001 ความสำคัญของพระพุทธศาสนากับประเทศชาติ
สนทนาพิเศษเรื่อง
ความสำคัญของพระพุทธศาสนากับประเทศชาติ
ที่ บ้านคุณทักษพล และคุณจริยา เจียมวิจิตร
วันศุกร์ที่ ๑๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐
ตอนที่ ๑
อ.อรรณพ สวัสดีครับท่านผู้ชมรายการ บ้านธัมมะ ทุกท่าน ท่านคิดว่าพระพุทธศาสนา มีความสำคัญต่อชาติบ้านเมืองอย่างไร และในขณะนี้สภาพการณ์ของพระพุทธศาสนา และสังคมไทยเรา เป็นอย่างไร ความเสียหายที่เกิดจากความไม่เข้าใจพระธรรมวินัย ได้แผลเป็นวงกว้างอย่างไร และเราจะช่วยกันแก้ไขฟื้นฟู ที่จะให้เป็นไปตามพระธรรมวินัย ได้อย่างไรบ้าง
เพราะฉะนั้นในวันนี้ก็เป็นโอกาสดี ที่เราจะได้สนทนาในรายการพิเศษ ในหัวข้อ ความสำคัญของพระพุทธศาสนากับประเทศชาติ กับท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และท่านวิทยากร ที่ได้ร่วมสนทนากับเราเป็นประจำ
และในวันนี้ก็เป็นโอกาสพิเศษมากๆ ที่เราได้รับเกียรติอย่างสูงยิ่ง จากท่านพลเอกวัฒนชัย ฉายเหมือนวงค์ อดีตแม่ทัพภาคที่ ๓ และรองผู้บัญชาการทหารบก มาร่วมสนทนากับเราด้วย ซึ่งท่านก็เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมือง ที่ได้กระทำประโยชน์ ในด้านความมั่นคงของประเทศชาติมาโดยตลอด และที่สำคัญ ท่านก็มีความสนใจในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก ในวันนี้ท่านจะได้มีโอกาสถ่ายทอดประสบการณ์ ข้อคิดต่างๆ ผ่านรายการสนทนาพิเศษของบ้านธัมมะ ในครั้งนี้ด้วย
ขอกราบท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ท่านวิทยากร และท่านพลเอกวัฒนชัย ก่อนอื่นขอเรียนสนทนากับท่านก่อนว่า ทำไมท่านถึงได้สนใจ และศึกษาพระพุทธศาสนา
พล.อ.วัฒนชัย พวกเราส่วนใหญ่ เป็นครอบครัวที่นับถือพุทธ เด็กๆ ก็ใส่บาตรหน้าบ้านทุกวัน พ่อแม่ก็ติดนับถือพุทธศาสนากัน จริงๆ สมัยก่อนก็คือไปตามประเพณี ไม่ได้จริงจังอะไรเท่าไร ผมมาจริงจัง จริงๆ ประมาณปี ๒๕๑๔-๒๕๑๕ แต่ก่อนก็ไปกับเขาเรื่อยๆ ไม่มีอะไร ไม่ได้สนใจเรื่องพระวินัย ไม่ได้สนใจ แต่มาฟังท่านอาจารย์สุจินต์ครั้งแรก เริ่มเข้าใจ ตอนนั้นก็ยังไม่ค่อยตามเท่าไร มาสุดท้าย รู้สึกประมาณเกือบปี ๒๕๓๐ ก็ไปเอาเทปมาฟัง
อ.อรรณพ ตั้งแต่สมัยเป็นเทป
พล.อ.วัฒนชัย เป็นเทป ผมมีหมดเลย เดี๋ยวนี้มีเอ็มพี๓ แล้วก็ฟังไปเรื่อยๆ ก็เข้าใจไปเรื่อยๆ
อ.อรรณพ ก็เป็นประโยชน์สูงสุด ที่ได้ยินได้ฟังพระธรรมตามพระไตรปิฎก หรือตามพระวินัย ที่เราได้ศึกษากัน เพราะถ้าเอาไปคิดเอง ก็คงจะไม่ได้ถูกต้องแน่นอน
อ.อรรณพ กราบเรียนท่านอาจารย์ครับว่า ความถูกต้องสูงสุดเลย ของพระพุทธศาสนาที่เรานับถือกันอยู่ คืออย่างไร
ท่านอาจารย์ คือการได้ฟังพระธรรม แล้วก็เริ่มเห็นคุณของพระรัตนตรัย เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีการตรัสรู้ และการทรงแสดงธรรม เราไม่สามารถที่จะรู้จักว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นใคร และมีพระคุณสูงสุดยิ่งกว่าใครทั้งหมด ในสากลจักรวาลได้อย่างไร ฟังดูก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ ใครที่รู้ทุกอย่างหมดโดยประการทั้งปวง ทั้งสากลจักรวาล แต่ก็มีจริงๆ แต่ถ้าไม่ศึกษาพระธรรม ไม่มีทางรู้เลย ว่าแม้แต่ในขณะนี้ สิ่งที่กำลังปรากฏ ซึ่งทุกคนไม่รู้ ไม่เข้าใจ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงความจริงของสิ่งนั้นอย่างละเอียดยิ่งโดยประการทั้งปวง ให้เห็นความเป็นธรรม
เพราะฉะนั้นก็ต้องเข้าใจ พระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ พระสังฆรัตนะ ถ้ารู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ก็จะต้องรู้ว่า พระธรรมรัตนะคืออย่างไร แต่ถ้าไม่ฟังเลย ก็เป็นชื่อ รัตนะคือที่ประเสริฐสุด แก้วที่ประเสริฐสุด รัตนะที่ประเสริฐสุด แต่ประเสริฐอย่างไร ไม่มีการที่จะคิดต่อไป แค่ประเสริฐสุดไม่พอ ต้องรู้ว่าประเสริฐอย่างไรด้วย
อ.อรรณพ เมื่อสักครู่ ท่านวัฒนชัยกล่าวว่า ตั้งแต่เดิมมา ก็อยู่ในสังคมของชาวพุทธ ก็เป็นไปเพียงตามประเพณี ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากมาย แต่พอได้ยินได้ฟังพระธรรม ก็เหมือนว่าค่อยๆ ที่จะช่วยให้เกิดความเข้าใจ ในความเป็นชาวพุทธมากขึ้น
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็ถึงเวลาหรือยัง ที่แต่ละคนจะถึงเวลาที่จะรู้จักพระรัตนตรัย และพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระธรรม และพระอริยสงฆ์
อ.อรรณพ การที่จะได้รู้จักพระรัตนตรัย ตั้งแต่เริ่มต้นคืออย่างไร แล้วที่เพิ่มขึ้นในการที่จะรู้จักพระรัตนตรัยที่ยิ่งขึ้น เป็นอย่างไร
ท่านอาจารย์ ไม่ประมาท และไม่เผิน ในแต่ละคำที่ได้ฟัง ต้องเข้าใจจริงๆ ธรรมคืออะไร ถ้าไม่เข้าใจก็ไม่มีทางที่รู้จักพระรัตนตรัย ไม่รู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรม และธรรมที่ตรัสรู้เป็นธรรมอะไร
อ.อรรณพ ท่านวัฒนชัยครับ ท่านได้ฟังธรรมมา ท่านก็คงจะได้ถ่ายทอดประสบการณ์ ว่าเมื่อท่านได้ศึกษา ได้ยินได้ฟังพระธรรม ท่านมีความเข้าใจในคำว่า ธรรม อย่างไร
พล.อ.วัฒนชัย ส่วนใหญ่จะเข้าใจในเรื่องของอนัตตา ไม่มีตัวตน ที่ท่านอาจารย์กล่าว มันก็จะเผลออยู่เรื่อย เวลาโมโหใครแล้ว ถ้าระลึกว่าไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน มันไม่มีใครเลย ตอนนี้ก็ไม่มีใคร เป็นแต่ธรรมอย่างเดียว ก็เลยถือสิ่งนี้เป็นคติตลอด ก็ค่อยๆ เพราะอย่างที่ท่านบอก แสนโกฏกัป ก็ค่อยๆ ไว้ แต่มีโอกาสดีที่ได้เข้าใจตอนนี้ นับว่าก็เป็นบุญ
ท่านอาจารย์ ไม่มีอะไร แต่ก็มี
พล.อ.วัฒนชัย ก็มี
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีนั้นคือธรรมนั่นเอง ใช่หรือไม่ ไม่อย่างนั้นจะไปหาธรรมได้ที่ไหน
พล.อ.วัฒนชัย อีกเรื่องที่ท่านเคยตรัสว่า ให้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น เป็นสูญ
อ.อรรณพ อ.คำปั่น ในเรื่องของสูญ สุญญตา แปลว่าอะไร มีความหมายอย่างไร ต่อจากท่านวัฒนชัย
อ.คำปั่น กราบท่านอาจารย์ครับ คำว่า สุญญะ ในภาษาบาลี หมายถึงว่างเปล่า ถ้าเป็นสุญญตา ก็แสดงถึงความเป็นธรรมที่ว่างเปล่า ซึ่งในความเป็นจริง ก็คือแสดงถึงความเป็นจริงของธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริง ที่ว่างเปล่าจากความเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล แสดงถึงความหมายที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง ของความเป็นจริงของธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง แต่ทั้งหมดของสิ่งที่มีจริงนั้น ก็คือว่างเปล่าจากความเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคล เพราะว่าในเมื่อเป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งแล้ว จะเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนได้อย่างไร และสภาพธรรมที่เกิด และดับไป ก็คือเกิดแล้วดับ ไม่กลับมาอีกเลย
จึงไม่ควรที่จะยึดถือในสิ่งที่เกิดแล้วดับ ว่าเป็นของเที่ยง เป็นของยั่งยืน หรือว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล ทั้งหมดก็ต้องได้เริ่มฟังเริ่มศึกษาพระธรรมจริงๆ ว่า เป็นการแสดงถึง ธรรมคือสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง จริงๆ
อ.อรรณพ ท่านอาจารย์ครับ ถ้าพูดถึงว่า สุญญตาคือความว่างเปล่า เดี๋ยวคนก็จะเข้าใจว่าไม่มีอะไรเลย ว่างไปเลย ความเข้าใจที่ถูกต้องคืออย่างไร
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นทุกอย่างต้องละเอียด แล้วก็มีความลึกซึ้ง สิ่งที่มีจริง ว่างเปล่า ทุกคำต้องเข้าใจ ใช่หรือไม่ พูดว่าสิ่งที่มีจริงว่างเปล่า ไม่ใช่บอกว่าว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย แต่บอกว่าสิ่งที่มีจริงว่างเปล่า แล้วใครจะเข้าใจคำนี้ได้ ก็เห็นอยู่ว่า ไม่เห็นมีอะไรว่างสักขณะเดียว ใช่ไหม ขณะนี้ก็มีทุกอย่างที่ปรากฏ แต่สิ่งที่ปรากฏที่มีจริง ว่างเปล่า หมายความว่า ถ้าไม่มีสิ่งนั้นเกิดขึ้น จะมีสิ่งนั้นหรือไม่ ค่อยๆ พิจารณา ถ้าไม่มีเสียงเกิดขึ้น จะปรากฏว่ามีเสียงไหม ไม่มี เพราะฉะนั้นเสียงต้องเกิด สิ่งที่มี ต้องเกิด แต่ที่คนไม่รู้ ก็คือว่าสิ่งที่เกิดเดี๋ยวนี้ และทุกกาลสมัย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงว่า สิ่งนั้นดับ ใครจะเชื่อ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม จนกระทั่งค่อยๆ เข้าใจขึ้น จนสามารถประจักษ์ความจริงอย่างผู้ที่เป็นสาวก ได้เป็นพระอริยสาวก เพราะฟังแล้วเข้าใจ จนกระทั่งสามารถที่จะประจักษ์แจ้งทุกคำที่ได้ฟัง สิ่งที่มีจริงว่างเปล่า เพราะจากไม่มี ก็เกิดมี แล้วก็ดับไป ถ้ายังไม่ประจักษ์การเกิดดับ สิ่งนั้นว่างไม่ได้
แต่ว่าขณะนี้ เหมือนไม่ว่างตลอดมาในสังสารวัฏฏ์ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม เพราะเหตุว่ามีการเกิดดับสืบต่อตลอดเวลา สิ่งหนึ่งเกิด และดับ ก็มีปัจจัยที่จะให้สิ่งอื่นเกิดสืบต่อ ไม่มีระหว่างคั่นเลย เหมือนก่อนที่เราจะมานั่งอยู่ตรงนี้ ใช่ไหม และก็มีเราตรงนั้น แล้วเดี๋ยวนี้เราตรงนั้น อยู่ไหน แล้วเดี๋ยวนี้เรานั่งอยู่ตรงนี้ เพียงแค่นิดเดียวผ่านไป เราตรงนี้ก็ไม่มี เป็นสภาพธรรม ที่เกิดสืบต่อ เหมือนมี เหมือนเที่ยง เหมือนเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ยั่งยืน
ถ้ามิฉะนั้นจะไม่มีคำว่า สิ่งที่มีจริงว่างเปล่า ถ้าไม่มีการตรัสรู้ เพราะฉะนั้นแต่ละคำ ต้องเข้าใจถูกต้อง ว่าทุกคนที่ยังไม่พบความว่างเปล่า ของสิ่งที่มีจริง เพราะเหตุว่ายังไม่ได้ประจักษ์แจ้ง การเกิดขึ้นมี และดับไป แล้วไม่กลับมาอีก เสียงเมื่อสักครู่นี้ อยู่ไหน
อ.อรรณพ หมดไปแล้ว
ท่านอาจารย์ ไปหาที่ไหนได้ ในจักรวาลทั้งหมด ไปหาสิ่งที่ดับไปแล้วอีกไม่ได้เลย เหมือนไฟที่ดับ ดับแล้ว แสงสว่างนั้นก็ไม่ได้กลับมาอีก แต่มีแสงสว่างใหม่เกิดสืบต่อ จนเหมือนไม่ดับเลย ฉันใด โลกก็เป็นอย่างนี้ คือโลกไม่เที่ยง มีโลกเมื่อเกิดขึ้น แต่ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี เพราะฉะนั้นแม้แต่ แต่ละคำ เช่นคำว่า โลก หรือโลกะ ก็หมายความถึงสิ่งที่มี
เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีทั้งหมด เกิดเป็นโลกแล้วก็ดับ ก็ค่อยๆ เข้าใจแต่ละคำ แต่ไม่ใช่เพียงฟังแล้วก็จบ แต่รู้ว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ และทรงพระมหากรุณาให้คนอื่นได้เข้าใจถูก แล้วเราที่เพิ่งเริ่มฟัง ฟังต่อไปจนกระทั่งค่อยๆ เข้าใจขึ้น จนกระทั่งมีความมั่นคงในพระรัตนตรัยว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงความจริงให้เราได้รู้ตามด้วย รู้ได้ แล้วก็มีคนที่รู้มาแล้วมากในครั้งพุทธกาล
อ.อรรณพ เพราะฉะนั้นที่ว่า ว่างเปล่าก็คือ ว่างเปล่าจากการที่เป็นบุคคล เป็นสิ่งของ เป็นอะไรอย่างนี้ ใช่ไหม เป็นเพียงสภาพความจริง แต่ละอย่างๆ ที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว แต่สืบต่อจนเราไม่รู้
ท่านอาจารย์ ถ้าเราจะเอาสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เหมือนกับเป็นสิ่งนั้น จะเป็นดอกไม้ จะเป็นโต๊ะ จะเป็นแก้ว จะเป็นอะไรก็ตามแต่ แตกย่อย ทำลายละเอียดยิบ เป็นอะไร ยังคงเป็นแก้วอยู่หรือไม่ เอาไปแตกให้ละเอียด
อ.อรรณพ ไม่เป็น
ท่านอาจารย์ ไม่เป็น เอาดอกไม้ไปแตกให้ละเอียด
อ.อรรณพ ก็ไม่ใช่ดอกไม้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้ว นี่เพียงคร่าวๆ ที่จะให้เห็นว่า สิ่งที่มีเหมือนเที่ยง เป็นดอกไม้อยู่ตลอดเวลา เป็นแก้วอยู่ตลอดเวลา ความจริงก็คือหาเป็นอย่างนั้นไม่ เพราะเหตุว่าแม้แต่แก้ว ดอกไม้หรืออะไรที่ร่วมกัน ก็มีอากาศธาตุแทรกคั่น พร้อมที่จะแตกทำลายได้ แต่พอยังไม่แตกทำลาย เราไม่เห็นความไม่เที่ยง แต่พออะไรที่แตกไปหมดไป เราก็เข้าใจว่าสิ่งนี้ไม่เที่ยง
แต่ความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ไม่ใช่อย่างนี้ ต้องลึกซึ้งกว่านี้ว่า แม้ขณะนี้เอง ถ้าสามารถมีปัญญา รู้เฉพาะสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิด และดับ ไม่กลับมาอีก นั่นจึงรู้ว่าสิ่งนั้นว่างเปล่า คือหาอีกไม่ได้เลยในสังสารวัฏฏ์
อ.อรรณพ เพราะฉะนั้นการที่จะรู้ในสภาพที่ว่างเปล่านั้น ก็ต้องเป็นปัญญาที่เข้าใจ ธรรมตามความเป็นจริงก่อน
ท่านอาจารย์ ค่อยๆ คิด เสียงมี เกิด และหายไป ว่างเปล่า อย่างอื่นก็เช่นเดียวกัน
อ.อรรณพ เพียงแต่ว่าเมื่อมีสภาพธรรมอื่นเกิดขึ้นสืบต่อ จึงทำให้ไม่เห็นในความว่างเปล่า เหมือนกับว่ามีดอกไม้ มีคน มีโต๊ะ มีสิ่งของอยู่ตลอด
ท่านอาจารย์ ถ้าเห็นได้ง่ายๆ จะมีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือไม่
อ.อรรณพ เพราะฉะนั้นนี่ก็เป็นคำตอบแล้วว่า พระพุทธศาสนามีความลึกซึ้ง แล้วก็ความถูกต้องสูงสุดของพุทธศาสนาก็คือ ถูกต้องตรงตามความจริงที่กำลังมี กำลังปรากฏ
ท่านอาจารย์ ทุกคำ เป็นวาจาสัจจะของสัจธรรม
อ.อรรณพ เรามีโอกาสได้เข้าใจว่า พระพุทธศาสนาแสดงถึงสิ่งที่มีจริง แล้วก็แสดงเพื่อปัญญาที่จะเข้าใจสภาพความจริงนั้น หรือแม้กระทั่งที่ท่านวัฒนชัย ท่านกล่าวถึงเรื่องว่างเปล่า สุญญตา ก็เป็นความละเอียดลึกซึ้ง ที่ต้องค่อยๆ เข้าใจกันต่อไป
ท่านอาจารย์ แล้วรู้ไหมว่า เรากำลังกล่าวถึงอริยสัจจะที่หนึ่ง เห็นไหม ทุกคนก็พูดกันแต่อริยสัจ ๔ แล้วก็เริ่มต้นด้วย ทุกขอริยสัจจะ แต่ทุกขะ ที่นี่ไม่ใช่ความรู้สึกเป็นทุกข์ เศร้าหมอง แต่ทุกข์ที่นี่หมายความถึงสิ่งที่ไม่มี แล้วก็เกิดมี แล้วไม่มีอีกเลย เป็นทุกข์ไหม มันทำให้ติดทำให้ลวง คิดว่ายังอยู่ แต่ความจริงว่างเปล่า
อ.อรรณพ เพราะฉะนั้นจากการที่เราเคยเรียน วิชาพระพุทธศาสนาว่า พระพุทธเจ้าสอนอะไร ตอบได้ว่าสอนอริยสัจ ๔ อริยสัจ ๔ ก็มีทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค อะไรอย่างนี้ แต่ว่าทุกข์จริงๆ เราก็นึกว่า แค่ความรู้สึกไม่สบายกาย ไม่สบายใจ แต่เมื่อได้ยินได้ฟังพระธรรม ก็เข้าใจว่าสภาพธรรม ที่เป็นทุกข์คือ สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็ต้องดับไปอย่างรวดเร็วเลย ถ้าเข้าใจอย่างนี้ก็ไม่ง่าย
ท่านอาจารย์ เพียงแค่ฟังเรื่องทุกข์ แต่ยังไม่เห็น ใช่ไหม เพราะถ้าเห็นเมื่อไร เป็นอริยสัจธรรม
อ.อรรณพ อริยสัจธรรม แปลว่า อะไร
อ.คำปั่น เป็นประโยชน์มากเลย ที่ได้ยินได้ฟังคำไหน ก็เข้าใจความจริงของคำนั้น แล้วก็เป็นคำจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพราะว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริง สิ่งที่มีจริงทุกอย่าง ทรงไว้ซึ่งลักษณะของตน ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น ที่กล่าวถึงอริยสัจธรรมก็แสดงถึงว่า เป็นความจริงของผู้ที่เมื่อได้ประจักษ์แจ้งความจริงแล้ว ถึงความเป็นพระอริยะ นี่คือความหมายที่ชัดเจน สิ่งที่มีจริง ที่ทำให้บุคคลผู้รู้แจ้ง ถึงความเป็นพระอริยะ
เพราะฉะนั้นจึงมีทั้งความหมายที่กล่าวถึงว่า เป็นความจริง ที่ทำให้บุคคลผู้รู้แจ้ง ถึงความเป็นพระอริยะ กับความจริงของพระอริยะ เพราะว่าเป็นความจริงที่ท่านได้ประจักษ์แจ้งตามความเป็นจริง
อ.อรรณพ แสดงว่าก็ไม่ใช่เป็นความจริง ที่เราเข้าใจกันทั่วๆ ไปว่า วันนี้เป็นวันอะไร เราจะไปทำอะไร จะไปที่ไหน จะไปซื้อสิ่งของอะไร ก็เป็นจริงโดยสมมติ สื่อสารกันเพื่อชีวิตเป็นไปในแต่ละวัน แต่ความจริง จริงๆ ที่เป็นลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดขึ้นโดยปัจจัย และดับอย่างรวดเร็ว เป็นความดีที่ละเอียดลึกซึ้ง ซึ่งก็เป็นคุณค่ามากๆ ของพระพุทธศาสนา
ท่านอาจารย์ เพราะว่าธรรมเป็นสิ่งซึ่งมีหนทางเดียว ที่จะเข้าใจได้โดยการฟังพระธรรม จนกระทั่งปัญญาเกิดขึ้นเมื่อไร ปัญญาก็เป็นธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งทำหน้าที่ของปัญญา เพราะฉะนั้นหนทางอื่นจะมีไหม ที่จะรู้ทุกขอริยสัจจะที่เรากล่าวถึง
อ.อรรณพ ไม่มีทาง
ท่านอาจารย์ ไม่มีทางเลย เพราะว่าพระธรรมที่ทรงแสดง ตั้งแต่เริ่มต้น ตามลำดับขั้นจนถึงที่สุด คือต้องฟังก่อน พอฟังแล้ว เข้าใจในความไม่มีเรา แต่เป็นธรรมแต่ละหนึ่งๆ ซึ่งหลากหลาย เพราะฉะนั้นธรรมที่สามารถจะรู้ความจริงได้ มี ได้แก่สภาพธรรมที่ภาษาบาลีใช้คำว่า ปัญญา
เพราะฉะนั้นรู้อริยสัจจะด้วยปัญญา ด้วยความที่สามารถเข้าใจขึ้น ในการที่ได้ยินได้ฟังเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นปัญญาทำหน้าที่ แม้แต่เดี๋ยวนี้ที่เราสนทนาธรรม นั่งอยู่ตรงนี้หรือที่ไหน ก็ไม่พ้นจากธรรม ซึ่งเป็นจิต เป็นเจตสิก เป็นรูป
อ.อรรณพ นี่คือพระธรรมคำสอนที่แท้จริง ที่จะแสดงถึงความจริง จริงๆ
ท่านอาจารย์ กว่าจะถึงทุกขอริยสัจจะ กว่าจะเข้าใจแม้แต่คำว่า สิ่งที่มีจริงว่างเปล่า แค่ไม่กี่คำ แต่กว่าจะรู้ได้จริงๆ
อ.อรรณพ อาจารย์จริยาครับ ฟังท่านอาจารย์กล่าวอย่างนี้ว่า พระพุทธศาสนาสอนให้เข้าใจความจริง ที่กำลังมี กำลังปรากฏ แล้วก็เป็นสิ่งที่แม้ขั้นฟังเข้าใจ ไม่ใช่ขั้นที่เราจะไปประจักษ์แจ้ง ก็พอเข้าใจตามว่า ต้องมีปัจจัยให้สภาพธรรมนั้นเกิดขึ้น แล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว ท่านอาจารย์ยกตัวอย่าง เสียงดับไปแล้ว ก็ดับไปเลย เพราะฉะนั้นก็เป็นคำสอนที่ละเอียดลึกซึ้งมาก ถ้าเกิดมีคนเขาถามหรือเป็นประเด็นว่า พระพุทธศาสนาต้องมีองค์ประกอบอะไรบ้าง เช่นต้องมีพระ มีวัด มีศาสนาสถาน ศาสนวัตถุ หรือศาสนพิธีอะไรต่างๆ องค์ประกอบของพระพุทธศาสนาจริงๆ คืออะไร
อ.จริยา องค์ประกอบศาสนา เท่าที่เราได้ยินได้ฟัง ที่อาจารย์อรรณพบอกว่าวัด ศาสนาพิธี อะไรๆ เป็นเรื่องขององค์ประกอบของคนที่ไม่ได้ศึกษาพระธรรม เพราะมองภาพ ซึ่งส่วนตัวถ้าไม่ได้ศึกษาพระธรรมกับท่านอาจารย์ สมัยก่อนเราก็คงจะมองศาสนาพุทธก็คืออะไร วัด พระ แต่จริงๆ แล้วศาสนาพุทธไม่ได้อยู่ที่พระ ไม่ได้อยู่ที่วัด ไม่ได้อยู่ที่ศาสนาพิธี สิ่งเหล่านั้นถ้าทำถูกต้อง เป็นเรื่องของการกระทำที่ถูก เป็นต้นว่า ถ้าเรามองไปที่พระ พระประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ก็เป็นพระ ตามพระพุทธศาสนา เป็นไปตามพระธรรมวินัย แต่ถ้าพระที่รับเงินรับทอง คิดว่าอย่างนั้นไม่ใช่แล้ว
เพราะฉะนั้นถ้าเราจะกลับมาพูดถึงคำว่า ศาสนาพุทธ เราคงไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องพระ ไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องวัด ไม่ต้องคิดถึงเรื่องศาสนพิธีอะไร เราก็ต้องกลับมาที่ ศาสนาพุทธคืออะไร อย่างที่ท่านอาจารย์ถ่ายทอดให้เราฟังอยู่เรื่อยๆ ว่า เราจะต้องศึกษาความจริง ที่พุทธเจ้าตรัสรู้ แล้วนำมาแสดง เทศนาให้กับพระภิกษุในสมัยก่อน แล้วท่านก็ถ่ายทอดลงมาถึงเรา
เพราะฉะนั้นดิฉันคิดว่า ในฐานะที่เราเป็นคนที่เรียกว่า เราเป็นชาวพุทธ หน้าที่ของเราก็คือ ไม่ใช่มองศาสนาพุทธไปที่วัด ไปที่พระ จงมองมาที่การศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ เมื่อเราศึกษาพระธรรมให้เข้าใจแล้ว เราก็ย่อมที่จะค่อยๆ เข้าใจทีละเล็กทีละน้อย อย่างที่ท่านอาจารย์อรรณพบอกว่า เราไม่ได้เข้าใจถึงความจริง จริงๆ ของศาสนาพุทธ เราได้เพียงแต่ฟังให้เข้าใจ เราทราบว่าพระต้องประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ถ้าเราจะเอื้อต่อพระ เราก็ควรที่จะศึกษาพระธรรมวินัยบ้าง พอที่เราจะไม่ไปส่งเสริมให้พระกระทำผิด เป็นต้นว่า เรื่องพระรับเงินรับทอง ถ้าเราไม่ได้ไปส่งเสริม ไม่ได้ไปถวายเงินท่าน ท่านก็คงไม่รู้จะไปเอาเงินมาจากที่ไหน
นี่ก็เป็นเพราะว่าชาวพุทธ คนที่เรียกว่าชาวพุทธทั้งหลาย อยากได้บุญ เมื่ออยากได้บุญก็จะทำอะไร ก็จะทำในสิ่งที่คิดว่าเป็นบุญ นั่นก็คือการคิดว่า การเอาเงินไปถวายพระ แล้วพระก็ยังเอาไปเลี้ยงเด็ก นั่นก็คือการได้บุญสองต่อ
นั่นคือสิ่งที่คนทั่วไปคิด เรื่องอย่างนี้ไม่ใช่ว่าดิฉันไม่เคยคิด เคยคิด สมัยก่อนก็คิดว่า การที่เราจะทำบุญอะไรสักอย่าง ทำบุญกับพระ น่าจะได้บุญมาก ดังนั้นเราก็อาจจะ เมื่อไรที่เราต้องการทำอะไรที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนา เราก็ต้องคิดถึงพระก่อน จะไปทำบุญที่วัด จะนิมนต์พระมาถวายภัตตาหารเพลให้กับท่าน แล้วก็ถวายสิ่งของก็จะได้บุญ ไม่ได้คิดเลยว่า สิ่งที่เราทำนั้น เราไปส่งเสริมให้พระกระทำผิดวินัย เราคือต้นเหตุของผู้ทำลายพระศาสนาที่แท้จริง เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ พอทราบแล้วเราก็ต้องยุติ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่ละเอียด ศาสนาพุทธหรือพุทธศาสนา ศาสนาคือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นต้องตรง