จิตเหมือนมายากล
จิตเป็นสภาพรู้ที่เกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็ว แต่เพราะความไม่รู้สภาพธรรม ตามความเป็นจริง จึงเป็นเหมือนมีสัตว์บุคคล สิ่งต่างๆ ให้ติดข้องยึดถือ
อ.วิชัย กล่าวถึงเรื่องของมายากล อ่านพระสูตรนี้ก็ทำให้คิดพิจารณา มายากล เช่น คนที่แสดงเหมือนกับมีนกออกมาบ้าง มีดอกไม้ออกมาบ้าง แต่ขณะนี้ที่พระองค์แสดงถึงว่า วิญญาณคือจิต คือธาตุรู้ที่เป็นใหญ่เป็นประธาน แสดงเหมือนความเป็นมายากล ก็เหมือนกับไม่เห็นความเป็นมายากลของนามธรรม ที่เป็นจิตเลย
ท่านอาจารย์ ขณะนี้เป็นมายากลแล้วหรือไม่ คุณวิชัย แค่สิ่งที่ปรากฏทางตา
อ.วิชัย ก็เหมือนกับลวงตลอดเวลา
ท่านอาจารย์ ตลอดเวลา
อ.วิชัย เป็นดอกไม้ เป็นอะไรทั้งหมด ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็ลวงคิดว่ามีจริงๆ
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง
อ.วิชัย ก็เหมือนถูกหลอกทั้งวัน
ท่านอาจารย์ ตั้งแต่เกิดจนตาย ทุกชาติด้วย
อ.อรรณพ ยากที่จะเชื่ออย่างนั้นว่า โดนมายากลลวงว่า เป็นคนนั่งอยู่เต็มไปหมด เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นพัดลม เป็นมูลนิธิ เป็นเรา เป็นเขา เป็นอะไรต่างๆ เป็นมายากลที่ลวงขณะนั้น นี่คือจิต
ท่านอาจารย์ ก็ลองหลับตา
อ.อรรณพ หลับตาก็เห็นมืดๆ
ท่านอาจารย์ พอลืมตา มายากล หรือไม่
อ.อรรณพ ลืมตา ก็เห็นท่านอาจารย์ อ.คำปั่น อ.สงบ
ท่านอาจารย์ เต็มไปหมดเลย
อ.อรรณพ แล้วทำไมถึงเป็นสภาพปรมัตถ์ ที่เป็นจิต จึงเป็นมายากล
ท่านอาจารย์ จึงต้องรู้ว่า อะไรเป็นปรมัตถ์ คือสิ่งที่มีจริงแท้ ซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย มีสิ่งที่สามารถกระทบตา ถ้าไม่มี ไม่มีเห็น เหมือนมายากล เพราะว่าเกิดดับสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้ ถ้ายังเห็นเป็นคุณอรรณพก็ไม่ใช่ปัญญา ที่เกิดจากการอบรม จนกระทั่งเป็นวิปัสสนา ก็ยังดีมีโอกาสได้ยิน ได้ฟัง คำจริง ซึ่งยากที่จะได้ยิน ยากที่จะเข้าใจ
แต่เพราะเหตุว่าได้สะสมบุญไว้แต่ปางก่อน ใครก็ยับยั้งไม่ได้ ถึงเวลาก็ได้ยิน สะสมไปก็เข้าใจเพิ่มขึ้น เห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่มขึ้น พระปัญญาคุณเทียบได้ไหม ที่ใครก็ไปอ่านพระไตรปิฎก แล้วเหมือนจะเข้าใจพระธรรม แต่ต้องศึกษาโดยละเอียดทุกคำ ไม่ใช่ว่าเพียงแค่อ่านจบ ก็รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ถูกหลอก ถามคำง่ายๆ เลย อะไรเป็นสติปัฏฐาน
อ.อรรณพ สิ่งที่กำลังปรากฏ
ท่านอาจารย์ ง่ายหรือยาก ก็ทุกคนพูดกันแต่เรื่องสติปัฏฐาน ขอถามว่าอะไรเป็นสติปัฏฐาน
อ.อรรณพ สิ่งที่กำลังปรากฏเป็นสติปัฏฐาน สภาพที่ระลึกตรงสิ่งที่กำลังปรากฏ เป็นสติปัฏฐาน
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้เป็นสติปัฏฐานหรือไม่ ถ้าไม่รู้ จะเป็นสติปัฎฐานไม่ได้ ของธรรมดาๆ เหมือนเดิม แต่ทั้งหมดที่มีเป็นสติปัฏฐาน เมื่อปัญญาอบรมจนกระทั่งเข้าใจถึง ลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นธรรมทีละหนึ่ง ไม่ใช่ต้องไปทำที่ไหน ไม่ต้องไปสำนักไหน ไม่ใช่ต้องไปทำอะไรเลย อย่างนี้ เดี๋ยวนี้เลย สามารถที่จะถึงความเป็นพระโสดาบัน หรือความเป็นพระอรหันต์ก็ได้
จากไม่รู้เลย จนถึงค่อยๆ เข้าใจขึ้นๆ จนสภาพธรรมนั้น ปรากฏตามความเป็นจริง จนกระทั่งละกิเลส ประจักษ์แจ้งสภาพธรรมตามลำดับ จนดับกิเลสไม่เกิดอีกเลย กิเลสที่ดับแล้วไม่เกิดอีก
อ.วิชัย แสดงว่าปัญญาที่เริ่มเกิดขึ้น จนสติเกิดที่จะระลึก หมายถึงว่าก็ต้องมีความต่างจากความเป็นปกติอย่างนี้
ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่าปัญญาไม่ใช่อวิชชา
อ.วิชัย ซึ่งปกติก็เป็นไปด้วยอวิชชา
ท่านอาจารย์ ขณะที่เป็นอวิชชา ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ
อ.วิชัย ต้องเป็นการสะสมปัญญาจริงๆ ที่กว่าจะค่อยๆ เจริญขึ้น จนมีปัจจัยที่จะรู้ตามความเป็นจริงตามที่ได้ฟัง
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นไม่ใช่ทำแน่นอน
อ.อรรณพ ข้อความในอรรถกถา เผณปิณฑสูตร ท่านก็ได้กล่าวไว้ว่า มายาคือปรากฏเร็วชั่วเวลาเล็กน้อยฉันใด วิญญาณคือจิต วิญญาณก็ฉันนั้น เพราะว่าวิญญาณนั้นเป็นของมีชั่วเวลาน้อยกว่า และปรากฏเร็วกว่ามายา ก็คนจึงเป็นเหมือนเดินมา เป็นเหมือนยืนอยู่ และเป็นเหมือนนั่งด้วยจิต
อ.วิชัย การสืบเนื่องกันเป็นเช่นนี้ นี้เป็นมายากลที่คนโง่พร่ำเพ้อถึง
ท่านอาจารย์ โง่ทุกคน
อ.วิชัย ก็ยึดถืออยู่
อ.อรรณพ พร่ำเพ้อถึงอะไร ถึงคน ถึงสิ่งของ ถึงญาติพี่น้อง บุคคลอันเป็นที่ผูกพันต่างๆ เพราะมายากล
อ.คำปั่น ก็คือสิ่งที่เกิด และดับไป แต่ว่ายังเป็นผู้ที่ถูกลวง และก็ยึดถือว่าเป็นสิ่งที่เที่ยง ที่ยั่งยืน เพราะความไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงในขณะนี้นั่นเอง
ท่านอาจารย์ จะยากสักแค่ไหน จากสิ่งที่เคยยึดถือว่าเป็นคนตั้งหลายคนนั่งที่นี่ เป็นสิ่งต่างๆ ก็กลับ เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏเท่านั้น แล้วก็ดับไป