พระภิกษุตายจากเพศคฤหัสถ์ *


    ท่านอาจารย์ ก่อนบวชรู้หรือไม่ว่า ภิกษุต้องต่างจากคฤหัสถ์ จึงบวช ถูกต้องหรือไม่ เพราะฉะนั้นก่อนบวชต้องรู้ว่า ชีวิตอย่างคฤหัสถ์ต้องหมดสิ้นไป เหลือแต่เพียงความศรัทธาที่มั่นคง ที่จะสามารถดำรงในเพศบรรพชิต ตามสิกขาบทได้

    เพราะฉะนั้นต้องรู้ว่า ชีวิตความเป็นอยู่ของพระภิกษุ ต่างกับคฤหัสถ์โดยสิ้นเชิง คฤหัสถ์เคยมีความสนุกสนานรื่นเริง มีทรัพย์สินเงินทอง มีอาชีพ มีธุรกิจ ได้ทุกอย่างในเพศของคฤหัสถ์ เพราะเหตุว่าไม่ใช่บรรพชิต แต่พอได้ฟังพระธรรมแล้ว เห็นคุณแค่ไหน จึงสามารถที่จะสละเพศคฤหัสถ์ได้ แต่ถ้าใครก็ตาม บวชโดยที่ว่า ไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่เข้าใจพระธรรม คนนั้นผิดหรือถูก บวชทำไม นี่ก็ไม่ตรง เป็นการลบหลู่ดูหมิ่น การบวชไม่ใช่ของต่ำ การบวชเป็นของสูงอย่างยิ่ง เพราะเหตุว่าสามารถที่จะเป็นผู้ที่พ้นจากเพศคฤหัสถ์ แล้วมีชีวิตที่พอเพียง ที่สามารถจะดำรงเพศบรรพชิตได้ โดยปัจจัย ๔ ที่ได้ทรงอนุญาตไว้ เกี่ยวกับอาหาร ไม่หุงต้มเลย เพราะหุงต้มเป็นภาระของคฤหัสถ์ ใช่ไหม ลองสิ ลองหุงต้ม นี่อร่อยหรือไม่ นั้นต้องไปอบ ต้องไปปิ้ง ต้องไปทอด ต้องไปย่าง ต้องร้อนๆ ต้องอุ่นๆ ต้องเย็นๆ หรือเปล่า ลำบากไหม

    เพราะฉะนั้นตัดชีวิตแบบที่จะต้องไปเห็นแก่อาหาร บริโภคสิ่งที่อร่อย โดยการรู้ว่าบรรพชิตหุงต้มเองไม่ได้ ความละเอียดอย่างยิ่งคือ กิเลสมี จึงได้หุงต้มด้วยตนเอง ตามอัธยาศัยที่พอใจที่จะเป็นอย่างนั้น ใครทำอาหารก็อยากให้อร่อย ใช่หรือไม่ หุงต้มด้วยความพอใจของตนเอง เพราะฉะนั้นขณะนั้น ยังมีความพอใจ

    เพราะฉะนั้นการขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิตละเอียดอย่างยิ่ง ซึ่งต้องศึกษาก่อนด้วยความเคารพอย่างยิ่ง จึงสามารถที่จะรู้ว่าตนเองสามารถขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต มิฉะนั้นเป็นโทษหนัก เพราะเหตุว่าต้องอาศัยชีวิตเป็นอยู่ด้วยชาวบ้าน ด้วยศรัทธาของชาวบ้าน โดยที่ว่าถ้าชาวบ้านไม่มีศรัทธา ศรัทธาที่นี่หมายความว่า กุศล ไม่ใช่อยากได้บุญ เพราะฉะนั้นต้องรู้ว่า พระภิกษุขัดเกลากิเลสต่างจากคฤหัสถ์มาก แม้ในเรื่องของอาหาร

    บางคนเล่าให้ฟังว่า ยุคนี้สมัยนี้เกิดประหลาด มีบาตรอยู่หน้าวัด แต่ไม่มีภิกษุบิณฑบาต แล้วก็ให้คนเอาอาหารไปใส่บาตร ถ้าไม่ได้ฟัง ไม่เห็น จะรู้ไหมว่าเดี๋ยวนี้ การลบหลู่พระศาสนาเป็นถึงอย่างนี้ แต่ว่าเขาไม่รู้เลยว่า การที่พระองค์อนุญาต สิกขาบททุกสิกขาบท หมายความว่า ได้รับอนุญาตจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้กระทำสิ่งนั้นได้

    เพราะฉะนั้นอนุญาตให้ภิกษุ บิณฑบาต เพื่อที่จะได้อาหารจากชาวบ้าน โดยขอด้วยปากไม่ได้เลย เป็นผู้สงบ ความเป็นผู้สงบ สงบทั้งกาย สงบทั้งวาจา สงบทั้งใจ เพราะการจะไปเอ่ยขอใครลองคิดดู ชาวบ้านใครมาขออะไรรู้สึกอย่างไร อยู่ดีๆ ก็ไปเที่ยวขอ อยู่ดีๆ ก็มาขอ มันเรื่องอะไร ใช่ไหม ไม่ได้แสดงความเกรงใจ ไม่ได้แสดงความเห็นว่า ทำให้เขาลำบากใจ เพราะว่าจะทำอย่างไรเขาจะให้หรือไม่ให้ เกิดความคิดที่สับสนเดือดร้อน จะสมควรหรือไม่สมควร คนขอ ขอเอาไปทำอะไร เรื่องมากยากเรื่อง ใช่หรือไม่

    แต่ว่าสำหรับการที่เป็นผู้สงบ ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนเลย แค่เดินไปด้วยอาการสงบ แล้วก็หยุดเมื่อมีผู้ที่ศรัทธา ที่จะขอใส่อาหารหรือเพราะมีการเห็นว่าความสงบ เป็นผู้ที่สมควรที่จะให้ผู้นั้นได้มีชีวิตอยู่ต่อไป เพื่อที่จะขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต ลองคิดดู ทุกอย่างต้องเป็นไปด้วยความเข้าใจ ที่ละเอียดอย่างยิ่ง แม้ภิกษุกระทำอย่างนั้น ไม่ใช่มุ่งหวังอาหารอร่อย แต่เพื่ออนุเคราะห์ ที่ชาวบ้านใช้คำว่าเพื่อโปรด โปรดที่นี่ก็คือว่า ให้เขาได้มีโอกาสเกิดกุศล

    เพราะฉะนั้นคนที่จะใส่บาตร ไม่มีใครบังคับ เป็นด้วยความสมัครใจ แต่เป็นกุศลหรือเปล่า รู้จักกุศลหรือเปล่า รู้จักพระภิกษุหรือเปล่า รู้จักผู้ที่เขาให้ไปหรือเปล่า ถ้าไม่รู้จักก็คือว่าให้ใคร ให้คนที่เพียงแต่ไม่ใช่คฤหัสถ์ โดยผ้าที่ครอง โดยสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แต่ความเป็นอยู่ในวันหนึ่งๆ เป็นอย่างไร ถ้าความอยู่ในวันหนึ่งๆ เป็นเหมือนคฤหัสถ์ทุกอย่างเลย ต่างกันแต่เพียงผ้าที่สวมใส่เท่านั้นเอง นั่นหรือภิกษุในพระธรรมวินัย นั่นไม่เป็นการลบหลู่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือ ว่าใครก็บวชได้ โจรอยากจะบวชก็ได้ ถ้าใครไม่รู้ว่าเป็นโจร ก็เข้าไปที่วัด ขอบวชได้ใช่ไหม ถ้าเขาสามารถที่จะกล่าวตาม

    เพราะว่าหลายคนบวชโดยไม่เข้าใจอะไรเลย ว่าจะต้องพูดอะไร จะต้องกล่าวอะไร หมายความว่าอะไร นั่นคือไม่ได้มีเจตนา จงใจที่จะประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย เพียงแต่อยากจะบวช แต่คนที่กล่าวแต่ละคำ เป็นการปฏิญาณที่จะบวชนั้น เพื่อขัดเกลากิเลส ต้องกล่าวด้วยความจริงใจอย่างมั่นคง เพราะได้เข้าใจธรรมแล้ว

    เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่ไม่เข้าใจธรรมแล้วบวช บาป เพราะไม่เข้าใจแล้วไปถือเพศที่สูง ตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างไร เป็นศากยบุตร บุตรที่จะต้องมีความประพฤติขัดเกลากิเลส ทั้งกายวาจาย่างยิ่ง ตามที่พระองค์ได้ทรงบัญญัติแล้ว

    เพราะฉะนั้นแม้แต่การที่จะเดินบิณฑบาต เพื่อขัดเกลากิเลสของตนเอง ไปที่ไหน บ้านนี้อาหารไม่อร่อย ไม่รับดีไหม ไปยืนตรงโน้น อาหารเยอะๆ อร่อยดี ก็ไม่ได้ ใช่ไหม เพราะใจต้องประกอบด้วยความเมตตา มีความหวังดีว่าเขาจะได้ประโยชน์ โดยการที่เขาเกิดกุศลจิต มีการเอื้อเฟื้อ มีความเมตตา มีการเห็นว่า ผู้ใดสมควรแก่การที่เขาจะให้อาหาร เพื่อที่จะไม่ใช่ไปให้ขโมย ไม่ใช่ให้โจร แต่ให้ผู้ที่ขัดเกลากิเลส

    เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ละเอียดทุกอย่าง ที่จะรู้ว่าการเคารพ การไม่ลบหลู่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระธรรมนั้นคืออย่างไร


    หมายเลข 11035
    24 ม.ค. 2568