อนัตตา
อนัตตา จะทำสมาธิด้วยความเป็นอัตตา หรือจะฟังธรรมให้เข้าใจว่าธรรมทั้งหลาย เป็นอนัตตา
จากการสนทนาธรรมที่โรงแรมบียอนรีสอร์ทจังหวัดกระบี่ ๑๑ มกราคม ๒๕๖๐
ท่านอาจารย์ แค่ ๒ คำต้องเข้าใจจริงๆ คำหนึ่งคืออัตตา อีกคำหนึ่งคืออนัตตา อัตตาหมายความถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใด เวลานี้ไม่ว่ามีอะไรที่ปรากฏ เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ปรากฏการเกิดดับ แต่เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งดูเหมือนเที่ยงทั้งนั้นเลย ใครกำลังนั่งอยู่ตรงนี้ ดูเหมือนเที่ยง ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร ไม่ได้เกิดดับ ต้องเข้าใจให้ถูกต้อง อัตตาคือความเข้าใจว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เมื่อเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็คือ สิ่งนั้นไม่ได้เกิดดับ แต่เที่ยง เหมือนว่าเป็นสิ่งที่ยังมีอยู่
แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กับการที่ทรงตรัสรู้ก็คือว่า ธรรมทั้งหลาย ไม่เว้นเลย เป็นอนัตตา ใช้คำว่า นะคือไม่ กับอัตตา รวมกันแล้วก็เป็นอนัตตา สองคำนี้ตรงกันข้ามกัน คำหนึ่งคือ อัตตาเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง อีกคำหนึ่งคืออนัตตา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงเลย เที่ยงที่นี่หมายความว่าไม่มีการเกิดดับ นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ถ้าไม่มีการฟังพระธรรม ทุกอย่างเป็นสิ่งที่เป็นอัตตาทั้งนั้นเลย ใช่หรือไม่ คนนี้ คนนั้น สิ่งนั้น สิ่งนี้ ไม่เห็นการเกิดดับเลย แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส ซึ่งเปลี่ยนไม่ได้เลย ทุกคำที่ตรัส มาจากการที่ทรงตรัสรู้ความจริงถึงที่สุด ธรรมทั้งหลาย สิ่งที่มีจริงทั้งหมด ไม่เว้น เป็นอนัตตา หมายความว่าไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ที่ยั่งยืน
ลองคิด เวลานี้เข้าใจคำว่าอัตตาแค่ไหน และคำว่าอนัตตาแค่ไหน โต๊ะเป็นอัตตาหรืออนัตตา เราอาจจะไม่คิดเลยว่า พูดเรื่องอัตตากับอนัตตา เข้าใจว่าหมายความถึง เราเท่านั้น ไม่ใช่เรา ไม่ใช่อัตตา แต่ก่อนนี้อัตตานี้ก็เราหมดเลย แต่ความจริงความหมายของอัตตาคือ ไม่ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดทั้งนั้น ธรรมทั้งหลายไม่ปรากฏการเกิดดับ จึงปรากฏว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด นั่นเป็นดอกกุหลาบ นี่เป็นโต๊ะ นั่นเป็นคน นั่นเป็นถ้วยแก้ว นี่เป็นขนมปัง ล้วนแต่เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่อนัตตา เห็น ไม่ใช่ขนมปัง สิ่งที่ถูกเห็นก็ไม่ใช่แก้ว แต่เห็นเป็นเห็น เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ถ้าไม่มีปัจจัยเกิดไม่ได้ ไม่มีใครสามารถที่จะไปสร้าง ไปทำให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดมาได้เลย ใครก็ตามที่เข้าใจว่าสามารถจะทำได้ ก็เพราะไม่รู้ความเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ซึ่งทั้งหมดเป็นอนัตตา เห็น ถ้าไม่มีตา เห็นก็เกิดไม่ได้ ถ้าไม่มีสิ่งที่มากระทบตาก็ไม่เห็น ถึงแม้ว่ามีตา นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริงลองคิดดู สมควรฟังไหม หรือจะทำสมาธิ แค่นี้ เป็นการเปรียบเทียบให้เห็นการสะสมของแต่ละคน ว่าสะสมมาที่จะรู้ความจริง มีโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรม คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไตร่ตรองจนกระทั่งรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบไหว้นมัสการ เคารพบูชาในพระปัญญาคุณ ในพระบริสุทธิคุณ ในพระมหากรุณาคุณ เพราะเหตุว่าถ้าไม่ทรงมีพระมหากรุณาคุณ เราจะไม่ได้ยินสักคำ ที่เราได้ยินว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ก็เป็นเรื่องที่เมื่อฟังก็รู้เลย ฟังแล้วเข้าใจ ใช่หรือไม่ หรือยังไม่เข้าใจ ฟังแล้วยังจะทำสมาธิ หรือรู้เลยว่า สมาธินั้นคืออัตตา ด้วยความเห็นผิดว่าเป็นเรา มิฉะนั้นแล้วจะทำสมาธิหรือ
ทั้งหมดต้องสอดคล้องกันต้องเป็นผู้ที่รู้ว่า สัจจะมี ๒ อย่าง ความจริงโดยสมมุติ กับความจริงโดยสภาพของสิ่งนั้น ซึ่งเป็นอย่างนั้น ที่ใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ถ้าไม่มีการสมมุติชื่อ เรียกไม่ถูก อยู่ในห้องนี้แท้ๆ จะพูดจะสื่อสารอะไรก็ไม่ได้หมดเลย แต่เพราะเหตุว่ามีสมมุติสัจจะ โต๊ะสำหรับคนไทย ก็เข้าใจว่าหมายความถึงอะไร ชื่อต่างๆ ของแต่ละภาษา ก็รู้ว่าหมายความถึงอะไร นั่นคือบัญญัติ รู้ได้โดยอาการนั้นๆ อย่างดอกกุหลาบ กับดอกมะลิ รู้ได้โดยอาการนั้นๆ ทั้งๆ ที่เป็นสิ่งที่เพียงปรากฏทางตา แต่การเกิดดับของทุกอย่างเร็วมาก สุดปัญญาที่ใครจะไปคิดได้ เริ่มเห็นพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เป็นผู้ที่เห็นค่าเลย ระหว่างทำสมาธิกับการฟัง และเข้าใจธรรม รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วแต่การสะสม ว่าสะสมมาที่จะคิดว่า ไม่ต้องฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้แล้ว เข้าใจแล้ว ก็ได้ หรือว่าชอบทำสมาธิก็ทำไป โดยที่ว่าสมาธิก็ไม่ยั่งยืน ขณะที่เห็น ก็ไม่ใช่ขณะที่เป็นสมาธิ
เป็นเรื่องที่ละเอียดมาก แม้แต่คำว่าอัตตา และอนัตตา อัตตาคือความเห็นที่ยึดถือ ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง มั่นคง ไม่เกิดดับ อนัตตาคือแต่ละหนึ่ง ซึ่งมีจริงๆ มีลักษณะเฉพาะของตนแต่ละหนึ่ง เย็นไม่ใช่หวาน แข็งไม่ใช่เสียง ได้ยินไม่ใช่คิด แต่ละหนึ่งๆ มีจริงๆ เกิดขึ้น ไม่มีใครบังคับบัญชาได้ คุณทรงเกียรติเบื่อ ไม่อยากตื่นขึ้นเลย ไม่ให้เกิดได้ไหม ไม่ให้เห็นได้หรือไม่ ต่อให้จะเบื่อแสนเบื่อสักเท่าไร ไม่มีใครสามารถจะยับยั้งธรรม เพราะเหตุว่ามีปัจจัยที่จะเกิดตลอดไป และก็เพิ่มปัจจัยขึ้นเรื่อยๆ ถ้าไม่ใช่ปัญญาที่ได้ฟังธรรม จนกระทั่งปัญญาถึงระดับขั้นที่จะรู้ความจริงทุกคำ ตรงตามที่ได้ฟัง
ตอนนี้มีใครยังสงสัยเรื่องอัตตากับอนัตาหรือไม่ ทุกอย่างไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง แต่โดยสมมุติเป็นดอกไม้ เป็นดอกกุหลาบ เป็นโต๊ะ เพราะไม่รู้ความจริงว่า ที่เข้าใจว่าเป็นดอกไม้ สักหนึ่งดอก กว่าจะรู้จิตเกิดดับนับไม่ถ้วน ที่จะเห็นความต่างกันระหว่างดอกกุหลาบกับดอกมะลิ แต่เพียงแค่ดอกมะลิหนึ่งดอก จิตก็เกิดดับนับไม่ถ้วนแล้ว ยังไปถึงดอกกุหลาบอีก แล้วจะมาเปรียบเทียบกันอีก ขณะนี้ให้ทราบว่าไม่มีใครเลย แต่เป็นธรรมทั้งหมด ซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เป็นอนัตตา