ธรรมที่สงบ


    อยู่ท่ามกลางความไม่สงบมาแสนนาน คิดจะออกจากความไม่สงบหรือไม่ ความสงบที่แท้จริงคืออย่างไร และจะออกจากความไม่สงบได้อย่างไร


    ท่านอาจารย์ ธรรมคือสิ่งที่มีจริงแน่ แต่ทำไมมีคำว่า สัทธรรม ธรรมของผู้สงบ ธรรมที่จะดำเนินไปสู่ความสงบ แสดงว่าผู้นั้นสามารถที่จะรู้ประโยชน์ของการที่รู้ว่า ทุกวันตั้งแต่เกิดจนตาย ถ้าไม่ได้ฟังธรรม ไม่รู้ใช่ไหม ว่าไม่ใช่ผู้สงบ หรือเป็นผู้สงบแล้ว

    อ.อรรณพ ยัง

    ท่านอาจารย์ ต่อเมื่อไร ได้ฟังธรรม เริ่มเห็นว่า สิ่งที่สะสมมาทั้งหมด สงบไหม ไม่ว่าจะเกิดมาแล้ว จะชอบอาหารอะไร จะไปเที่ยวเตร่ที่ไหน ภูมิประเทศต่างๆ เรื่องราวต่างๆ วิชาการต่างๆ จนกระทั่งคิดว่าสมัยนี้ ยุคนี้ เป็นยุคที่วิทยาการก้าวหน้าไปจนกระทั่งมีเครื่องอำนวยความสะดวก และความรู้ต่างๆ สงบไหม

    อ.อรรณพ ไม่สงบ

    ท่านอาจารย์ คำว่าสงบคำเดียว ก็ยากที่จะเข้าใจว่า อยู่ท่ามกลางความไม่สงบ มานานแสนนานเท่าไร เพิ่งจะรู้ตัว ว่าอยู่ในท่ามกลางความไม่สงบ จะออกจากความไม่สงบไหม หรือว่าอยู่ไปเถอะ เท่าไรก็อยู่ไป ไม่สงบต่อไปอีก ไม่มีทางที่จะออกไปจากนี้เลย เพราะอะไรเดี๋ยวนี้ไม่มีใครไปทำให้เห็นเกิดขึ้น เห็นเกิดแล้ว นานแสนนานก็เป็นอย่างนี้ เดี๋ยวนี้ก็เป็นอย่างนี้ ต่อไปก็เป็นอย่างนี้ แล้วใครจะออกจากเห็น ต้องเห็น ต้องได้ยิน เห็นแล้วสุข ทุกข์ ชอบไม่ชอบ ติดตามมา เดือดร้อนหรือไม่ เรื่องยาว แต่ก็จบลงด้วยแต่ละชาติ ก็เป็นแต่ละหนึ่ง ที่สะสมมา แล้วก็ลืมไปหมดเลย

    ประโยชน์อะไรแสนโกฏกัป ลองย้อนกลับไปดู ว่าเป็นใครในแสนโกฏกัป ในชาตินั้นต้องสำคัญมากเหมือนชาตินี้ ทุกอย่างในชาตินั้นสำคัญเหมือนในชาตินี้ แล้วอยู่ไหน ไม่เหลือเลย คิดก็ไม่ออก ตามรู้ก็ไม่ได้ หมดปัญญาใช่ไหม ก็จะต้องเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเข้าใจความละเอียดของพระธรรม และเห็นคุณค่าอย่างยิ่ง ตลอดชีวิตไม่มีอะไรประเสริฐเท่ากับการได้เข้าใจธรรม แต่ธรรมก็ละเอียดมาก ลึกซึ้งมาก

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เห็นความลึกซึ้งอย่างยิ่ง ขณะนั้นไม่น้อมพระทัยที่จะทรงแสดง เพราะเห็นว่าธรรมละเอียด กว่าจะได้ตรัสรู้ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งคนอื่นไม่สามารถที่จะรู้อย่างพระองค์ได้ แต่ก็เห็นว่าสัตว์โลกก็มีผู้ที่ได้สะสมมา ที่จะฟังพระธรรมแล้วเข้าใจ แล้วก็เห็นประโยชน์ แม้ว่ากิเลสมากมายมหาศาลสะสมมา แต่ก็ยังมีโอกาสที่วันหนึ่งจะได้ค่อยๆ เข้าใจ

    ทรงอุปมาว่าเหมือนกันเอาเล็บขุดภูเขา ลองดู เล็บก็หัก แล้วเขาก็หมดแค่ไหน เอาเล็บขุด กว่าจะออกจากสังสารวัฎฏ์ได้ คำของพระองค์ต้องลึกซึ้ง ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งของแต่ละคน จะคำนึงถึงคนอื่นหรือ ก็ทุกคนก็เป็นแต่เพียงธาตุ ซึ่งสะสมมาเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันหมด และก็จะไปคิดว่า จะไม่ทำอย่างนั้น เดี๋ยวคนนั้นจะเดือดร้อน หรือคนนี้จะไม่ชอบ หรืออะไรอย่างนี้ ก็เป็นสิ่งซึ่งเล็กน้อยที่สุด ไม่มีค่าเลย เท่ากับการได้เข้าใจพระธรรม และเห็นประโยชน์ที่จะค่อยๆ สะสมไป ด้วยความไม่ประมาท คือศึกษาพระธรรมแต่ละคำ เพื่อไปสู่ความสงบ จากทั้งหมดกี่ชาติที่ผ่านมาแล้ว ด้วยความไม่สงบ และกำลังไม่สงบอยู่

    ออกจากสังสารวัฏฏ์ง่ายหรือไม่ ออกจากความไม่สงบ ซึ่งสะสมมานานแสนนาน ออกได้หรือไม่ เดี๋ยวก็ไปไม่สงบกันอีก ที่ต่างๆ อาหารรสต่างๆ เหมือนเดิมอย่างนี้ ก็เป็นเรื่องที่ว่า ผู้ที่ไม่ประมาทเท่านั้น ที่จะรู้ว่าการศึกษาพระธรรม เพื่อประโยชน์แก่ตนเอง จึงสามารถที่จะให้ประโยชน์แก่คนอื่นได้ เพราะว่าพระธรรมบริสุทธิ์ และก็พิสูจน์ได้ และก็เป็นความจริง ซึ่งต้องเป็นผู้ที่เห็นประโยชน์ แม้ว่าขณะนี้เราติดข้องในความไม่สงบ มากหรือไม่ ไม่คิด ไม่รู้ ไม่สงบมาตั้งแต่เช้า แล้วก็จะไม่สงบต่อไปอีก

    การที่เราจะพ้นจากความไม่สงบได้ กว่าจะถึงวันนั้น หมายความว่าต้องสะสมความเข้าใจ สิ่งที่กำลังมี เพราะเป็นสิ่งเดียวซึ่งจะให้ความจริง ว่าสิ่งนี้เกิดแล้วก็ดับ เเล้วก็ไม่กลับมาอีก แต่ขณะนี้เต็มไปหมดเลย นับไม่ถ้วน แล้วจะไปประจักษ์การเกิดดับของอะไรได้ ต้องเป็นปัญญาเท่านั้นที่ต้องค่อยๆ เข้าใจธรรมจริงๆ โดยความเป็นผู้ที่มีปกติเห็นความจริง ไม่ใช่หลบลี้หนีหน้าไปทำอะไรๆ แล้วก็คิดว่าดับกิเลสไปเท่านั้นเท่านี้แล้ว บางคนถึงกับคิดว่าเป็นพระอรหันต์ เป็นได้อย่างไร ไม่ใช่ผู้ที่เป็นสาวก คือไม่ใช่ผู้ที่ฟังพระธรรม

    ด้วยเหตุนี้ให้ทราบว่า แม้แต่ความสงบ ก็ต้องเป็นขณะนี้ ที่กำลังเข้าใจธรรม เริ่มอย่างไร เริ่มจากแม้แต่ในขณะนี้ที่สงบก็คือ ขณะใดที่เข้าใจธรรม ขณะนั้นสงบจากความไม่รู้ ซึ่งไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน กว่าจะถึงพระสัทธรรม ซึ่งเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งละเอียดอย่างยิ่ง ถ้าได้ยินคำว่าสงบ บางคนรีบเลย จะไปสงบ ไม่มีทางเป็นไปได้ ต่อเมื่อไรได้ค่อยๆ เข้าใจความจริง ของสิ่งที่มีจริงทีละเล็กทีละน้อย ก็จะรู้เริ่มต้นว่า ขณะไหนสงบ ขณะที่กำลังทำงานราชการ เป็นพ่อค้า เป็นอาชีพอะไรก็ตาม ขณะไหนสงบ หรือใครก็ตามในโลกนี้ ในโลกทั้งโลก ทั้งเทวโลก พรหมโลก ขณะไหนสงบ ขณะที่เข้าใจธรรม

    กว่าจะถึงพระสัทธรรม ต้องรู้ว่าปริยัติสัทธรรม การฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ เป็นปริยัติ ยังไม่ถึงขั้นสัทธรมที่สงบ ที่จะนำไปสู่ความสงบ แต่ว่าเพียงการได้ฟังคำ จะนำไปสู่สภาพธรรมที่สามารถจะดับกิเลสได้แน่นอน แต่ว่าไม่ใช่ด้วยความเป็นเรา แต่เป็นพระสัทธรรม สิ่งที่มีจริงทั้งหมดเป็นธรรม แต่อะไรเป็นพระสัทธรรม ถ้าเป็นผู้ที่ไม่ประมาทก็เอ่ยชื่อตลอดเวลา พระสัทธรรมตั้งมั่นคงอยู่ได้ หรือว่าจะเสื่อมสูญไปเพราะอะไร แต่ไม่สำคัญเท่ากับความเข้าใจธรรมที่มั่นคง เข้าใจจริงๆ ว่าพระสัทธรรมต้องหมายความถึง ธรรมที่สงบจากกิเลส ซึ่งจะมีได้อย่างไร ในวันหนึ่ง โดยเฉพาะในวันนี้ และขณะนี้ เริ่มเป็นผู้ที่รู้จักตัวเองว่า ถ้าคิดถึงเรื่องอื่น ในขณะที่กำลังฟังธรรม ไม่สงบ แต่ว่าขณะใดก็ตามที่เข้าใจ ธรรมคือสิ่งที่มีจริง แล้วก็มีมากมาย เกิดดับนับไม่ถ้วน เรียนเรื่องจิต เจตสิกสักเท่าไร นับประมาณไม่ได้ อยู่ไหน โลภะปรากฎหรือไม่เดี๋ยวนี้ ดอกไม้สวยอยู่ตรงหน้า โลภะปรากฏไหม วันนี้ทุกคนก็บอกว่าดอกไม้สวย ตรุษจีน สีแดง แล้วก็สงบหรือเปล่าขณะนั้น ไม่สงบก็ไม่รู้ จนกว่าจะได้ฟังพระสัทธรรมว่า แม้ทุกคนกำลังนั่งที่นี่ เห็นสิ่งเดียวกันไม่สงบ เพราะพระธรรมลึกซึ้งอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้จึงควรที่จะเข้าใจธรรมทีละคำ เพื่อที่ว่าจากโลกนี้ไปเดี๋ยวนี้ ก็ยังได้เข้าใจธรรม คำที่ได้ฟัง ดีกว่าเข้าใจผิด แล้วชีวิตทั้งชีวิตก็ไม่ได้ทำให้พระสัทธรรมไปสู่คนอื่น แต่กลับนำอสัทธรรม ธรรมที่ไม่ใช่ธรรม แต่ก็กล่าวว่าเป็นธรรม

    ความต่างกันความห่างกัน ของผู้ที่ไม่ได้ศึกษาด้วยความเคารพอย่างยิ่ง กับผู้ที่เข้าใจเอง ว่านั่นเป็นธรรม นี่เป็นธรรม จึงตรงกับพระสูตรนี้ใช่ไหม ขณะนี้ธรรมมี ทุกคนเป็นธรรม ไม่เข้าใจก็อาจจะคิดว่าเป็นเรา แต่ความจริงเป็นธาตุ เป็นขันธ์ เป็นอายตนะ เป็นปฏิจจสมุปบาท อาศัยกัน และกันเกิดขึ้น แล้วก็ดับไปเร็วสุดที่จะประมาณได้ แต่ละคำก็ต้องเข้าใจ เริ่มคิด ธรรมขณะนี้สงบถึงขั้นนั้นหรือยัง ยัง แต่ขณะใดที่เข้าใจ ขณะนั้นสงบ ถ้าขณะใดที่ไม่เข้าใจ เป็นปริยัติหรือไม่ ไม่เข้าใจ แค่นี้ก็ต้องรู้แล้วว่าพระธรรมทั้งหมด เพื่อฟังให้เข้าใจ ด้วยเหตุนี้ถ้าไม่มีการฟังเรื่องราวทั้งหมดของสิ่งที่มีจริง จะถึงสัทธรรมได้ไหม ทุกคนก็รู้ว่าสงบจากกิเลสยากแสนยาก แล้วอย่างไร ได้แต่บอกว่าสงบ ถึงการดับกิเลสได้ แล้วก็ไม่แสดงหนทางเลย ก็ไม่มีใครสามารถที่จะไปถึงได้

    ด้วยเหตุนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมทั้งหมด ทั้งที่เป็นอกุศลธรรม ไม่ใช่ธรรมที่สงบ แต่เพื่อให้รู้ตามความเป็นจริง ว่าขณะนั้นไม่ใช่เรา แต่มีจริงๆ ด้วยเหตุนี้ปริยัติจึงนำไปสู่พระสัทธรรม ถ้าไม่มีปริยัติเลย ไม่มีทางที่จะรู้เลย ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่า ธรรมใดสงบ และธรรมใดไม่สงบ ถ้าไม่รู้อย่างนี้จะละธรรมที่ไม่สงบได้อย่างไร ด้วยเหตุนี้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง ทั้งปริยัติ เพราะจะนำไปสู่ความสงบยิ่งขึ้น จนถึงปฏิบัติ จนกระทั่งถึงปฏิเวธ คือสามารถที่จะดับกิเลสที่มีทั้งหมดในสังสารวัฎได้ ตามลำดับด้วย ไม่ใช่ทีเดียวทั้งหมด เพราะว่าเป็นไปไม่ได้ ที่ปัญญาจะถึงขั้นนั้น


    หมายเลข 11145
    26 มี.ค. 2567