จะให้มาอยู่ครองเรือน ก็ไม่ใช่อัธยาศัยของท่าน เหมือนบุคคลที่เห็นว่าสิ่งนั้น เป็นสิ่งที่ อย่างเช่นถ้าเราฟังธรรม ก็รู้ว่าการประพฤติอกุศลกรรมก็มีโทษ ใช่ไหม เริ่มเห็น ค่อยๆ ละ ที่จะไม่ประพฤติในสิ่งเหล่านั้น แต่ความเป็นบรรชิตละเอียดกว่านั้นมาก ที่จะเห็นอกุศลมากมาย อย่างที่เป็นไปในชีวิตของคฤหัสถ์ ท่านสามารถที่จะสละได้ ความติดข้อง ใช่ไหม ในกามคุณทั้ง ๕ ก็คือเป็นหลักเลย เพราะว่าคฤหัสถ์ เป็นผู้ที่ยินดีพอใจในรูปบ้าง เสียงบ้าง กลิ่นบ้าง รสบ้าง โผฏฐัพพะบ้าง แต่บรรพชิตเป็นผู้ที่สละ เป็นผู้ที่ละด้วยปัญญาที่เห็นตามความเป็นจริง ว่าสิ่งนี้มีคุณหรือเปล่า
ท่านอาจารย์ครับ แม้ในเรื่องของพระองค์ตรัสเรื่องของรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ พระภิกษุที่ท่านสามารถที่จะสละ เพราะเห็นตามความเป็นจริงของสิ่งนั้นว่า มีความยินดีน้อย มีทุกข์มาก จะเป็นอย่างไร ที่เป็นรูป เสียง กลิ่น รส
ท่านอาจารย์ พระภิกษุนั้นเป็นใคร ไม่ใช่ทุกรูป ใช่หรือไม่
อ.วิชัย ไม่ใช่ทุกรูป
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็แล้วแต่การสะสม
อ.วิชัย ถ้ากล่าวถึงปัญญาที่เห็นตามความเป็นจริงก็คือ สามารถที่จะรู้ได้ ใช่ไหม ว่าความจริงสิ่งนั้นเป็นอะไร
ท่านอาจารย์ ภิกษุมีกิเลสหรือเปล่า
อ.วิชัย ถ้ายังเป็นปุถุชน ก็ยังมีกิเลสอยู่
ท่านอาจารย์ ก็ต้องเป็นไปตามกิเลส จึงได้ทรงมีพระบัญญัติ ในพระวินัยบัญญัติ เพราะกิเลสมีมาก
อ.วิชัย ดังนั้นการที่มีกิเลส และล่วงละเมิดไป พระองค์ก็ทรงบัญญัติ เพื่อให้เห็นว่าสิ่งนั้นเป็นโทษ
ท่านอาจารย์ ละเอียดมากสำหรับเพศบรรพชิต ที่จะต้องรู้กิเลสอย่างละเอียดด้วย
อ.วิชัย อย่างเช่นก่อนหน้านั้นที่กล่าวถึงเรื่องของ ข่าวที่ภิกษุประทุษร้ายแมว ซึ่งก็มีสิกขาบทเรื่องของพระฉัพพัคคีย์ที่เงื้อมือประหารพระสัตตรสวัคคีย์ เพียงแค่เงื้อมมือที่จะประหารภิกษุด้วยกัน ก็ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ถ้าเป็นคฤหัสถ์หรือว่าแม้ที่สุดโดยสัตว์เดรัจฉาน ก็เพียงจะเงื้อมือที่จะประทุษร้าย ก็อาบัติทุกกฏแล้ว
ท่านอาจารย์ แล้วคฤหัสถ์อาบัติสักข้อหนึ่งหรือเปล่า
อ.วิชัย ถ้าคฤหัสถ์ ไม่มีอาบัติ
ท่านอาจารย์ กิเลสเยอะมาก แต่ก็ไม่ได้อาบัติเลย แต่ว่าพระภิกษุแม้กิเลสเล็กน้อยก็อาบัติ นี่เป็นความที่ต่างกัน ที่จะชี้โทษให้เห็นว่าต้องเป็นผู้ที่ตรง และจริงใจ ถ้ายังไม่สามารถที่จะขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิตแล้วบวช ก็ไม่ตรง ไม่ตรงตั้งแต่บวช
เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่ตรงจริงๆ ถึงแม้จะมีความตรงแล้ว แต่กำลังของกิเลสก็ยังมี ด้วยเหตุนี้ จะไม่ให้พฤติกรรม การกระทำต่างๆ ของภิกษุที่ไม่สมควร เกิดขึ้นได้ไหม ในเมื่อยังมีกิเลสอยู่ แต่เมื่อเกิดแล้ว ต้องรู้ในความต่างของการเป็นภิกษุกับการเป็นคฤหัสถ์ แม้เพียงแค่เงื้อมือ สมควรไหมที่จะเป็นพระภิกษุ
เพราะฉะนั้นภิกษุจริงๆ มีความเคารพอย่างยิ่งในพระรัตนตรัย เพราะเห็นพระมหากรุณาที่ทรงอนุเคราะห์ ให้เห็นโทษของกิริยาอาการที่เกิดเพราะกิเลสแม้อย่างทุกกฎทางกาย ที่เป็นการกระทำที่ไม่ดี หรือแม้แต่ทุภาษิต วาจาที่ไม่สมควรแก่ภิกษุที่จะกล่าว เพียงแค่นี้ให้รู้ว่านี่คือภิกษุ เพราะฉะนั้นต้องอาบัติ
ด้วยเหตุนี้ภิกษุทั้งหลาย ก็มีความนอบน้อมอย่างยิ่ง เพราะเห็นค่าของผู้ที่ชี้โทษให้เห็นว่า ภิกษุทำอย่างนี้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงสมควรที่จะเป็นภิกษุ เพราะเหตุว่ารู้จริงๆ ว่า ไม่มีใครสามารถที่จะบัญญัติพระวินัยได้ นอกจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะกล่าวถึงโทษแต่ละขั้น แม้แต่เรื่องของเงินทองก็มีตามลำดับ ตั้งแต่คิดเอื้อมมือไปจนกระทั่งกระทำทุจริต จนกระทั่งสำเร็จ ก็แสดงกำลังของกิเลสต่างๆ เพื่อที่จะให้ได้รู้จริงๆ ว่าภิกษุถ้ากระทำอย่างนั้นแล้ว ต้องโทษระดับไหน ถ้าจึงระดับปาราชิก เป็นภิกษุอีกไม่ได้เลยตลอดชีวิต
เพราะฉะนั้นภิกษุที่มีความเคารพในพระรัตนตรัย เห็นพระมหากรุณาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงอนุเคราะห์ภิกษุ ให้มีความประพฤติที่ดีงามในการขัดเกลากิเลส ก็ประพฤติปฏิบัติตามพระวินัยทุกข้อ ไม่เว้น
อ.วิชัย ดังนั้นพระวินัยบัญญัติทุกข้อ ด้วยพระปัญญา (ธิ นาทีที่ ๑๑.๕๔) คุณ และพระมหากรุณา (ธิ นาทีที่ ๑๑.๕๖) คุณ ที่จะให้บุคคลนั้นเห็นจริงๆ ว่าสิ่งนั้นเป็นโทษ
ท่านอาจารย์ ไม่มีใครจะมีความกรุณาเท่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นศีลทุกข้อ ไม่ใช่บัญญัติให้ภิกษุลำบาก ให้ทรมาน แต่เพื่ออนุเคราะห์ในการเป็นผู้ที่ขัดเกลากิเลส ที่จะไม่ต้องโทษ ในฐานะที่เป็นภิกษุที่บริโภคอาหารของชาวบ้าน ก้อนข้าวทุกก้อน ข้าวทุกเม็ด
อ.วิชัย เขาประสงค์ที่จะถวายแก่ ผู้ที่ประพฤติแล้วก็ทรงคุณของความเป็นภิกษุ
ท่านอาจารย์ เพียงเห็นครองผ้ากาสาวพัสตร์ เครื่องหมายเครื่องนุ่งห่ม ที่เป็นเชื้อสายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็กราบไหว้แล้ว เพราะฉะนั้นความประพฤติต้องสมควร ที่กล่าวว่า ทำความดีในเพราะการขอ การขอที่นี่ ขออย่างประเสริฐมาก ไม่เอ่ยสักคำ แต่เพียงแค่มีบาตร มีจีวร และก็อากัปกิริยาที่สงบ คนอื่นรู้แล้ว ผู้นี้ขัดเกลากิเลส ผู้นี้ไม่ประทุษร้ายใคร ผู้นี้บำเพ็ญเพียร
เพราะฉะนั้นด้วยศรัทธา เขาก็ทะนุบำรุงด้วยการที่จะให้ปัจจัย ๔ อาหารเครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่ ยารักษาโรค เพื่อที่จะให้ดำรงชีวิต เพื่อที่จะถึงจุดประสงค์ คือการขัดเกลากิเลส และเพิ่มพูนปัญญาขึ้น เป็นการอนุโมทนาอย่างยิ่งของคฤหัสถ์ แต่ถ้าภิกษุไม่เป็นอย่างนี้ โจร อลัชชี หยากเยื่อ เป็นสิ่งที่ควรทิ้ง ไม่ใช่ควรที่จะมาทะนุบำรุงรักษา ให้อาหาร เครื่องบริโภคต่างๆ เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า ต้องเป็นผู้ที่ตรง
อ.วิชัย อย่างเช่นในพระสูตรนี้ ที่พระองค์อุปมา ภิกษุที่ยังมากไปด้วยอกุศลธรรม ไม่ประพฤติตามสมณธรรม เหมือนกับดุ้นฟืนที่ไฟก็ไหม้ทั้งสองข้าง และตรงกลางก็เปรอะเปื้อนด้วยสิ่งที่ไม่สะอาดด้วย ดูเหมือนไม่สามารถที่จะได้ประโยชน์อะไรเลย
ท่านอาจารย์ แล้วเป็นโทษหนักด้วย
อ.อรรณพ ฉะนั้นอุปมามากมาย ที่จะเตือนภิกษุที่มาบวชแล้ว ไม่ประพฤติตามพระธรรมวินัย มากมายหลายคำ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นทุกคำที่กล่าวถึงพระวินัย เป็นความหวังดีหรือเปล่า เพื่อประโยชน์ที่ภิกษุจะได้ไม่ไปสู่นรก
อ.อรรณพ แล้วถ้ารู้โทษโดยความเป็นโทษ แล้วก็เป็นคฤหัสถ์ก็ยังมีความเจริญได้
ท่านอาจารย์ เห็นกันอย่างนี้ เป็นเพื่อนกันมาอย่างนี้ แล้วก็ไปนรก โดยเราคิดดู เพราะฉะนั้นถ้ากระทำสิ่งที่เป็นการส่งเสริมการกระทำที่ผิดธรรมวินัย นั่นคือเราช่วยให้เขาไปนรก แล้วเราจะเป็นเพื่อนที่หวังดีหรือเปล่า เพราะฉะนั้นทุกคำที่หวังดี ก็ต้องเป็นคำจากพระไตรปิฎกทั้งนั้น
อ.อรรณพ นี่คือสิ่งที่ถ้าเข้าใจแล้ว เด็ดขาด เด็ดขาดที่จะช่วย เด็ดขาดที่จะเกื้อกูล ท่านอาจารย์กล่าวว่าเห็นกันอยู่อย่างนี้ ใช้ชื่อว่าพุทธบริษัทด้วยกัน เห็นว่าทำอย่างนี้แล้ว พระธรรมวินัยแสดงอยู่แล้วว่า เป็นธรรมที่เป็นอันตรายต่อสุคติภูมิ และการบรรลุธรรม
ท่านอาจารย์ ก็ลองคิดดู คฤหัสถ์ยังไปอบายได้ แล้วภิกษุที่ผิดพระธรรมวินัยจะไม่ไปหรือ
อ.อรรณพ ในพระไตรปิฎกก็แสดงไว้ว่า มีมากมายที่ภิกษุไปอบาย ที่ว่าสังฆาฏิไหม้อยู่มากมายเหลือเกิน มากมายจริงๆ เพราะฉะนั้นทั้งอนุเคราะห์ส่วนบุคคล ในฐานะที่เป็นมิตรกัน แล้วก็รักษาพระธรรมวินัย
ท่านอาจารย์ แล้วใครจะรู้ว่าเห็นหน้ากันวันนี้ ภิกษุนี้ พรุ่งนี้อยู่ไหน เท่านี้ไม่มีความหวังดี ไม่มีความกรุณา เมตตา เป็นเพื่อนที่ดี ที่จะกล่าวตามธรรมวินัย ให้เข้าใจถูกต้องว่า ต้องสำนึกว่าเป็นภิกษุ และต้องประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยหรือ
อ.อรรณพ มิเช่นนั้น ก็เป็นผู้ที่ไม่รู้สึกตัว ไม่รู้สึกตัว คือไม่รู้สึกตัวว่าอยู่ในเพศบรรพชิต
อ.คำปั่น ตัวอย่างที่ปรากฏในพระสูตรทั้งหลายก็มีมาก ใช่ไหม ที่พระภิกษุท่านล่วงละเมิดพระวินัย ไม่เห็นโทษ ไม่แก้ไข ก็เป็นผู้มีอาบัติติดตัว ก็แสดงไว้ว่า ละจากชาตินั้นไป เกิดในนรกนานแสนนาน พ้นจากนรกแล้วก็ยังเกิดในอบายภูมิอีก เกิดเป็นเปรต ได้รับความทุกข์ทรมานเดือดร้อน ซึ่งก็ไม่มีใครทำให้เลย นอกจากตัวท่านเอง ที่ประพฤติผิดพระวินัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้ เป็นโทษเท่านั้นจริงๆ
อ.อรรณพ เพราะฉะนั้นแม้ประพฤติผิดพระวินัยส่วนบุคคล ก็มีโทษขณะนั้นแล้ว และถ้าทำลายพระธรรมวินัย คือจะเปลี่ยนพระธรรมวินัยอีก ก็ยิ่งให้โทษมากมายมหาศาลเข้าอีก
ท่านอาจารย์ รู้อย่างนี้แล้ว คฤหัสถ์ยังจะถวายเงินทองภิกษุหรือเปล่า
อ.อรรณพ ภิกษุรับเงินทอง คือเท่ากับยอมรับความไปอบาย
ท่านอาจารย์ บัตรโดยสารไปอบายภูมิ
อ.อรรณพ แล้วถ้าภิกษุนั้นไม่ละอายมากกว่านี้ ก็คิดที่จะปฏิรูปให้เป็นธรรมเทียม ก็คือยุคนี้ต้องรับเงิน ต้องรับทอง ไม่รับไม่ได้ ต้องรับแล้ว เพราะฉะนั้นก็เป็นโทษซ้ำซ้อนเข้าไปอีก เพราะว่าทำลายพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็โทษหนัก หญ้าคาอันบุคคลจับไม่ดี ย่อมบาด ย่อมบาดมือนั่นเอง ฉันใด ความเป็นสมณะอันบุคคลประพฤติไม่ดี ย่อมฉุดเข้าไปในนรก ฉันนั้น
ท่านอาจารย์ ถวายเงินเมื่อไร ให้บัตรไปนรกเมื่อนั้น
อ.อรรณพ สิ่งนี้คือเป็นความจริง ไม่ใช่คำขู่ ไม่มีใครจะไปขู่ เป็นคำเตือนตามพระธรรมวินัย เพราะฉะนั้นมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ก็มั่นคงที่จะเผยแพร่พระธรรม พระวินัย ตามที่ได้ทรงแสดงไว้ในพระไตรปิฏก