003 สนทนาพิเศษเรื่องการบวช
สนทนาพิเศษ เรื่อง การบวช
ที่ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
วันอาทิตย์ที่ ๒๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ตอนที่ ๓
ท่านอาจารย์ ไม่ไปบวช ก็เป็นคนดีได้
อ.อรรณพ แต่ต้องด้วยความเข้าใจ แต่ไม่ใช่อย่างเหมือนที่เราคุยคราวก่อน ว่า ต้องมีการตั้งหมู่บ้านรักษาศีล ๕ นั่นก็ไม่ใช่
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เลย หมู่บ้าน หมายความว่า อย่างไร จะมารักษาศีล ๕
คุณทวีศักดิ์ คนทั้งหมู่บ้าน
ท่านอาจารย์ หมู่บ้านมีกี่คน แต่ละบ้านๆ
คุณทวีศักดิ์ อย่างน้อยๆ ก็หลายร้อยคนหรือพันคน
ท่านอาจารย์ แล้วพระธรรมวินัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่สำหรับหมู่บ้าน สำหรับโลกทุกโลก ทั้งมนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก ความดีไม่จำกัดเลย ว่าเฉพาะหมู่บ้าน และทำไมเราจะจำกัดเฉพาะหมู่บ้านนี้ศีล ๕ หมายความว่าหมู่บ้านอื่นไม่ได้รักษาศีล ๕ อย่างนั้นหรือ
คุณทวีศักดิ์ โดยข้อเท็จจริง มันเป็นไปไม่ได้ด้วย
ท่านอาจารย์ ไม่มีทางเป็นไปได้เลย
คุณทวีศักดิ์ หรือถ้าเราจะดูตัวชี้วัดในสังคมเราปัจจุบัน ภาพมันชัดเจนจริงๆ ว่า เช่น เรื่องของการโกหก วจีทุจริตต่างๆ เรื่องของการประพฤติผิดในกามก็มีมาก ส่งผลไปจนถึงเกิดโรคทางเพศ ทั้งโรคเอดส์ โรคอะไรต่อมิอะไร หรือว่า
อ.อรรณพ ปัญหาสังคม
คุณทวีศักดิ์ หรือว่าตั้งท้อง ที่ว่าประเทศไทยมีแม่วัยสาว นักเรียนที่อุ้มท้องมากที่สุดในเอเชีย แล้วก็เรื่องดื่มน้ำเมาก็มาก ติดอันดับโลกเหมือนกัน สิ่งต่างๆ เล่นการพนัน อะไรสารพัด มันก็ยังกลาดเกลื่อนไปอยู่ทุกหนทุกแห่ง ดูแล้วยากที่จะเป็นไปได้
อ.อรรณพ เมื่อสักครู่ที่อาจารย์พูด สะท้อนให้เห็นว่า เมืองไทยไม่ได้เป็นเมืองพุทธจริงๆ
คุณทวีศักดิ์ ไม่ใช่ ถ้าเป็นเมืองพุทธ คงไม่ใช่อย่างนี้
อ.อรรณพ ดังนั้นที่ทำกัน ที่สนับสนุนมาให้บวช เกณฑ์กันบวช ยิ่งมากยิ่งดี ก็อย่างที่ได้สนทนากันแล้ว ก็ไม่ได้ทำให้ผู้เข้าไปบวชได้มีความเข้าใจอะไรเลย แล้วก็ไม่ได้มีการเผยแพร่พระธรรมที่มีคุณค่าจริงๆ เลย เพราะว่าถ้าเข้าใจ ความจริง คือ เข้าใจธรรม เป็นประโยชน์ แล้วก็จะคลี่คลายปัญหาสังคมอะไรทั้งหมดเลย ทุกคนก็พูดกัน พุทธศาสนานี้ดีที่สุด แก้ปัญหาสังคมได้ แต่ว่าไม่มีการศึกษา ไม่มีการที่จะเผยแพร่ในสิ่งที่ถูกต้อง กับทั้งไม่ว่าจะเป็นเยาวชนหรือผู้สูงวัย วัยทำงานหรืออะไรทั้งสิ้น ก็เลยเป็นไปตามกำลังของกิเลส ซึ่งอย่างที่อาจารย์ได้พูดถึงสถิติที่ปรากฏขึ้น ก็เรียกว่าตัวชี้วัด ให้เห็นว่าเป็นสังคมที่ไม่มีความรู้ ความเข้าใจ ความจริงคือธรรมอะไร มีแต่ชื่อว่าชาวพุทธ พุทธศาสนา
คุณทวีศักดิ์ คือเราอ้างกันมานานแล้วท่านอาจารย์ เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ ซึ่งก็ไม่รู้ว่า ประโยคนี้เริ่มต้นมาจากคำพูดของใครก็แล้วแต่ แต่สะท้อนถึงว่า โดยแท้ที่จริงแล้วไม่ใช่เมืองพุทธ อ.คำปั่น กรณีที่ว่า เราเองผิดจากหลักธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ว่าจะตื่นมงคล งมงาย ไสยศาสตร์ วัตถุมงคล เครื่องรางของขลัง เดรัจฉานวิชา สารพัด เรื่องราวต่างๆ อย่างนี้ อยากให้ อ.คำปั่น ได้กล่าวถึงด้วย
อ.คำปั่น สิ่งเหล่านี้ก็คือ ไม่เป็นไปตามพระธรรมวินัย คือผิดจากพระธรรมคำสอน ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่ใช่ชาวพุทธแน่ ถ้ามีความประพฤติเป็นไปอย่างนั้น กล่าวได้เลยว่า ความประพฤติเป็นไปอย่างนั้น แสดงถึงความไม่เข้าใจ ในความเป็นเหตุเป็นผลของธรรม ไม่เข้าใจในคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งในเรื่องของความประพฤติที่ผิด ความงมงาย ความหลงในสิ่งที่ไม่เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรมทั้งหลาย จริงๆ ก็มีมาตั้งแต่นานแล้ว แม้ในสมัยพุทธกาลก็มี
แต่พอมีการอุบัติขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ก็ทรงแสดงธรรม ชี้แจงให้ได้เข้าใจอย่างถูกต้องว่า สิ่งนั้นไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง เพราะบางคนก็สอนผู้อื่นว่า ต้องถึงภูเขาเป็นที่พึ่ง ถึงสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง พระองค์ก็ทรงแสดงว่า นั่นไม่ใช่ที่พึ่งที่แท้จริง พระองค์ก็ทรงแสดงที่พึ่งที่แท้จริง ก็คือ พระรัตนตรัย เกื้อกูลแก่ผู้ฟัง ผู้ศึกษาจะได้เข้าใจอย่างถูกต้อง เกิดปัญญาเป็นของตนเอง บุคคลเหล่านั้นได้ฟังความจริง สามารถทิ้งในสิ่งที่ผิดได้ ไม่กระทำในสิ่งที่ผิดอีกต่อไป เพราะว่าได้อาศัยพระธรรมคำสอน ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเป็นที่พึ่ง เป็นชาวพุทธที่แท้จริง เพราะว่าได้เข้าใจในคำสอน ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง
เพราะฉะนั้นการเป็นชาวพุทธที่แท้จริงก็คือ ได้ศึกษา และได้เข้าใจในพระธรรมคำสอน ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แต่พฤติกรรมต่างๆ ที่ผิดไปจากพระธรรมวินัยในยุคนี้ สมัยนี้ หรือว่าในยุคใดสมัยไหนก็ตาม ก็เพราะว่าไม่ได้เข้าใจในพระธรรมคำสอน ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงนั้นเอง
คุณทวีศักดิ์ ท่านอาจารย์ครับ ถ้าจะพูดภาพใหญ่จริงๆ แล้ว ชาวพุทธในกรณีนี้ ก็คงจะหมายถึง ทั้งภิกษุ อุบาสก อุบาสิกา แต่เราจะมาที่คฤหัสถ์ก่อนอุบาสก อุบาสิกา ก็เป็นชาวพุทธโดยนับถือตามบรรพบุรุษ ตามพ่อแม่ ตามผู้ปกครองก็แล้วแต่ แต่ก็ไม่เคยมีความรู้เรื่องพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง คืออย่างน้อย ในหลักสูตรทางโลก กระทรวงศึกษาธิการ ก็มีวิชาสังคมศึกษา วิชาพระพุทธศาสนา อะไรต่างๆ เขาก็เรียนตัวหนังสือกันมา แต่ว่าก็เรียนเพื่อสอบ ไม่เคยรู้ ไม่เคยเข้าใจ ครูเองก็เช่นเดียวกัน ไม่สามารถถ่ายทอดเรื่องต่างๆ เหล่านี้ ทำให้เด็กได้มีข้อคิด ข้อพิจารณา ก็เป็นแต่ตัวพยัญชนะ ตัวหนังสือ แล้วตอบให้ถูก วงกลมให้ถูก ระบายดินสอให้ถูก ว่าข้อไหนถูก ไม่ถูก แล้วก็จบกันไปแค่นั้น ซึ่งน่าเสียดายยิ่งว่า เรื่องต่างๆ เหล่านี้ การศึกษาเราเอง เราก็ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่มีคุณภาพ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นไม่รู้ว่าเรียนอะไร เพราะว่าไม่เข้าใจอะไร แปลว่าถ้ามีความเข้าใจจริงๆ ว่าแม้แต่ แต่ละคำควรเข้าใจให้ถูกต้อง เช่น คำว่าอุบาสก อุบาสิกา คือใคร
อ.คำปั่น อุบาสก อุบาสิกา ก็คือ ผู้ที่เข้าไปนั่งใกล้พระรัตนตรัย ในฐานะที่เป็นคฤหัสถ์
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นพระธรรม ทรงแสดงไว้ชัดเจน ใช่ไหม พุทธบริษัท คือ ภิกษุ ผู้เห็นภัยในสังสารวัฏฏ์ ผู้สละชีวิตที่จะศึกษา และอบรมขัดเกลากิเลส ในเพศบรรพชิต ในครั้งโน้นมีภิกษุณี แต่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ทรงประสงค์ให้มีพระภิกษุณี เห็นได้จากการที่พระนางมหาประชาบดี ทูลขออุปสมบท กว่าจะได้อุปสมบท ก็ต้องให้ยืนยันในการที่ว่า มีเพราะเหตุใด มีเพราะเหตุว่า ในสมัยนั้นผู้หญิงที่สะสมปัญญามา สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม ถึงความเป็นพระอรหันต์ได้ เพราะว่าภิกษุณี และภิกษุ ก็เป็นเพศของพระอรหันต์
เพราะฉะนั้นสำหรับผู้ที่ได้เป็นอุบาสก อุบาสิกา ไม่ใช่ภิกษุ ก็คือผู้ที่นั่งใกล้พระศาสนา แต่ถ้าใครก็ตาม ไม่ฟังธรรมเลย ไม่เข้าใจธรรมเลย แล้วก็อยากจะให้คนอื่นเขาบวช เป็นอุบาสก อุบาสิกาหรือเปล่า
คุณทวีศักดิ์ ไม่ใช่
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เราไม่มีการศึกษาพระศาสนาทีละคำ คิดว่าเรารู้หมดเลย พอพูดถึงอุบาสิกา เราก็คิดว่า เราเข้าใจว่าอุบาสิกาคือใคร คือผู้หญิงที่นับถือพุทธ แต่ไม่ได้เข้าใกล้ ไม่มีการฟัง ไม่มีการเข้าใจธรรมเลย แล้วจะเป็นอุบาสิกาได้อยางไร
คุณทวีศักดิ์ หรือแม้กระทั่งคำที่เราได้ยินกันบ่อยๆ เช่นว่า เหมือนกับว่าตัวเองได้ศึกษา ได้ร่ำเรียนมีความเข้าใจที่ถูกต้อง พอมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นมา เขาก็จะบอกว่า อย่าไปคิดอะไรมาก เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป จะใช้ประโยคอะไรแบบนี้ออกมาพูดกัน ลักษณะเพื่อแสดงให้เห็นว่า ตัวเองมีภูมิ เข้าใจเรื่องอะไรต่ออะไร แต่ตัวผู้พูดก็ไม่เคยเข้าใจ
ท่านอาจารย์ ถ้าถามก็ไม่รู้ ได้แต่พูด แม้แต่คำว่า อนัตตา คือ พูดทุกคำจากการได้ยินได้ฟังเผินๆ แม้แต่การอ่าน เพียงแค่ไม่กี่คำ แล้วก็กล่าวคำนั้นตามความคิด ความเข้าใจของตนเอง ไม่มีความเคารพในแต่ละคำ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าลึกซึ้ง แต่ละคำนี่ต้องไตร่ตรอง พิจารณา จนเป็นความเข้าใจที่มั่นคง เพราะว่าความเข้าใจนั้น ก็จะทำให้เข้าใจคำอื่นๆ ที่ทรงแสดงไว้ ใน ๔๕ พรรษา ซึ่งแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่คำที่อยู่ในหนังสือกระทรวงศึกษาหรืออะไรๆ ทั้งสิ้น แต่ แต่ละคำกล่าวถึงความจริง ซึ่งเป็นสัจธรรมที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรม ต้องทีละคำ เเละต้องศึกษาด้วยความเคารพจริงๆ ว่า ถ้ายังไม่เข้าใจคำนั้นจริงๆ ทำลายคำสอนของพระศาสนา
คุณทวีศักดิ์ ในขณะนี้ปกติ ครูผู้สอนนั้นก็ไม่ใช่ว่าเป็นผู้สนใจศึกษา พระธรรม หรือว่าไม่ได้ประพฤติปฏิบัติในศีล ๕ ไม่ได้มีอะไรที่แสดงตนเป็นแบบอย่าง ที่ควรค่าแก่การนับถือ ให้เป็นแบบอย่างที่ดี ก็จะเป็นลักษณะเหมือนกันว่า แม่ปูสอนลูกปูให้เดิน ตัวเองก็เดินเบี้ยว ลูกปูก็เดินเบี้ยวตาม ก็ไม่มีทางเป็นแบบอย่างที่ดี ในขณะเดียวกัน ตอนหลังไปเอาพระภิกษุมาสอน ไปเข้าค่ายอะไรต่อมิอะไร พระภิกษุที่ไปทำหน้าที่ถ่ายทอด ไปสอนอะไร
ผมมีประสบการณ์ตรงจากลูกสาวผมตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก ไปเข้าค่าย ไปวัดเลย ไปอยู่ ๒-๓ วัน เวลาเขาไปนั่งหลับตา ที่เรียกว่านั่งสมาธิตามแบบอย่างที่พระสอนปฏิบัติอะไร รองเท้ายังไม่ได้ถอดเลย รองเท้าก็แข็งๆ แล้วก็ไปนั่งขัดสมาธิ ไปกดทับอะไร เด็กก็ทรมานสารพัดเลย แล้วก็นั่งไม่รู้เรื่องอะไร ก็ฟุ้งซ่าน คิดอะไรอุตลุตไปหมดเลย
ท่านอาจารย์ ทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะไม่เข้าใจ ใช้คำว่าสมาธิ ก็ไม่รู้ว่าสมาธิอะไร ใช้คำว่าวิปัสสนา ก็ไม่มีความรู้อะไรเลย แต่ไปทำวิปัสสนา เพราะฉะนั้นก็ควรที่จะได้เข้าใจให้ถูกต้อง ว่าพระธรรมละเอียดลึกซึ้ง ต้องศึกษาด้วยความเคารพ มิฉะนั้นเข้าใจผิด ก็คือการทำลายพระพุทธศาสนา เพราะฉะนั้นตอนนี้คิดว่าชาวโลก คิดว่าสำนักปฏิบัติวิปัสสนา เป็นพระพุทธศาสนา แต่เขาไม่รู้ว่า สำนักวิปัสสนาทำอะไร
อ.อรรณพ ซึ่งตรงนี้มีผลกระทบเสียหายมากมาย ที่ผู้บริหารหรือผู้ที่ดูแล อาจจะมองไม่เห็นจริงๆ อย่างเช่น ที่อาจารย์บอกว่า ก็จะให้มีการไปเข้าค่ายคุณธรรม จริยธรรม โดยภิกษุดำเนินการบ้าง หรือคฤหัสถ์ดำเนินการ ให้ไปนั่ง ขาดไม่ได้เลย ก็เป็นเรื่องของการไปทำสมาธิ
เพราะฉะนั้นเยาวชนที่เข้าไปในค่าย จะแตกต่างกันไปอย่างนี้ บางคนชอบเลย บางคนชอบ ชอบไม่รู้อย่างนี้ แล้วก็เลยหลงไปอย่างนี้ ก็ไม่ได้ทำให้เข้าใจอะไร แต่บางคนเขามีเหตุผล เขามาทำอย่างนี้ แล้วเขาได้อะไร เขาก็จะมีความคิดที่ไม่ดีกับพุทธศาสนา ใช่ไหม ว่าพระพุทธศาสนาสอนอย่างนี้หรือ เขาก็ไม่สนใจ เขาเป็นคนที่เบื่อหน่ายไปเลยที่จะเห็นพุทธศาสนาเป็นอะไรที่ไม่ได้เป็นประโยชน์กับเขา และให้เขาไปทำอะไรก็ไม่รู้ ก็มี
เพราะฉะนั้นมีผลเสียต่อทัศนคติของเยาวชนที่เข้าไป หนึ่งเชื่อ ก็หลงใหลไปเลย ซึ่งไม่ได้ทำให้เด็กเข้าใจอะไร ถ้าเขามาศึกษาธรรม สนทนาธรรม เขาก็ตอบได้ วันก่อนเป็นสนทนาที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นักศึกษาเขาก็ตอบได้ว่า ถ้าจะเข้าใจว่า ธรรมคืออะไร เข้าใจจากการไปนั่งสมาธิ หรือเข้าใจจากการศึกษาสนทนา เขาก็ตอบถูกว่า ต้องเป็นการฟัง การสนทนา เป็นสิ่งที่เราปลูกฝังได้ เหตุผลตามวัยของเขา แม้เด็กเล็กๆ อายุแปดเก้าขวบ เขาก็ไตร่ตรองได้ แต่ว่าผู้ใหญ่เข้าใจธรรมหรือยัง แล้วผู้ใหญ่จะให้สิ่งที่ถูกต้องได้อย่างไร
เพราะฉะนั้นผู้ใหญ่ก็ต้องศึกษาพระธรรมก่อน และให้เข้าใจว่าพระธรรมคืออะไร แล้วก็หนทางคืออะไร มิเช่นนั้นถ้าตอนนี้ก็กลายเป็นธุรกิจ สถานปฏิบัติธรรมหรือเปล่า คือเดี๋ยวนี้ง่ายดี นักกิจกรรม นักเรียน นักศึกษาก็เหมือนว่า ดี ได้งบประมาณมาเท่านี้ แล้วก็คุยกับสำนักปฏิบัติธรรม หรือสถานที่ปฏิบัติธรรมว่า ใช้งบเท่าไร ก็เอางบนี้เข้าไปเลย แล้วเขาก็จัดการไป ก็ง่ายดี แต่จริงๆ เพราะความไม่รู้ว่า พระพุทธศาสนาจริงๆ คืออย่างไร มงคลท่านก็แสดงไว้แล้ว การฟังธรรม การสนทนาธรรมเป็นมงคล เป็นบุญ ใช่ไหม ที่เป็นบุญ ที่จะชำระจิตหรือบุญ ก็จะต้องเป็นในเรื่องของความเข้าใจความจริง ที่ได้จากการฟัง การศึกษา การสนทนา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงแสดงอย่างนี้
แต่เราไม่สนใจคำสอน ผมว่ากลายเป็น ลัทธิครูอาจารย์ ว่าสำนักนี้จะทำอะไร สำนักนั้นจะทำอะไร แล้วโรงเรียนนี้ หรือสถาบันนี้ รู้สึกว่าคุ้นเคยกับส่วนไหน ก็พานักเรียน นิสิตนักศึกษาไปที่นั่น ก็มีเป็นรายวิชา แล้วก็คิดเอาเองว่าอย่างนี้จะทำให้เกิดศีลธรรม จริยธรรม เรื่องเหล่านี้ทำมาหลายสิบปีแล้ว แล้วตัวบ่งชี้ที่อ.ทวีศักดิ์ได้กล่าวถึงว่า อาชญากรรมเป็นอย่างไร การคดโกงเป็นอย่างไร การล่วงล้ำทางเพศเป็นอย่างไร การประพฤติผิดต่างๆ ที่มากมายขึ้น กลับมากมายขึ้น
เพราะว่าเราไม่ได้ให้เขาเข้าใจความจริง แต่เราให้เขาไปทำ เพราะฉะนั้นมีเยาวชนจำนวนมากเลย ที่เขาบอกว่า ให้เขาไปนั่ง เขาก็นั่งได้ แต่เขาไม่รู้ เขาไม่ได้อะไร เขาก็รู้สึกไม่ดีกับศาสนา เขาก็เลยไม่ได้มีการที่จะสนใจศึกษาให้เข้าใจความจริง ซึ่งมีประโยชน์มากๆ เพราะว่าพระพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่อัศจรรย์ เพราะเป็นความจริงแท้ ที่ถือสภาพธรรม ที่กำลังมีตามความจริง ว่าอะไรดีเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล แสดงชัดเจน เมื่อเข้าใจแล้ว ก็จะรู้ว่าสิ่งที่ควรคือไร และสิ่งที่ไม่ควรคืออะไร เขารู้โดยปัญญาของแต่ละคนเอง นั่นแหละคือการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง คือปลูกปัญญาให้กับคน โดยอาศัยพระธรรม
คุณทวีศักดิ์ ท่านอาจารย์ก็ถ้าจะพูดถึง เรื่องความเข้าใจคลาดเคลื่อน ทั้งชาวพุทธในประเทศ แล้วก็ชาวต่างชาติที่ไม่ใช่ชาวพุทธ เขาก็จะเข้าใจว่าพระพุทธศาสนาก็คือ การนั่งสมาธิ ซึ่งก็เป็นความเห็นผิดที่เนื่องจากเขาไม่รู้ เขาก็มีความเห็นผิด ก็เชื่อตามๆ กัน หรือว่ามีการดำเนินการในลักษณะอย่างนี้มากมายในสังคม เขาก็เลยเข้าใจว่าพระพุทธศาสนาเป็นอย่างนี้ ต้องมานั่งสมาธิ ต้องไปสำนักใดสำนักหนึ่ง แล้วก็โดยแท้ที่จริงแล้ว ถ้าจะพูดถึงว่าการนั่งสมาธิ ถูกต้องตรงตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์หรือไม่ ถ้าผมจะกล่าวว่า มันมีความไม่ถูกต้องในประการหนึ่ง ก็คือว่า พระพุทธศาสนาสอนในเรื่องหลักไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งอนัตตา ความไม่มีตัวตน ไม่สามารถบังคับบัญชาได้ การไปนั่งสมาธิ คืออัตตา อยากให้ท่านอาจารย์ช่วยกรุณาอธิบายให้ฟังเพิ่มเติมด้วยครับ
ท่านอาจารย์ เพราะว่าจริงๆ แล้ว ได้ฟังคำไหน ไม่เคยพิจารณาไตร่ตรอง ซักถามจนกระทั่งรู้ความจริง แต่เชื่อทันที เพราะฉะนั้นพอได้ยินคำว่า ธรรม ไม่รู้เลย แต่ว่าพูดตลอดเวลาว่าศึกษาธรรม ปฏิบัติธรรม แต่ถามว่าธรรมคืออะไร ไม่รู้ และศึกษาได้อย่างไร แล้วก็ปฏิบัติได้อย่างไร ด้วยเหตุนี้เพียงได้ยินคำว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัญญาของพระองค์ระดับไหน ไม่ใช่ระดับที่ทรงแสดงธรรม เราเข้าใจได้ทันที แต่ต้องไตร่ตรองจนกระทั่งว่า แม้เข้าใจเพียงคำเดียว คำนั้นจะสอดคล้องทั้งหมด กับทุกคำที่พระองค์ได้ตรัสแล้ว ถึงความเป็นพระอรหันต์
เพราะฉะนั้นถ้าถามว่า ธรรมคืออะไร ก่อนที่จะไปปฏิบัติธรรมไม่รู้เลย แล้วธรรมคืออะไร แล้วไปปฏิบัติธรรมได้หรือ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นปัญญา ทุกคำแสดงความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งใครก็คิดไม่ถึง ในสังสารวัฏฏ์นานแสนนานมาแล้ว ไม่มีใครสามารถที่จะรู้จักธรรมด้วยตัวเอง จนกว่าจะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคนเหมือนกับว่าธรรมเป็นของตื้นๆ ใช่ไหม แต่ว่าความจริง ไม่ว่าจะไปปฏิบัติธรรม สมาธิหรือว่าวิปัสสนา หรืออะไรก็ตามแต่ ตอบสิว่า ธรรมคืออะไร ถ้าไม่รู้แล้วทั้งหมดก็เป็นโมฆะ เพราะว่าไม่รู้เลย แต่ไปทำอะไร เพราะฉะนั้นพระธรรมลึกซึ้งอย่างยิ่ง สมควรที่ทุกคนจะเคารพ โดยการที่ไม่ประมาท ศึกษาแต่ละคำให้เข้าใจถ่องแท้จริงๆ มั่นคง
คุณทวีศักดิ์ อยากจะให้ท่านอาจารย์กรุณาอธิบายต่อ คำว่า ธรรมคืออะไร ถ้าจะเริ่มต้นว่า ธรรมก็คือพระธรรม คือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่องอะไร อันนี้จะมาเข้าตรงธรรมแล้ว ใช่ไหม
ท่านอาจารย์ หมายความว่า ถ้าไม่มีอะไรเลยในโลกนี้ พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ได้ไหม
คุณทวีศักดิ์ ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ไม่ได้เลย เพราะมันไม่มีอะไร ใช่ไหม ไม่มีอะไรจะรู้ แต่ว่าเดี๋ยวนี้ มีไหม
คุณทวีศักดิ์ มี
ท่านอาจารย์ เยอะไหม
คุณทวีศักดิ์ รอบตัวมากเหลือเกิน
ท่านอาจารย์ ทั้งหมด สิ่งที่มีจริง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงเป็นธรรม คือสิ่งที่มีจริง ซึ่งใครไม่สามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งนั้น ไม่เผินแล้ว ใช่ไหม แม้แต่เพียงคำเดียวว่า ธรรม เพราะฉะนั้น พูดคำที่ไม่รู้จักตั้งแต่เกิดจนตาย แต่ละชาติ จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม เพราะแม้แต่จะพูดคำว่าธรรมมานานหลายครั้ง ก็ยังตอบไม่ได้ว่า ธรรมคืออะไร แต่พอได้ฟังคำของสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมคือสิ่งที่มีจริงๆ แต่ลักษณะความเป็นจริงของสิ่งนั้นไม่ปรากฏ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์แจ้งความจริงของทุกสิ่ง แต่ละคำต้องพิจารณา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์แจ้งความจริงของทุกสิ่ง โดยสิ้นเชิง โดยประการทั้งปวงถึงที่สุด
เพราะฉะนั้นเราเริ่มเข้าใจว่า ธรรมต้องมีจริงๆ ถ้าไม่มี พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงตรัสรู้อะไร แต่ทรงตรัสรู้ความจริงของธรรม ซึ่งมี แต่คนอื่นไม่รู้ ยกตัวอย่างง่ายๆ ดอกกุหลาบมีไหม
คุณทวีศักดิ์ มีจริง
ท่านอาจารย์ เป็นอะไร
คุณทวีศักดิ์ เป็นรูป รูปธรรม
ท่านอาจารย์ ต้องได้ฟัง จึงจะรู้ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นเราไม่ใช่ฟังเเต่คำตอบ ต้องถามว่า แล้วรูปธรรมคืออะไร รูปธรรมหมายความว่า สิ่งนั้นมี แต่ว่าไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น คำใดก็ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแล้ว คำนั้นไม่เปลี่ยน ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้เลย เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงหลากหลายเหลือเกิน สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นดับ คำว่าดับ หมายความว่า ไม่เหลือ ไม่กลับมาอีก ไม่มีอีกเลย
คุณทวีศักดิ์ ขออนุญาตย้อนกลับมาที่ดอกกุหลาบสักนิด ถ้าโดยทั่วไปนั้นคนที่ไม่เคยฟังธรรมเลย เขาก็รู้จากความจำ ว่านี่คือดอกกุหลาบ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นความจำมีไหม
คุณทวีศักดิ์ มีจริง
ท่านอาจารย์ ทุกอย่าง ไม่เหลือเลยทั้งหมด แต่ละคำๆ ต้องศึกษา ความจำมีจริง เราจำหรือเปล่า
คุณทวีศักดิ์ เราจำ
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีจำ จะมีเราไหม
คุณทวีศักดิ์ ก็ไม่มีเรา
ท่านอาจารย์ เพราะมีจำ แต่จำเกิดขึ้น จำดับไปก็ไม่รู้เลย ก็เข้าใจว่ายังเหลืออยู่ ยังมีอยู่ และเป็นเราด้วย เป็นความเห็นผิดหรือความเห็นถูก ที่เข้าใจว่าสิ่งที่มีนั้นเป็นเรา
คุณทวีศักดิ์ เห็นผิด จริงๆ แล้วก็คือไม่มีเรา
ท่านอาจารย์ เป็นธรรม สิ่งที่มีต้องเป็นธรรม
คุณทวีศักดิ์ ท่านอาจารย์ต่อเลยครับ เช่น สิ่งต่างๆ ทั้งหลายเป็นความจำ ก็เป็นสิ่งที่ถูกสมมติขึ้นมาทั้งสิ้น
ท่านอาจารย์ สิ่งที่มีจริง ต้องมีจริง
คุณทวีศักดิ์ มีจริงแต่ว่าสมมติโดยคำเรียกต่างๆ ให้เข้าใจ
ท่านอาจารย์ ต้องทีละคำ อย่างช้าๆ ด้วย อย่างเกลี้ยง หมดความสงสัย เพราะฉะนั้นถ้าเราบอกว่าดอกกุหลาบคืออะไร ถ้าบอกว่าดอกกุหลาบมี ดอกกุหลาบคืออะไร