ทะนุบำรุงพระพุทธศาสนาด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง *


    ผู้ฟัง อีกไม่กี่วัน จะมีองค์กฐิน องค์กฐินที่วัดหรือสำนักสงฆ์ หรือพระกำหนดขึ้นมาว่า แบ่งเป็นสายๆ ตั้งงบประมาณว่าสายนี้ต้องห้าแสน สายนี้ สามแสน เพื่อจะรวมองค์กฐินให้ได้ ๑-๒ ล้านไปสร้างโน่นสร้างนี่ อย่างนี้ ฆราวาสควรสนับสนุนหรือไม่

    อ.คำปั่น กราบท่านอาจารย์ครับ ก็เป็นเรื่องที่ละเอียด แต่ที่คุณเทียนชัยได้กล่าวมา ก็คือ ไม่ใช่กฐินในพระพุทธศาสนา ไม่ใช่โดยประการทั้งปวงเลย เพราะว่ากฐินเป็นเรื่องของผ้าเท่านั้น เป็นเรื่องของผ้า แล้วก็เป็นเรื่องของสังฆกรรมที่พระภิกษุที่อยู่ในอาวาสนั้น จำพรรษาครบ ๓ เดือนแล้ว จะกระทำสังฆกรรมร่วมกัน ในการที่มีผ้าเกิดขึ้นโดยธรรม ก็จะมีการตัด มีการกะ มีการเย็บ มีการย้อม แล้วก็มีการมอบให้กับภิกษุผู้ที่เหมาะควร ที่จะได้รับผ้าผืนนั้น เป็นสังฆกรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอนุญาต เป็นกาลแค่หลังออกพรรษาแล้ว เพียงแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น เพื่อความสามัคคีของคณะสงฆ์

    จริงๆ ไม่เกี่ยวกับคฤหัสถ์เลย ถ้าจะเกี่ยวกับคฤหัสถ์ก็คือ เพียงถวายผ้าเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องของเงินทองเลย ถ้าหากพระภิกษุไปบอกว่า ให้ญาติโยมทั้งหลาย นำกฐินมาถวายที่วัดนี้ ไม่เป็นกฐิน กฐินเป็นเรื่องของผ้าที่เกิดขึ้นโดยธรรม จะไปเอ่ยปากขอ จะไปเลียบเคียงมา จะไปทำอะไรก็ต่างๆ ที่ไม่ถูกต้อง ไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้นจากความเข้าใจเบื้องต้น ก็พอที่จะเข้าใจว่า ถ้ามีการเกี่ยวกับเรื่องเงิน มีการขอ มีการเรี่ยไร ทั้งหมดไม่ใช่กฐินในพระพุทธศาสนา ถ้าหากว่าจะมีการกระทำอะไรก็ตาม ที่เป็นการสร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์ คฤหัสถ์ก็สามารถทำกันได้ โดยไม่เอาคำว่ากฐินมา ก็รวบรวมเงินกัน ดำเนินการสร้าง ดำเนินการจัดทำในสิ่งที่เหมาะควรได้ นี่เป็นสิ่งที่ถูกต้อง

    ผู้ฟัง เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว คือเราเห็นอยู่ ผมเชื่อว่าในที่นี้ทุกท่านก็คงเห็น กฐิน ผ้าป่านี้จะติด แล้วก็ห้อยแบงก์ บอกเรี่ยไรบุญออกไมค์โครโฟนดัง ออกสี่ทิศห้าทิศ เอารถออกเรี่ยไร ต้องเท่านั้นเท่านี้ กรรมการต้องหนึ่งร้อย ประธานต้องห้าร้อยหนึ่งพันกำหนดเลย หน่วยงานที่ใหญ่ยิ่งกว่าฆราวาส ทำไมถึงไม่ทำอะไรเลยตอนนี้ ในเมื่อรู้ว่าเป็นสิ่งที่ผิดแล้ว เรื่องนี้ไม่ได้เกิดมาปีสองปีแล้ว เกิดมาไม่ต่ำกว่า ๕๐ ปีเท่าที่ผมจำได้ วันนี้ผมอายุกำลังจะครบ ๕๗ แล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่วันนี้ ผมจะอยู่อีกปีไม่รู้ แต่ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่พวกนี้ จะต้องรับกรรม และจะต้องถูกแฉ ถูกจัดการโดยกฎหมายอย่างเด็ดขาด

    ถึงขนาดเจ้าอาวาส เจ้าคณะตำบล เจ้าคณะจังหวัด ซึ่งเห็นเยอะแยะเลย มีรถเบนซ์ มีบ้านหรูหลังเป็นสิบล้าน ใกล้ๆ กรุงเทพฯ ปริมณฑลเยอะแยะเลย ผมชี้ได้เลยวัดไหน เล่นพนันบอล บางรูปนี้ใส่วิกออกไปเที่ยวคาเฟ่กลางคืนก็มี คนก็ยังไปบูชาไปนับถือ เช่นนี้ผมถามว่าทำไมหน่วยงานของรัฐจึงไม่จัดการ ไม่ทำอะไรเลย ทำไมถึงนิ่งดูดาย ปล่อยให้พุทธศาสนาเป็นแบบนี้ พิสูจน์กันได้เลย ไม่ได้กล่าวโทษติเตียนหรือเพ่งร้าย

    อ.คำปั่น จริงๆ ท่านเหล่านั้นเป็นบุคคลที่น่าสงสาร การที่จะเกื้อกูล ก็ด้วยจิตที่ประกอบด้วยเมตตา เพราะว่าท่านเหล่านั้น กำลังทำทางให้ตนเองไปเกิดในอบายภูมิ ไม่พ้นเลย เพราะว่าความเป็นภิกษุทุศีล อบายภูมิทั้งหมดเลย ไม่เว้นเลย ไม่ว่าท่านจะบวชนาน หรือว่าเพิ่งบวชก็ตาม เป็นบุคคลที่น่าสงสาร แม้ว่าจะพลาดการถูกลงโทษในสมัยปัจจุบันนี้ แต่ท่านไม่พลาดแน่นอน ในการเกิดในอบายภูมิ

    เพราะฉะนั้นในเรื่องของ ผู้ที่มีบทบาทหน้าที่สำคัญของทางบ้านเมือง ก็เป็นเรื่องของท่าน ถ้าหากว่าท่านไม่มีความเข้าใจ ไม่รู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด จะทำอะไรได้ เพราะฉะนั้นก็เป็นกิจหน้าที่ของชาวพุทธ ที่เข้าใจธรรมเท่านั้น ที่จะช่วยกันศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ แล้วก็ช่วยกันประกาศ กระจายความจริงนี้ให้กับผู้อื่น ได้รับรู้โดยทั่วกันว่า ความจริงเป็นอย่างไร

    ลองพิจารณาดูว่า อยากจะให้มีพระภิกษุ คำพูดประโยคแรก อยากจะให้มีพระภิกษุ กับประโยคหลังก็คือ ภิกษุที่ประพฤติผิดพระธรรมวินัยตกนรก คำพูดไหนจะเป็นคำพูดที่หวังดี จะเป็นคำพูดที่อนุเคราะห์เกื้อกูล ซึ่งเมื่อวานท่านอาจารย์ได้กล่าว ก็เป็นประโยชน์มากเลย อยากจะให้มีพระภิกษุกับภิกษุที่ผิดพระธรรมวินัยตกนรก คำพูดไหนเป็นคำพูดที่หวังดี เป็นคำพูดที่เกื้อกูล ก็ต้องเป็นประโยคหลังใช่ไหม

    เพราะถ้าหากว่ามีภิกษุ แต่มีภิกษุทุศีลก็คือ มีอบายภูมิ มีนรก แต่ถ้าคำพูดที่ว่า ภิกษุประพฤติผิดพระธรรมวินัยตกนรก ถ้าผู้นั้นได้ยินสำนึก รู้ว่าตนเองกระทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง สละความเป็นบรรพชิต ยังมีโอกาสพ้นจากนรกในภพหน้าได้ ยังมีโอกาส แล้วเมื่อสละความเป็นบรรพชิตแล้ว ก็ไม่มีอาบัติ ก็สามารถที่จะศึกษาธรรม อบรมเจริญปัญญา สะสมความดีในเพศของคฤหัสถ์ได้

    เป็นสิ่งที่น่าพิจารณา ว่าคำที่เป็นคำอนุเคราะห์เกื้อกูล ไม่มีโทษเลย คฤหัสถ์ที่เข้าใจธรรม สามารถที่จะกล่าวตามพระธรรมวินัย ให้ผู้ที่เป็นพระภิกษุได้ฟัง ได้เกิดความสำนึกได้ ไม่ใช่เป็นการว่ากล่าวตักเตือน แต่ว่าเป็นการกล่าวตามพระธรรมวินัย ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง

    ขอยกตัวอย่างเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องที่น่าพิจารณามาก พระสุธรรม ท่านเป็นเจ้าอาวาส โดยมีท่านจิตตคฤหบดีเป็นผู้ที่คอยดูแล ท่านจิตตคฤหบดีเป็นพระโสดาบัน เมื่อได้ฟังธรรมที่พระมหานามะ หนึ่งในภิกษุปัญจวัคคีย์แสดง แล้วก็บรรลุเป็นพระอนาคามี เมื่อได้ฟังพระธรรมที่พระอัครสาวกแสดง เมื่อท่านทราบว่า พระอัครสาวกจะมาที่หมู่บ้านของท่าน ก็กราบอาราธนานิมนต์พระอัครสาวก พร้อมทั้งภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย เพื่อรับภัตตาหาร แต่มานิมนต์พระสุธรรมในภายหลัง พระสุธรรมเกิดความน้อยใจ ว่าทำไมถึงมานิมนต์ท่านทีหลัง ทั้งๆ ที่ท่านเป็นเจ้าอาวาส เกิดความไม่พอใจในจิตตคฤหบดี แล้วก็ไปด่าจิตตคฤหบดี ด้วยคำที่ไม่สุภาพ เป็นคำที่ไม่น่าฟัง ท่านจิตตคฤหบดี ท่านเป็นผู้ที่มีปัญญา เป็นพระอริยบุคคล ท่านกล่าวคำที่มีประโยชน์มาก ท่านกล่าวว่า พระพุทธพจน์มีตั้งมากมาย ทำไมพระสุธรรมไม่กล่าว ทำไมมากล่าวคำที่ไม่น่าฟัง เป็นคำที่มีประโยชน์ไหม มีประโยชน์มาก เป็นเครื่องเตือนทุกคนมาก ไม่ใช่เฉพาะพระสุธรรมเท่านั้น

    จนในที่สุดพระสุธรรมนำเหตุการณ์ทั้งหมดไปกราบทูลพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตำหนิพระสุธรรมมากมาย และก็ให้พระสุธรรมมาขอโทษจิตตคฤหบดี โดยกระทำเป็นสังฆกรรม สังฆกรรมที่เรียกว่า ปฏิสารณียกรรม ก็คือให้ภิกษุที่กระทำผิด มาขอโทษผู้ที่เป็นคฤหัสถ์ และผลสุดท้ายท่านสำนึก เห็นโทษโดยความเป็นโทษ กลับตัวกลับใจใหม่ แล้วก็ขอโอกาสต่อสงฆ์ ที่จะเป็นภิกษุในพระธรรมวินัย ท่านอบรมเจริญปัญญา ถึงความเป็นพระอรหันต์ เพราะว่าท่านไม่มีอาบัติเป็นเครื่องกั้น ไม่มีความประพฤติที่ไม่ดีเป็นเครื่องกั้น

    เพราะฉะนั้นคำใดก็ตามที่เป็นคำจริง เป็นคำอนุเคราะห์ มีประโยชน์ เพราะฉะนั้นก็เป็นกิจหน้าที่ของผู้ที่เป็นพุทธบริษัททุกคน ที่จะได้ศึกษาพระธรรมให้ถูกต้อง แล้วก็ช่วยกันประกาศพระธรรม ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นด้วยจิตที่ประกอบด้วยเมตตา กราบท่านอาจารย์ครับ

    ท่านอาจารย์ คุณเทียนชัยก็เป็นอีกท่านหนึ่ง ที่ห่วงใยพระพุทธศาสนา แล้วก็รู้ว่ามีปัญหา ซึ่งใหญ่มาก เพราะเหตุว่าปัญหาทั้งหมดเกิดจากความไม่รู้ด้วยเหตุนี้ จึงเห็นพฤติกรรมต่างๆ ของพระภิกษุ ซึ่งไม่ได้ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย แต่คำว่า เดรัจฉานหัวโล้น ไม่มี ก็ต้องรู้ด้วยว่า ตามพระธรรมวินัย มีเศรษฐีหัวโล้น

    เพราะฉะนั้นทุกคำที่ทรงแสดงไว้ ก็เป็นการแสดงชัดถึงความหมายที่แท้จริง ว่าทำไมหัวโล้นเป็นเศรษฐี ใช่ไหม ก็ต้องรู้ว่าใคร ถ้าพูดถึงเศรษฐีหัวโล้น ทุกคนรู้เลยว่าหมายความถึงใคร เพราะมีข้อความนี้ในพระไตรปิฎก เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า ถ้าเราไม่ได้ศึกษาธรรม เราก็จะไม่รู้ทางที่จะแก้ไข เพราะว่าคนส่วนใหญ่ เมื่อไม่รู้แล้วก็ต้องการสิ่งที่ไม่รู้ เช่น ถ้าไม่ให้อาหาร หรือว่าไม่ใส่บาตรหรืออะไร ถวายเงินแก่พระภิกษุแล้ว พระภิกษุก็ไม่มี ใช่ไหม ส่วนใหญ่ของคนที่ไม่รู้จะคิดอย่างนั้น แต่ตามความเป็นจริงก็คือว่า มีโจร มีเศรษฐีหัวโล้น หรือว่ามีภิกษุ หรือว่าไม่มีภิกษุ ถ้ามีแต่โจรหรือว่าเศรษฐีหัวโล้น ประเทศชาติจะมั่นคงไหม โจรซึ่งไม่มีใครรู้ว่าเป็นโจรด้วย คิดว่าเป็นพระภิกษุ แต่ความจริงเป็นโจร เป็นเศรษฐีหัวโล้นมีมาก คนจนมีตั้งมากมาย คนจนไม่ต้องหัวโล้น แต่ว่ามีคนจนเยอะ แล้วทำไมเป็นเศรษฐีหัวโล้น ซึ่งทำความทุกข์ยากให้แก่คนที่ไม่หัวโล้น แต่เป็นคนจน

    ด้วยเหตุนี้ ต้องไตร่ตรองว่าเป็นปัญหาใหญ่ แล้วก็เป็นเรื่องที่จะต้องขึ้นอยู่กับความเข้าใจของพุทธบริษัทชาวพุทธ ซึ่งจะต้องทะนุบำรุงพระศาสนาด้วยหนทางเดียว คือเข้าใจถูกต้องตามพระธรรมวินัย ถ้าตราบใดที่ยังมีภิกษุ แต่ว่าไม่เป็นภิกษุในพระธรรมวินัย มีประโยชน์อะไร ไม่ได้พาให้บุคคลที่ทำบุญ ไปสวรรค์เลย เพราะเหตุว่าทำให้มีความเข้าใจผิด ด้วยเหตุนี้การที่หวังดี ก็ต้องมีความอดทน แล้วก็มีความเมตตา ที่จะให้คนอื่นได้เข้าใจถูกต้อง เพราะเหตุว่าเขากำลังไม่รู้เรื่องอะไรเลย แล้วก็ทำทุกอย่างที่ผิดจากพระธรรมวินัย ทั้งคฤหัสถ์ และบรรพชิต

    เพราะฉะนั้นหนทางเดียวก็คือว่า ช่วยกันให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะเหตุว่าไม่มีภิกษุ อย่างที่เป็นภิกษุในพระธรรมวินัย ก็ยังดีกว่ามีเศรษฐีหัวโล้น และมีโจร ใช่ไหม

    อ.กุลวิไล ใช่

    ท่านอาจารย์ ต้องคิด ต้องไตร่ตรอง ไม่ใช่ว่าเพียงแต่ว่า ผ่านๆ หูไป แต่ว่าทำลายประเทศชาติ ทำลายศาสนา ทำลายโลก เพราะความไม่รู้ ด้วยเหตุนี้ จะต้องเป็นผู้ที่ละเอียด และมีความหวังดี ให้คนได้เข้าใจว่า ภิกษุคือใคร ถ้าไม่เข้าใจพระธรรมวินัย ไม่ได้ศึกษาธรรม แล้วบวชเพื่ออะไร

    ถ้าสมมติว่า ทุกคนเป็นคนที่จริงใจ และตรงๆ และแก้ปัญหา ก็จะรู้ว่าไม่ใช่อยากให้คนบวช ไม่ใช่ไปเกณฑ์คนมาบวชเป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่นเป็นแสน แต่ไม่มีความรู้อะไรเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นย่ำยีทำลายพระธรรมวินัย โดยไปหาคนที่ไม่เข้าใจอะไรเลย แล้วมาบวช เพื่ออะไร บวชเพื่ออะไร แต่ว่าผู้ที่บวชทุกคน ต้องเป็นผู้ที่เห็นพระคุณใหญ่หลวงของพระศาสนา

    เพราะฉะนั้นสามารถที่จะรู้ตัวเองได้ว่า สามารถสละเพศคฤหัสถ์ แล้วก็มีชีวิตอย่างผู้ที่ขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิตได้ไหม นั่นเป็นผู้ที่ควรบูชา นั่นเป็นภิกษุซึ่งชาวบ้านได้ทะนุบำรุง แล้วก็ให้ท่านมีชีวิตอยู่ขัดเกลากิเลส จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง และก็เป็นบุญอย่างยิ่ง

    เพราะฉะนั้นไม่ใช่เห็นแค่ผ้าเหลือง แต่ไม่รู้ว่านี่คือโจรหรือเปล่า นี่เป็นเศรษฐีหัวโล้นหรือเปล่า แต่จะรู้ได้จากพฤติกรรม เพราะฉะนั้นพฤติกรรมเวลานี้ เป็นที่เปิดเผยทั่วไปทุกหนทุกแห่ง เพราะฉะนั้นชาวบ้านที่เคยเข้าใจผิด เพราะไม่รู้ว่าภิกษุคือใคร ก็ควรที่จะได้เข้าใจให้ถูกต้อง แล้วก็ประการที่สำคัญที่สุด ที่จะแก้ไขอันดับแรกก็คือว่า ภิกษุต้องไม่รับ และไม่ยินดีในเงิน และทอง ใครรับก็คือว่า ไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัย ทำลายความเป็นภิกษุ ทำลายพระพุทธศาสนา ทำลายประเทศชาติ

    เพราะฉะนั้นก็ควรจะเป็นผู้ที่ ทะนุบำรุงพระศาสนาด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง ช่วยกันดำรงรักษา เพราะเหตุว่าการรักษาพระพุทธศาสนา ไม่ใช่รักษาด้วยความไม่รู้ ด้วยความไม่เข้าใจ ด้วยการทะนุบำรุงวัดวาอาราม สร้างสิ่งที่ใหญ่โตมโหฬาร แต่ไม่มีความเข้าใจธรรมเลย เพราะเหตุว่าศาสนาเป็นคำสอน คำสอนที่ประเสริฐอย่างยิ่งคือ คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้นถ้าไม่เข้าใจคำสอน จะนับถือพระพุทธศาสนาได้อย่างไร ถ้าไม่เข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่เข้าใจคำสอนที่ถูกต้องเท่านั้น ที่สามารถจะทะนุบำรุงพระพุทธศาสนาได้ ด้วยเหตุนี้ก็ต้องมีความเมตตา และก็มีความหวังดี แล้วก็มีความอดทนที่จะให้คนอื่น ที่เขากำลังเข้าใจผิด คิดว่าเรากำลังกล่าวร้ายทำลายพระภิกษุ ซึ่งความจริงไม่ใช่เลย เพราะเหตุว่าเป็นการให้บุคคลที่ไม่เข้าใจธรรม ได้มีความเข้าใจพระธรรมที่ถูกต้อง ก็ต้องช่วยกันต่อไป


    หมายเลข 11020
    27 ม.ค. 2568