เถระ 3 ประเภท


    เถระที่แท้จริง ไม่ใช่เพียงบวชมานาน หรือบวชเมื่อสูงวัยแล้วเท่านั้น แต่ต้องเป็นผู้ที่มีความเข้าใจที่มั่นคงในพระธรรมวินัย คือ เป็นธรรมเถระ


    อ.วิชัย คำว่าเถระ ก็จะมีอยู่ เถระโดยการบวชนานก็มี เถระโดยคุณความดีก็มี และเถระโดยสมมติคือโดยชื่อ คือบวชเมื่อแก่ ก็กล่าวว่าเถระเหมือนกัน ดังนั้นในเถรสูตร ก็หมายถึงพระภิกษุที่ปรากฏมีชื่อเสียง ศึกษา มีการเล่าเรียน ปรากฏว่าเป็นผู้ที่มีความรู้ มีความเข้าใจ แต่ก็ยังเป็นผู้ที่มีความเห็นผิดได้

    ท่านอาจารย์ สำนักปฏิบัติเกิดจากผู้ที่ศึกษาธรรม และก็เป็นครูบาอาจารย์สอนอภิธรรม แต่ก็มีสำนักปฏิบัติ ถ้าไม่มีเหตุการณ์อย่างนี้ ที่ละเอียด พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่ตรัสเรื่องเหล่านี้ให้ระลึกได้ ให้เข้าใจได้ถูกต้อง ว่าแท้ที่จริงแล้ว ถึงแม้ว่าจะบวชนาน ไม่เข้าใจธรรมก็ได้ ลองถามดู ไม่ว่าใคร ไปหาพระรูปไหน ที่จะกล่าวถึงธรรม แสดงความรู้ ความเข้าใจธรรม มีหรือไม่ แม้ว่าจะบวช ๑๐ ปี ๒๐ ปี ก็ตาม ก็เป็นเถระเพียงการบวชนาน ส่วนธรรมเถระ ก็ต้องเป็นเถระที่มั่นคง ในความเข้าใจถูก ในพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง นั้นจึงจะเป็นผู้เป็นเถระ ธรรมเถระ

    มีความเข้าใจที่ถูกต้อง และมั่นคง ใครจะชวนไปไหน เดี๋ยวนี้ก็มีเห็น อย่างไรถึงจะเข้าใจ เพราะว่าถ้าไปที่โน่น ก็มีเห็น แล้วทำไมเห็นที่โน่นกับเห็นที่นี่จะต่างกัน ถ้าปัญญาจริงๆ เป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา แต่เพราะสะสม ขัดเกลากิเลส ไม่เป็นไปตามกิเลส จนกระทั่งมีความเข้าใจที่ละคลายความไม่รู้ทีละเล็กทีละน้อยเพิ่มขึ้น อวิชชาซึ่งมืดบอดหนาแน่นมากค่อยๆ คลายลง เมื่อนั้นสภาพธรรมขณะนี้ ก็ปรากฏตามความเป็นจริงได้ ทีละหนึ่งขณะ โดยสติสัมปชัญญะ ไม่ใช่เรา

    จึงมีความเข้าใจความต่าง ของแม้แต่สภาพธรรมที่เป็นสติ สภาพที่ระลึกเป็นไปในกุศล มีหลายระดับ จนกระทั่งถึงสัมมาสติ ซึ่งต้องเกิดร่วมกับปัญญา ไม่ต้องไปที่ไหน เพราะเวลาที่มีความต้องการเกิดขึ้น แสดงว่าไม่มีความมั่นคง ที่จะรู้ว่าขณะนี้เป็นธรรมเพราะอะไร เพราะสิ่งที่ดับไปแล้ว ไม่สามารถเข้าใจได้ ไม่มีอะไรจะให้เข้าใจ สิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น ก็ยังไม่มาถึง ไม่รู้ว่าจะเป็นอะไร ให้ไปทำอะไรในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น ไม่รู้สิ่งที่กำลังเกิดในขณะนี้ แสดงว่าผู้นั้นไม่ใช่ธรรมเถระ ก็เป็นเรื่องที่พุทธบริษัทมีพระธรรมเป็นที่พึ่ง ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้รู้ว่าอะไรผิด อะไรถูก

    ถ้าเป็นปัญญาจริงๆ มีหรือที่ปัญญาไม่สามารถจะรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะเหตุว่าสิ่งที่กำลังปรากฏนี่แหละ เป็นสิ่งที่สามารถที่จะเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง ว่าไม่ใช่เรา จะไปรู้อย่างอื่นหรือ ยังไม่มี หรือว่าดับไปแล้ว ก็รู้ไม่ได้ แต่เดี๋ยวนี้เอง ขณะที่เห็นนี่แหละ ไม่ใช่เราเห็น ขณะที่ได้ยิน เสียงก็ไม่ใช่เรา ได้ยินก็ไม่ใช่เรา เพียงฟังเริ่มเข้าใจ แต่ยังไม่ประจักษ์แจ้ง ในธาตุที่ได้ยิน ในธาตุที่เห็น ในธาตุที่คิด และสภาพธรรมที่ปรากฏให้รู้ แต่ชวนให้หนีจากความเข้าใจ ในสิ่งที่กำลังมี ไปสู่สิ่งที่ไม่มี และพยายามจะไปรู้ นั่นก็ไม่เป็นเหตุเป็นผลใดๆ เลยทั้งสิ้น ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้นั้นก็เป็นเพียงเถระเพราะบวชนาน แต่ไม่ใช่ธรรมเถระ

    และเถระอีกประการหนึ่งก็คือว่า สูงวัยแล้วเขาก็เรียกว่าแก่ ก็คือเถระ ไม่ใช่ว่ามั่นคงตามวัย วัยไม่ได้ทำให้มั่นคงเลย ถ้าไม่เข้าใจธรรม วัยทำให้กิเลสเพิ่มขึ้น ยิ่งอยู่ไปเท่าไร กิเลสก็เพิ่มขึ้นเท่านั้น ไม่พ้นไปจากกิเลสได้เลย ไม่รู้แล้วจะพ้นได้อย่างไร แต่เมื่อมีผู้ที่ทรงตรัสรู้แล้ว หนทางเดียวจริงๆ คือมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง มีพระพุทธรัตน มีพระธรรมรัตน มีพระสังฆรัตน พระสังฆรัตน หมายความถึง พระอริยบุคคล


    หมายเลข 11139
    29 มี.ค. 2567