ปัญญาประเสริฐสุด
ปัญญาเริ่มจากการฟังพระธรรม ซึ่งจะสะสมไปทีละเล็กละน้อย และเป็นไป เพื่อละความไม่รู้ ความจริงของสภาพธรรมแต่ละอย่าง ที่ว่างเปล่า จนกว่าจะดับกิเลสได้ ตามลำดับตามความเป็นจริง ดังนั้นปัญญาจึงประเสริฐสุด
จากการสนทนาธรรมที่โรงแรมบียอนรีสอร์ท จังหวัดกระบี่ ๑๑ มกราคม พศ. ๒๕๖๐
ผู้ฟัง กว่าจะเข้ามาฟัง จะอาศัยอะไร เพราะมีความรู้สึกว่าอดทนมากในการฟัง หรือว่ามีความเพียร มีศรัทธาอะไรอย่างนี้
ท่านอาจารย์ แค่คิดถึงห้าสิบ หกสิบปี เก้าสิบปี กับคิดถึงอีกหนึ่งอสงไขยแสนกัปป์ เทียบกันได้หรือไม่ เวลาก็ไปเรื่อยๆ จากวันเดือนปี จนถึงร้อยปีพันปี จนถึงหนึ่งกัปป์ สองกัปป์ ความเข้าใจวันนี้ ก็จะติดตามไป หมายความว่าถ้าเป็นความเข้าใจที่ถูกต้องจริงๆ ก็จะมีโอกาสที่จะรู้ว่า สิ่งใดเป็นเหตุ เป็นผล เป็นความถูกต้อง แม้แต่การฟังธรรม รู้หรือไม่ เพียงแค่จะฟังก็เป็นเรื่องละแล้ว ทำไมเราไม่ไปทำอย่างอื่น แต่อย่างน้อยที่สุดก็คือว่า ได้ฟังสิ่งซึ่งต้องมีประโยชน์แน่นอน แต่ว่าสามารถที่จะเข้าใจได้มากน้อยเท่าไร นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่อย่างน้อยที่สุด เริ่มเข้าใจความหมายของคำว่าละ ละความติดข้อง โดยเฉพาะถ้าถูกต้องก็คือว่า ละความติดข้องในความไม่รู้ เพราะว่าทั้งหมดไม่รู้ทั้งนั้นเลย ไม่ว่าจะชอบ หรือว่าจะโกรธ หรืออะไรจะเกิดขึ้น ในแต่ละวัน ในแต่ละภพ แต่ละชาติ ทั้งหมดนั่น เพราะความไม่รู้
การฟังเริ่มต้นจากละความไม่รู้ และก็ฟังด้วยความละต่อๆ ไป จึงสามารถที่จะเจริญขึ้น ในการที่จะรู้ว่า ความจริงแล้วก็คือว่าทุกอย่างว่างเปล่า แค่คำนี้คำเดียว ลองคิดหลายๆ ชั้น ว่าจริงหรือไม่ เห็นเกิดขึ้น เห็นดับไป ทุกคนเข้าใจ พอฟังธรรมก็ไม่มีซักอย่างเดียวซึ่งยั่งยืน แม้แต่เห็นขณะนี้ ก็กำลังเกิดดับ แต่ปัญญายังไม่ถึงการที่จะประจักษ์แจ้ง อีกนานเท่าไร ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ใครจะไปพากเพียรพยายาม แต่จากความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยนี่แหละ ค่อยๆ ละ ค่อยๆ คลายความไม่รู้ ในแสนโกฏกัปป์ หรือว่ากี่หมื่น กี่พันกัปป์ก็ตามแต่ ยิ่งใหญ่มากมายกว่าจักรวาล แล้วจะหมดไปได้ทันที เป็นไปไม่ได้แต่เมื่อเริ่มด้วยกันละความไม่รู้ ก็จะค่อยๆ ละไปเรื่อยๆ ทีละเล็กทีละน้อย
แม้แต่คำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ไม่มากมาย แต่ต้องไตร่ตรอง เช่นทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ย่อมมีความดับไปเป็นธรรมดา นี่แหละประโยคหนึ่งละ ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีความเกิดขึ้น สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา ต้องรู้ว่าเดี๋ยวนี้เห็นดับ เพราะเกิดเห็นแล้วก็ดับ เดี๋ยวนี้ได้ยินก็เกิดดับ ทุกอย่างก็เกิดดับ แต่ลองคิดถึง ถ้ามีความเข้าใจที่มั่นคงขึ้น สิ่งที่ดับแล้วไม่กลับมาอีก ถูกต้องไหม เพิ่มความเห็น ความไม่มีสาระ ของสิ่งที่เกิดหรือไม่ ว่าจากที่ไม่มี ไม่มีเสียง เเล้วก็มีเสียง แค่นั้นแหละนิดเดียว แล้วก็หมดไป แล้วทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ใช่เพียงแค่เสียง คิดแค่นิดเดียว เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เห็นก็เล็กน้อย สั้นมากเกิดขึ้น และก็ดับไป ถ้าไม่คิดถึงการต่ออยู่เรื่อยๆ เป็นภพ เป็นชาติ ก็หมายความว่าได้เริ่มมีความเข้าใจว่า ทุกสิ่งทุกอย่างว่างเปล่า คำพูดนี้ เป็นเพียงคำพูดที่ได้ฟัง จนกว่าปัญญาสามารถประจักษ์แจ้ง ลักษณะของสภาพธรรม ที่เกิดแล้วดับ แล้วไม่กลับมาอีก ขณะนั้นจึงจะรู้ว่าว่างเปล่า
สิ่งที่เคยมีมาแล้วทั้งหมด ด้วยความไม่รู้ และด้วยความติดข้อง ปัญญาก็สามารถที่จะรู้ เพราะไม่รู้จึงติดข้อง ในสิ่งที่ไม่มี เพราะก่อนนั้นไม่มี ไม่เคยมีมาก่อน เกิดมาเป็นชาตินี้ คนนี้ไม่เคยมาเป็นชาตินี้ คนนี้มาก่อน แต่ว่าไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยินทั้งหมดเดี๋ยวนี้ เมื่อสักครู่นี้ ก็ไม่มี แล้วก็เกิดมีขึ้น แล้วก็ดับไป เเล้วก็ไม่กลับมาอีก
ถ้าปัญญาถึงระดับที่สามารถที่จะประจักษ์แจ้งจริงๆ เมื่อนั้นก็รู้จริงๆ ว่าทุกอย่างว่างเปล่า ไม่สมควรเลยที่จะหลงเข้าใจผิด และยึดถือ แต่ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ในบรรดาธรรมทั้งหมดปัญญาประเสริฐสุด แต่ว่าจะมีปัญญาอย่างนั้นได้อย่างไร ถ้าไม่มีทีละเล็กทีละน้อย เพราะว่าความไม่รู้มหาศาลมาก เมื่อพูดถึงการชำระจิต ที่สามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ก็ต้องเป็นชำระจิตนี้ ซึ่งแต่ละคนกำลังมี ไม่ใช่จิตอื่น จิตนี้คือจิตซึ่งเกิดดับสืบต่อ สะสมทุกสิ่งทุกอย่างมานานแสนนาน และปัญญาค่อยๆ ชำระความไม่รู้ และความติดข้องจากจิตนี่แหละ ไม่ใช่ไปเพ่ง ไปจ้องสิ่งอื่น ให้สิ่งอื่นปรากฏการณ์เกิดดับ เทียบได้เลย ขณะนี้แข็งปรากฏแน่ แล้วก็ฟังแล้ว
สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา แข็งเป็นแข็ง เปลี่ยนแข็งอื่นไม่ได้เลย แต่ปัญญายังไม่ถึงการเกิดขึ้น และดับไปของแข็งที่ปรากฏ การฟังธรรมไม่ใช่เพื่อจะให้ไปรู้อย่างนั้น โดยเป็นตัวตนที่พยายามจะไปจ้อง พยายามที่จะไปประจักษ์การเกิดดับ แต่ต้องเป็นการรู้ว่า ไม่รู้อย่างนี้หรือ จะสามารถไปประจักษ์อย่างนั้นได้ แต่สามารถจะประจักษ์อย่างนั้นได้ ต่อเมื่อค่อยๆ เข้าใจขึ้น ในชีวิตที่เกิดเป็นปกติเพราะเหตุปัจจัย
ธรรมเป็นปกติ บางคนก็บอกว่า ทำไมธรรมของพวกเรามีความสุข มาที่นี่ก็มีความสุข ทุกคนก็เบิกบาน อาหารก็อร่อย เดินชายหาดสนทนากัน ร้องเพลงอะไรก็ได้ ก็เป็นปกติ จะให้ผิดปกติหรือ ถ้าผิดปกตินั่นคือตัวตนต้องการให้เป็นอย่างนั่น คือผิดปกติใช่ไหม แล้วเมื่อไรจะละความเป็นตัวตนได้
ธรรมก็คือปกติ ธรรมดา ความเป็นไปของธรรม เห็นเป็นปกติ จะให้เห็นไม่เป็นปกติได้อย่างไร ได้ยินเดี๋ยวนี้ก็เป็นปกติ จะไม่ได้ยินเป็นปกติอย่างนี้ได้อย่างไร คิดก็เป็นปกติ ชอบก็เป็นปกติ ไม่ชอบก็เป็นปกติ ทั้งหมดแสดงถึงการสะสมมาแล้ว ซึ่งเหมือนจมอยู่ใต้มหาสมุทร เราพูดถึงจิตตั้งหลายประเภท จิตไหนปรากฏบ้าง พูดถึงเจตสิก ๕๒ พูดถึงสมาธิ อยู่ไหน ไม่อยู่ เพราะอะไร ไม่ปรากฏ เกิดแล้ว ดับแล้ว ไม่มีทางที่ใครจะพยายามไปจับ หรือพยายามที่จะไปให้รู้ได้ แต่เป็นการขัดเกลาความไม่รู้ ซึ่งมีมานานตามปกติ ด้วยปัญญาที่รู้ว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม เดี๋ยวนี้เกิดแล้ว ไม่มีใครไปทำให้เกิดขึ้นได้เลย ไม่ว่าใครกำลังคิดอะไร ใครกำลังชอบ ใครกำลังไม่ชอบ ใครกำลังเห็น ใครกำลัง แล้วแต่จะเจ็บ จะปวด จะเป็นอย่างไรก็ตามแต่ เกิดแล้วทั้งนั้น จะรู้ความจริงต่อเมื่อรู้สิ่งที่เกิดแล้ว สิ่งที่ยังไม่เกิด จะรู้ได้ไหม ยังไม่เกิด สิ่งซึ่งดับหมดไปแล้ว จะรู้ได้หรือไม่ ไม่เหลือ แต่สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ต่างหาก เป็นปกติ อย่างนี้ต่างหาก
ปัญญาจึงเป็นขณะที่สามารถเข้าใจความจริง ของสิ่งซึ่งเป็นแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่งที่สะสมมา ไม่สามารถที่จะแลกเปลี่ยนกันได้เลย แม้แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัญญาของพระองค์ พระมหากรุณาที่ให้คนอื่นได้เข้าใจ ก็ต้องเป็นของแต่ละหนึ่ง ซึ่งใครจะไปขัดเกลากิเลสของคนอื่นไม่ได้เลย นอกจากปัญญาของบุคคลนั้นเอง ที่จะฟัง และเข้าใจ เข้าใจแล้ว ถ้าดีใจก็เป็นปกติ ใช่ไหม
ทั้งหมดถ้ายังไม่เป็นการเข้าใจถูก ในสิ่งที่กำลังมีเป็นปกติ ด้วยความเป็นอนัตตา ไม่มีทางที่จะละกิเลส หรือว่าความเป็นตัวตนได้เลย เพราะว่าตัวตน คอยจัดการเป็นอย่างนั้นบ้าง เป็นอย่างนี้บ้าง ให้จดจ้องที่นั่นบ้าง ให้คิดอย่างโน้น ให้ทำอย่างนี้ ลงมืออะไรเป็นผู้จัดการขึ้นมา ก็คือว่าด้วยความเป็นเรา ที่ต้องการจะให้เป็นอย่างนั้น แต่ไม่ได้เข้าใจเลยว่า ทำอะไรไม่ได้ ไม่มีใครทำอะไรได้เลย เดี๋ยวนี้เห็นแล้ว แต่ไม่รู้เห็น ซึ่งดับแล้ว เดี๋ยวนี้ก็กำลังได้ยิน แต่ก็ไม่ได้รู้ลักษณะที่ได้ยิน ซึ่งเกิดแล้วดับแล้ว จะเห็นได้ว่าการอบรมเจริญปัญญา เป็นจิรกาลภาวนา หมายความว่า นาน ไม่ต้องไปนับเลย ขึ้นอยู่กับความเข้าใจของเรามากน้อยแค่ไหน ถ้าไม่เข้าใจเลย จะไปหวังรู้โดยการทำแบบอื่น ไปนั่งทำสมาธิ คิดว่าประเดี๋ยวสิ่งนั้นก็ดับ สิ่งนี้ก็เกิด ไม่ใช่ความเข้าใจสิ่งที่มี ตามปกติ ขณะนั้นไม่ใช่ปัญญา เพราะไม่รู้ มีแต่ความอยากจะให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏ เกิดดับให้เห็น แต่ขณะนั้นก็ไม่ได้เข้าใจอะไร ไม่ได้ขัดเกลากิเลส ซึ่งหนาแน่นมาก อยู่ในจิตทั้งหมดเลย ไม่ว่าจะเป็นอกุศลประเภทไหน หรือว่ากุศลประเภทไหนทั้งหมด ที่เกิดแล้วดับแล้ว แต่สะสมสืบต่อในจิตขณะต่อไป เป็นปัจจัยที่จะทำให้ชีวิตดำเนินต่อไป จากคนนี้ก็เป็นคนนั้น เป็นคนโน้นต่อๆ ไปอีก ไม่มีวันจบ จนกว่าปัญญาจะมั่นคง และก็ละคลายด้วยปัญญา ไม่ใช่ด้วยความเป็นเรา ก็เป็นปกติ
การฟังธรรมเป็นปกติ การเข้าใจสิ่งที่กำลังมีก็เป็นปกติ การละคลายความไม่รู้ ก็เป็นปกติ จะได้เห็นสภาพธรรม ซึ่งมองไม่เห็นเลยเดี๋ยวนี้ เกิดดับอยู่ตลอดเวลา ลืมแล้วว่าเป็นจิต เจตสิก เพราะไม่ปรากฏ จนกว่าปัญญานั่นแหละ ที่ได้อบรมแล้วจากปริยัติ ซึ่งหมายความถึงการฟังพระพุทธพจน์