จะไม่โกรธหรือจะเข้าใจธรรม


    ไม่ควรเป็นตัวตนที่จะบังคับไม่ให้โกรธ แต่ควรเข้าใจว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา จึงจะเห็นโทษ และคลายกิเลสได้ตามความเป็นจริง


    ท่านอาจารย์ มีท่านผู้หนึ่ง ท่านมีลูก ๒ คน ท่านบอกว่าลูกคนหนึ่งของท่าน โกรธไม่เป็นหรืออย่างไร ไม่เคยโกรธเลย ไม่โกรธ อย่างไรๆ ก็ไม่โกรธ แต่รู้หรือเปล่า ว่าไม่ใช่เรา อะไรๆ ก็ไม่สำคัญ ใครจะไม่โกรธ หรือใครจะโกรธ หรืออัธยาศัยของใครจะเป็นอย่างไร ก็ขอให้รู้ความจริงว่าเป็นธรรม ด้วยเหตุนี้แต่ละหนึ่งก็เป็นแต่ละหนึ่งตามการสะสม จะให้มี ๒ คนไม่ได้ แม้จะเป็นลูกแฝด จิตก็คนจิต การสะสมมาก็ต่างกัน การกระทำ และผลของกรรมก็ต่างกัน ทุกอย่างแสดงความชัดเจนว่าเป็นธรรม แต่อวิชชามีมาก ไม่สามารถที่จะเข้าถึงความจริง ซึ่งเห็นก็เป็นธรรม ได้ยินก็เป็นธรรม ทั้งหมดเป็นธรรมเมื่อไร เมื่อนั้นก็คือจากการสะสม ที่ไม่ลืมความจริงว่า จริงๆ แล้วก็คือสิ่งที่ปรากฏ ว่ามีเพียงชั่วขณะที่ปรากฏเท่านั้น แต่ละคำฟังดูเหมือนอีกนานเลย แต่นานเท่าไรก็ตามแต่ แต่เป็นคำจริงซึ่งค่อยๆ ซึม จำ ไม่ลืม ค่อยๆ เกิดขึ้น ไม่ว่าจะในขณะที่กำลังถูกเลื่อย ด้วยเลื่อย

    อ.วิชัย อวัยวะน้อยใหญ่

    ท่านอาจารย์ ทั้งหมดไม่ใช่ว่า เราไม่โกรธ เป็นคนดี แต่ไม่รู้ว่าไม่ใช่เรา อย่างไหนจะถูกต้อง

    ผู้ฟัง ต้องรู้ว่าไม่ใช่เรา

    ท่านอาจารย์ เพราะความโกรธเกิดขึ้นแล้ว ทุกอย่างในขณะนี้ เกิดแล้ว ให้เข้าใจให้ถูกต้อง ขณะนี้ทั้งหมดที่ปรากฏ เกิดแล้ว ทำอะไรไม่ได้ แต่เป็นสิ่งที่เข้าใจหรือเปล่า ว่าขณะนั้นเป็นสิ่งที่มีจริง แต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย กว่าจะเข้าใจแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่เฉพาะพระสูตรนี้ พระสูตรเดียว อย่างถ้าถามว่า อะไรเป็นสติปัฏฐาน เพราะว่าบางคนฟังแค่นี้นิดเดียว คิดถึงสติปัฏฐาน แต่ว่ายังไม่รู้เลยว่าอะไร ไม่รู้ตั้งแต่ว่าสติปัฏฐานคืออะไร ๑ และอะไรเป็นสติปัฏฐาน แต่ก็อยากรู้ ใช่ไหม แต่ก็ต้องมีความเข้าใจถูกต้องว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เกิดมาไม่เห็นสิ่งที่เห็นแล้วได้ไหม ไม่ได้ยินเสียงที่เกิดแล้วได้ยินได้ไหม ก็ไม่ได้เลย ให้มีความเข้าใจว่าทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะปัจจัยจริงๆ ไม่มีอะไรเลยสักอย่างเดียว ซึ่งมีโดยที่ ไม่มีปัจจัยทำให้เกิดขึ้น และปัจจัยก็มาก ขณะที่ถูกโบยตี ถูกเลื่อยอวัยวะต่างๆ เป็นผลของกรรม ทำไมคนอื่นไม่ถูก มาถูกคนนี้คนเดียว ทำไมเป็นขันติวาทีดาบส ไม่เป็นคนอื่น แต่ละหนึ่ง ไม่มีทางที่จะห้ามความเกิดขึ้นเป็นไปสืบต่อ ของธาตุ เป็นธาตุจริงๆ แต่ละธาตุเกิดดับสืบต่อ สะสมปรุงแต่งเป็นสังขารขันธ์ จนกระทั่งถึงขณะนี้ เดี๋ยวนี้ ก็เกิดเพราะปัจจัย ที่จากเมื่อสักครู่ดับไปแล้ว ไม่เหลือเลย แต่การดับไปนั้นก็สืบต่อ สิ่งที่เคยมี เคยสะสมไว้ ก็ทำให้เดี๋ยวนี้เป็นขณะนี้

    ค่อยๆ เข้าใจความจริง และฟังพระธรรม ฟังพระสูตรด้วยความเข้าใจถูกต้องว่า การที่จะไม่โกรธได้ ไม่ใช่เพราะจำเพียงคำ แล้วก็เชื่อ แต่การที่จะไม่โกรธได้ก็เพราะเหตุว่า มีความเข้าใจถูกต้อง ในสิ่งที่มี ว่าโกรธอะไร ขณะนั้นก็ไม่ใช่เรา และโกรธก็เป็นสภาพธรรมที่เป็นอกุศล ซึ่งยับยั้งไม่ได้ แต่ถ้ามีความเข้าใจถูกต้อง ก็ค่อยๆ ละคลายการสะสมความโกรธ ด้วยปัญญา

    ผู้ฟัง ซึ่งเมื่อเห็นโทษแล้ว ถ้าปัญญามีกำลัง ก็จะเป็นการละความไม่รู้ และการไม่ทำอกุศลกรรม

    ท่านอาจารย์ แล้วเข้าใจมั่นคงในแต่ละคำที่ได้ยินจริงๆ ถ้าไม่อย่างนั้นถ้าปัญญาน้อยก็ลืมเลย ฟังด้วยความเคารพว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างนี้เท่านั้นเอง ด้วยความเคารพ ตรัสว่าไม่ให้โกรธ แต่ว่าลึกกว่านั้นอีกต้องรู้ว่าไม่ใช่เรา เพราะถึงจะบอกว่าไม่โกรธๆ อย่างไรก็ยังเป็นเราอยู่ ก็ยังต้องโกรธ ปัญญาต้องอบรมเจริญตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น กว่าจะเห็นโทษ เห็นแล้วยังมั่นคงที่จะละหรือไม่ ถ้ามั่นคงที่จะละ นั่นคือบารมีทั้งหมด ลองถามใครสิ่ โทษของอกุศลพรรณนาได้ โทษของโลภะก็มากมาย โทษของโทสะก็มากมาย โทษของโมหะยิ่งมากมาย ใครละได้ แต่ค่อยๆ เห็นโทษ อะไรเห็นโทษ ไม่ใช่เรา ทั้งหมดเป็นธรรม เป็นอนัตตาที่เห็นโทษก็คือปัญญา ค่อยๆ อบรม ค่อยๆ เจริญขึ้น ค่อยๆ มั่นคงขึ้น ก็น่าจะรู้ตัวเอง แต่ละคนว่า มั่นคงที่จะละกิเลสไหม ยังไม่ให้ละ เพียงแค่มั่นคงไหมที่จะละกิเลส

    ถ้ามั่นคงวันนึงๆ ก็เป็นไปตามการที่จะเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น เพราะเห็นโทษของกิเลส แต่บางคนฟังแล้วชอบกิเลส ไม่อยากละ ต้องโกรธ สมควรโกรธ ต้องโกรธ คิดได้อย่างไร ถ้าเป็นปัญญาไม่คิดอย่างนั้นเลย ไม่ใช่สมควรก็ต้องโกรธ แต่โกรธไม่ควรจะมีเลย เพราะเป็นโทษทั้งสิ้น ไม่ว่าจะขณะใดที่คิดว่าสมควร สมควรอย่างไร ความโกรธเกิดขึ้นทำร้ายทันที

    อ.วิชัย ถ้าเป็นผู้มีปัญญา ปัญญาเห็นสภาพที่เป็นความโกรธก็รู้ตามความเป็นจริงว่า สิ่งนั้นต้องมีโทษแน่นอน แต่จะเห็นตอนไหน ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด เป็นเรื่องที่ลึกซึ้ง เป็นเรื่องที่ค่อยๆ รู้ค่อยๆ เข้าใจ เพราะไม่มีเราจะทำอะไรได้ แต่ปัญญาที่เริ่มเข้าใจก็จะค่อยๆ สะสมตามลำดับขั้น

    ผู้ฟัง ทางเดียวเท่านั้นคือฟังพระธรรม ซึ่งก็จะมีคนถามว่า อย่างเดียวเท่านั้นหรือ ไม่มีอย่างอื่นอีกหรือ ก็จะขอความกรุณาท่านอาจารย์ ถ้าคำถามนี้แล้วจะอย่างไร

    ท่านอาจารย์ จะเอากี่อย่าง ถามได้อย่างไร แค่อย่างเดียวเท่านั้นหรือ ก็ขณะที่ฟังเข้าใจไม่ใช่หรือ ขณะที่ไม่ฟังก็ไม่เข้าใจ ใช่ไหม ถ้าจะเข้าใจขึ้นก็มีหนทางเดียว คืออบรมการที่ฟังธรรมด้วยความเคารพ ด้วยการเห็นประโยชน์ ชี้โทษของกิเลสให้แต่ละคนเริ่มเห็นโทษ เพราะถ้าไม่เห็นโทษ ไม่คิดจะละ ทั้งๆ ที่เห็นโทษแล้วคิดจะละ ก็ยังละไม่ได้ เห็นความลึกซึ้งหรือไม่ ไม่มีใครอยากมีกิเลส แต่มีทุกคน และก็ทรงแสดงธรรม ให้เห็นโทษของกิเลสให้ได้ยินได้ฟังบ่อยๆ บ่อยๆ แต่ก็ยังมีกิเลส กว่าจะถึงการที่ปัญญาอบรม ไม่ใช่เรา เพราะปัญญาอย่างเดียว ที่จะทำให้กิเลสลดคลาย จนกระทั่งถึงการดับได้

    อ.วิชัย เพราเหตุว่าถ้าเป็นปัญญาที่เกิดขึ้นแล้ว มีความเข้าใจที่ถูกต้องปัญญาก็จะนำไปใช่หรือไม่ เหมือนกับที่กล่าวว่า อย่างเดียวเท่านั้นหรือ แสดงว่าบุคคลนั้นยังไม่เข้าใจใช่ไหม ที่คิดว่าเป็นอย่างนั้น แต่ถ้ารู้มีความเข้าใจที่ถูกต้องว่าหนทางของความรู้ คือต้องฟังคำจากบุคคลผู้ตรัสรู้ความจริง จึงเป็นเหตุที่จะให้เกิดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องได้ และความรู้ที่เกิดขึ้นนั้นแหละ ก็จะเป็นเหตุให้มีการละจากอกุศล และก็มีการเจริญกุศลที่ค่อยๆ เจริญยิ่งขึ้นไป

    ท่านอาจารย์ แล้วถ้าจะเข้าใจธรรม ไม่ใช่เฉพาะในพระสูตรนี้พระสูตรเดียว หรือว่ากกจูปมสูตร หรือสูตรอื่นๆ แต่ทั้งหมดก็เพื่อให้เข้าใจโทษของอกุศลโดยประการต่างๆ แล้วแต่อัธยาศัยว่า ใครฟังแล้วเห็นโทษก็ค่อยๆ น้อมใจไป ที่จะขัดเกลากิเลส


    หมายเลข 11140
    29 มี.ค. 2567