สะสมความเข้าใจถูก ก่อนจะละจากโลกนี้ไป *
ทุกคนเกิดแล้วก็ตาย แล้วก็ไม่มีใครรู้ด้วยว่า จะจากโลกนี้ไปเมื่อไร วันไหน เพราะฉะนั้นเกิดมาแล้ว มีอะไรที่เที่ยง ที่ยั่งยืน ที่เป็นของใครอย่างแท้จริง ขณะนี้ทุกคนรู้สึกว่า มีเรา ร่างกายของเราแข็งแรงดี กำลังนั่งอยู่ที่นี่ จะเดินก็ได้ จะพูดก็ได้ จะไปไหนทำอะไรก็ได้หมด เพราะมีจิตที่เกิดแล้วดับ และก็เกิดดับยังไม่สิ้นสุด ต่อเมื่อใด ถ้ารูปร่างกายในขณะนี้ปราศจากจิต เป็นอย่างไร ทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่างเดียว คิดว่าจะไปไหนก็ไปไม่ได้ จะรับประทานอาหารอะไร ไม่มีเลย เหมือนท่อนไม้ ซึ่งไม่มีแม้แต่จะขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว ต่อจากนั้นก็เน่าเฟะ เหม็น เขียว คล้ำ พอง ก็แล้วแต่
สิ่งที่มีอยู่ขณะนี้ เป็นอย่างนี้ เดี๋ยวนี้ แล้วก็เวลาที่ปราศจากจิตเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ อะไรที่เคยชอบ เคยพอใจ เคยยึดถือว่าเป็นเรา หรือเป็นของเรา แท้ที่จริงแล้วก็ไม่ใช่ของใครเลยสักคนเดียว เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไป แล้วก็ต้องเป็นอย่างนี้ทุกคน สิ่งที่มีชีวิตที่มีจิต รูปร่างกายซึ่งเกิดเพราะกรรม เกิดเพราะจิต อุตุ อาหาร พวกนี้ ไม่เหมือนอย่างต้นไม้ใบหญ้า ต้นไม้ใบหญ้าเกิดแล้วตาย ก็ไม่มีกลิ่นที่น่ารังเกียจเท่ากับซากศพ หรือว่ารูปร่างลักษณะของต้นไม้ที่เกิดแล้วก็ตายไป ก็ไม่ได้น่ารังเกียจ เท่ากับรูปร่างกายของคน ซึ่งปราศจากชีวิต
เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ เกิดมาแล้วก็มีความต้องการ แล้วก็มีความพอใจ ด้วยความไม่รู้ ในสิ่งซึ่งวันหนึ่งก็ต้องเป็นอย่างนี้ แต่ขณะนี้ยังไม่เป็น แต่จะเป็นเมื่อไร และก็เลือกไม่ได้ด้วย ว่าเมื่อจากโลกนี้ไปแล้ว ไม่รู้เลยว่าต้องเกิดอีก แต่จะเกิดเป็นอะไรก็แล้วแต่การกระทำ คือ กรรมที่ได้กระทำไว้แล้ว ไม่มีใครสามารถที่จะเลือกได้เลย เหมือนอย่างกับมาจากไหนก็ไม่รู้ ใช่ไหม มาเกิดแล้วในโลกนี้ จากโลกนี้แล้วจะไปไหนก็ไม่รู้
เพราะฉะนั้นก็อยู่ในโลกด้วยความไม่รู้ ด้วยความหลง ด้วยความติดข้อง ด้วยความยึดถือ เพราะฉะนั้นผลจะเป็นอย่างไร คือส่วนใหญ่จะไม่คิดถึงผลข้างหน้า แต่จะมีชีวิตอยู่ แล้วก็คิดถึงเฉพาะวันหนึ่งๆ พรุ่งนี้ เดือนนี้เท่านั้น แต่ลืมว่า ธรรมเป็นธรรม ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร
ขณะแรกที่จิต สภาพธรรมเกิดเป็นธาตุรู้ แล้วก็มีรูปธรรมเกิดด้วย ไม่ได้เลือกเลย ว่าจะมาเป็นอย่างนี้ จะเป็นคนอย่างนี้ รูปร่างหน้าตาอย่างนี้ ผิวพรรณอย่างนี้ ก็ไม่ได้เลือก แม้แต่สัตว์เดรัจฉาน ก็เป็นจิตอีกระดับหนึ่ง ซึ่งเกิดเพราะอกุศลกรรมที่ได้ทำไว้ ก็ไม่ได้เลือก ว่าจะเป็นช้าง หรือว่าจะเป็นมด หรือว่าจะเป็นผีเสื้อ หรือว่าจะเป็นงู หรือจะเป็นกระต่าย ไม่มีใครสามารถที่จะเป็นเรา ที่จะบังคับหรือทำอะไรได้เลยทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้นก็มีชีวิตอยู่ไปวันหนึ่งๆ ตามการสะสม แล้วก็ตามกรรมที่กระทำแล้วที่ให้ผล ทำให้เกิดมาแล้ว ทุกคนต้องเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ทั้งวันก็วนเวียนอยู่ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ คือ สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย ที่มีลักษณะที่เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หรือตึง ไหว โดยไม่รู้เลยว่าติดข้อง และก็เป็นทาสของสิ่งที่ปรากฏทุกวัน ไม่สามารถที่จะพ้นไปได้เลย ไม่เป็นอิสระ เป็นไปตามกำลังของโลภะบ้าง โทสะบ้าง ตามความไม่รู้ เพราะฉะนั้นเกิดมาก็เป็นอย่างนี้ และก็เป็นอย่างนี้มาแล้วด้วย และต่อไปก็จะเป็นอย่างนี้อีก ไม่เบื่อ ใช่ไหม
มีคนหนึ่ง เขาก็บอกว่าพอฟังว่า ตายเเล้วเกิด เขาก็ดีใจ เพราะว่าจะได้เปลี่ยนใหม่เสียที คือว่าเบื่อเหลือเกินแล้วโลกนี้ เรื่องนี้ เรื่องเก่าอย่างนี้ ใหม่ๆ ก็คงจะดีกว่า แต่ดีกว่าหรือไม่ดีกว่า ใครจะรู้ว่าจะเกิดที่ไหน เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจเรื่องเหตุกับผล สำหรับผู้ที่ต้องการความจริง แต่สำหรับคนที่ไม่ได้สะสมมาที่จะรู้ความจริง เขาก็คิดว่าไม่มีประโยชน์ที่จะรู้ความจริง แต่ถ้าไม่รู้ความจริงแล้วชีวิตจะเป็นอย่างไร ทุกคนหวังสุข แต่ทุกวันนี้สุขหรือเปล่า ถ้ายังสุขอยู่ สุขนั้นมาจากไหน ผลที่ได้รับที่ยังไม่ใช่การเจ็บไข้ได้ป่วย การไม่ได้ถูกนินทาว่าร้าย หรืออะไรต่างๆ เหล่านี้ มาจากไหน ต้องมาจากเหตุดีที่ได้กระทำแล้ว แต่เหตุไม่ดีที่ได้กระทำแล้ว ก็ต้องมีผล
เพราะฉะนั้นวันไหนป่วยไข้ วันไหนได้ยินเสียงที่ไม่น่าพอใจ ได้กลิ่นที่ไม่น่าพอใจ ก็รู้ได้ว่าถึงเวลา ที่จะต้องเป็นอย่างนั้น เพราะเกิดแล้ว เป็นอย่างนั้นแล้ว ไม่เป็นอย่างอื่น เพราะฉะนั้นก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลที่สะสมมา ว่าจะเห็นประโยชน์ของการที่เกิดมาแล้วรู้ความจริงของชีวิต หรือว่าเกิดมาแล้วก็เป็นเราชั่วขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ และก็ไม่รู้ด้วยว่า จากโลกนี้ไปแล้ว ที่ว่าเคยเป็นเราจริงๆ เป็นอย่างไร
อีกประการหนึ่ง วิชาความรู้ทั้งหมด มีประโยชน์หรือเปล่า ต้องเป็นประโยชน์ตามสมควรแก่ความรู้นั้นๆ แต่ความรู้เรื่องชีวิตเป็นความรู้ที่ประเสริฐสุด เพราะว่ารู้ความจริง เพราะถ้าไม่มีสภาพธรรมที่มีจริง ชีวิตก็มีไม่ได้